ในเวที อสม. ติดดาวที่เขาชันนั้น ผมได้มีโอกาสร่วมทีม ไตรภาคี ฯ รับหน้าที่เป็นคุณลิขิต เพื่อบันทึกเรื่องราว บันทึกการเดินทางของเวที ในแบบฉบับ อาลักษณ์ ไม่ค่อยได้พูดจากับใครมากนัก เพราะหูต้องฟัง ตาต้องมองทั้งคนพูดและเนื้อหาที่ขีดเขียน พยายามที่จะสื่อสะท้อนความหมายแห่งคำพูด น้ำเสียง สีหน้า ท่วงทีวาจา ภาษากาย ของผู้พูดให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ในหลายๆ ครั้ง อาจจะต้องคงไว้คำพูดที่เป็นภาษาถิ่น อาทิ กอนอีแหลง (คือก่อนที่จะพูดกัน) ฯลฯ เพราะต้องคงความหมายการสื่อให้ครบถ้วนถูกต้องตามนัยที่ผู้พูดนำเสนอในเวที แผนที่ความคิด คือรูปแบบหนึ่งที่ผมใช้ในการบันทึกเรื่องราว โดยความคิดเห็นส่วนตัว ขีดเขียนอย่างไรก็ได้ แทรกลงพื้นที่ตรงไหนก็ได้ เส้นสี ขนาดอักษร ลายเส้นแล้วแต่จะใส่ลงไปไม่มีเส้นบรรทัดหรืออื่นใดมากำหนด มีแต่พื้นที่กระดาษว่าง ๆ ที่พอจะบันทึกได้ ในบางครั้งนั่งคุยสบายๆกับน้องๆที่ทำงาน หรือนั่งคุยกับมิตรสหายต่างวัย ผู้เฒ่า ผู้นำชุมชนหรือแม้แต่เด็กๆ ก็มักบันทึกด้วยวิธีนี้(แล้วก็เก็บใส่กระเป๋าอย่างมิดชิด.....ฮา ) ประเด็นการเรียนรู้ในฐานะ "คุณลิขิต" ณ เวทีนี้ พอจะเก็บประเด็นจากการเขียนบันทึกตามความเข้าใจของผมเอง ดังนี้
1.ปรัชญาการอาสามาทำงานสาธารณะของพี่น้อง อสม. จะแสดงความภาคภูมิใจ การมีใจที่จะทำประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นเบื้องแรก ทุกคนในเวทีบอกเล่าเรื่องราวการทำงาน การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม การได้ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นความสุข แม้ได้ก้อนอิฐเสียงบ่น เสียงด่า ครหาก็ไม่ท้อถอย มีความเสมอต้นเสมอปลายรับใช้สังคมที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่งอย่างยาวนานและต่อเนื่อง ไม่มีค่าตอบแทนใดๆ นอกจากความสุขใจและภูมิใจในการดำรงความดี
2.วิทยายุทธ ปรัชญาการปฏิบัติ อสม.แต่ละท่านมีความดีเด่นรับใช้สังคมมาอย่างยาวนาน ต่างพื้นที่ หลากหลายสังคม มีความแตกต่างทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จารีต ศาสนา ความเชื่อ วิถีชีวิต ฯลฯ ย่อมมีความสำเร็จประโยชน์บ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่ก็ได้พัฒนาเป็นกุศโลบาย ความรู้ ตกผลึกเป็นปัญญา เพื่อการแก้ปัญหาชุมชนหรือสร้างสรรค์นวตกรรมใหม่ๆ ที่ชุมชนได้รับประโยชน์ เวทีนี้จึงเป็นดั่งขุมทรัพย์ทางปัญญา ที่ อสม.แต่ละท่านมาถ่ายทอดวิชา เคล็ดวิชา คัมภีร์ที่อยู่ในพุง(น้าพันธ์ว่าของดีที่อยู่ในพุงเอาออกมาให้หมด.....เพื่อนได้โร้กัน) เพื่อให้ชุมชนอื่น แหล่งอื่น ได้เรียนรู้ ต่อยอดไปด้วย เป็นวิธีถ่ายทอดภูมิปัญญาได้เร็ว ใช้เวลาสั้น ลดขั้นตอน ค่าใช้จ่ายน้อย ไม่ต้องมีห้องเรียน ไม่มีรูปแบบแต่สามารถสื่อกันได้ลึกซึ้งกว่า แม่นยำกว่า ที่เรียกกันว่าจากใจสู่ใจ
3.เวทีการตกผลึกแห่งปัญญาของการปฏิบัติที่ตรวจสอบผลแล้วเพื่อการส่งต่อหรือรอการส่งต่อสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน(น้าพันว่าทำไหร...........ไว้ให้ลูกหลานมั่ง?)
4.การพบกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนำสิ่งดีๆมาสู่กลุ่มคนที่มี่มาต่างกันแต่ไม่แตกต่าง พูดคุยกัน มองตากัน ยิ้มให้กันและเติมเต็มกัน ด้วยความมุ่งมั่นอันนี้ การสานต่อเครือข่ายเป็นพันธมิตรอย่างกัลยาณมิตรจึงเกิดขึ้น ณ เวทีแห่งนี้ พร้อมที่จะขับเคลื่อนชุมชนด้วยพลังศักยภาพที่แฝงเร้น ลุ่มลึกอย่างชาญฉลาดเอื้อประโยชน์ให้ชุมชนเข้มแข็งและยั่งยืน
เป็นครั้งแรกที่ผมได้สรุปประเด็นจากเวที อสม.ติดดาว ที่เขาชัน โดยความเมตตาจากอาจารย์หมอวิจารณ์ คุณเอื้ออย่างคุณหมอยอร์น จิระนคร คุณอำนวยอย่างคุณชายขอบ และเหล่าทีมงานไตรภาคี ฯ ในพื้นที่ที่น่ารักทุกคน เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสร่วมเดินทางบันทึกเรื่องราวดีๆกับท่านเหล่านั้น เป็นประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งสำหรับตัวผม เป็นความเชื่อมั่นและศรัทธาในความเป็นชุมชน ในความเป็นชาวบ้าน ในความเป็นอย่างที่ท้องถิ่นควรจะเป็น เพื่อเป็นสิ่งยืนยันและพิสูจน์ความเป็น จิตอิสระ ของชุมชนที่หนุนเสริมความเป็นชนชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเรา คนไทย
น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ผมดีใจมากที่พี่เขียนบันทึกออกมาได้ดีขนาดนี้ครับ
ดีใจมากเรารอ...การมาในวันนี้ของพี่หรอยอยู่คะ
วันนี้สิ่งที่พี่หรอยกำลังร่วมกันทำกับคุณ"ชายขอบ"...
ดิฉันเชื่อว่า...เป็นเส้นแห่งการเดินทางที่น่าจะเป็นไป
แห่งความเชื่อและศรัทธา...ในกระบวนการ...
แห่งปัญญา...ของ"มนุษย์"...
ตามไปดูนะคะ"ที่นี่"..เลยคะ