วิถีปาย วิถีชีวิต


 "ปาย "  เป็นชื่อของอำเภอเล็กๆ  ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน  เมื่อหลายสิบปีก่อนเมืองปายเป็นเหมือนเมืองผ่านแวะพัก   ก่อนเดินทางต่อเข้าไปในตัวจังหวัดนี้

สมัยหลายสิบปีก่อนนั้น  ข้าพเจ้าเคยเดินทางผ่านมาที่เมืองนี้หลายครั้ง ตอนนั้นมีร้านอาหารร้านหนึ่งตรงสี่แยก เป็นที่รู้จัก และเรามักจะแวะพักทานข้าวเที่ยง กันที่ร้านนี้เสมอ   จากนั้นก็จะเดินทางต่อ เพื่อเข้าไปในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน   ในช่วงเวลานั้น เท่าที่สังเกตดู ผู้คนในเมืองนี้มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย  และสงบเงียบ  

 หลายปีผ่านไป   เมืองปายได้เจริญเติบโต กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว  และอะไรๆ  ก็เปลี่ยนไป

ในหนังสือ  lonely  planet   Thailand  เคยกล่าวถึงปายว่า เป็น  Angle town ใครที่มาเมืองไทยควรแวะไปสักครั้ง เพราะที่นี่ค่อนข้างสงบ และสามารถใช้ชีวิตแบบช้าๆ  ธรรมดาๆ  และไม่ต้องเร่งรีบกับชีวิตได้    หลายปีหลังจากนั้นเป็นต้นมา  พอชาวฝรั่งมามากเข้า มากเข้า ก็มีคนไทยในเมืองใหญ่ตามมา 

และแล้วความเจริญต่างๆ  ร้านกาแฟ  ร้านอาหาร และ รีสอร์ท  ก็เกิดมีขึ้นมากมาย

หลายคนที่เคยมาปายเมื่อสิบปีก่อน ไม่ค่อยชอบใจนักเมื่อได้กลับมาที่ปายอีกครั้ง  เพราะวีถีปายได้เปลี่ยนไปมากทีเดียว  คนในพื้นที่ห่างหายไปจากแหล่งทำมาหากิน แต่มีคนต่างถิ่นมาเปิดกิจการต่างๆ แทน   

สำหรับข้าพเจ้ากลับมองว่าเป็นธรรมดาโลก  อะไรๆ มันก็เปลี่ยนได้  วิถีปายก็เช่นกัน  ในความคิดเห็นส่วนตน  ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าชอบที่จะแวะเมืองปาย เพื่อไปจิบกาแฟ  และทานขนมเค้กอร่อยๆ  ซึ่งก็มีอยู่หลายร้าน  แถมมีร้านขายของแต่งบ้าน  ของที่ระลึก  แบบ Hand made  ที่น่าสนใจ น่าไปแวะซื้อหาเป็นอย่างยิ่ง 

เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่คนในพื้นที่จึงไม่รู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงในเมืองปายจะเป็นอย่างไร มีผลดีผลเสียหรือไม่  ข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้อยู่อาศัยที่เมืองนี้ แต่อยู่ที่ตัวจังหวัดโน่น

ช่วงหลังๆ มีคนบอกว่า เมืองปายชักจะอึกทึก  มีรีสอร์ทเกิดขึ้นมากมายเกินเหตุ  แถมอาหารก็แพงมากโดยเฉพาะช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว  แต่ในความอึกทึกนั้น ก็คือการมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากนักท่องเที่ยวในช่วงหน้าหนาว เพราะ ใครๆก็นิยมมาที่นี่  โดยเฉพาะคนจากเมืองบางกอก

เท่าที่ทราบ  กระแสของเมืองปายนั้นยังคงพุ่งแรงอยู่   มีเหล่าดารา และคนดังทั้งหลายแห่แหนมาเยือนกันมากมายมิได้ขาดสาย แถมกลายเป็นการโปรโมท สถานที่ท่องเที่ยวไปในตัว ด้วย และล่าสุดก็มีการสร้างหนังที่ใช้เมืองปายเป็น Location และเป็นสถานที่ดำเนินเรื่อง  ปายจึงเป็นที่ที่น่าสนใจของผู้คนมากยิ่งขึ้น

ข้าพเจ้าย้ายมาทำงานอยู่ที่จังหวัดนี้เกือบ 9 เดือน แต่ไม่เคยไปท่องเที่ยวที่เมืองปายสักครั้ง  มีแต่แวะทานข้าว แวะจิบกาแฟ ก่อนเดินทางเข้าเชียงใหม่  หรือแวะช่วงที่กลับจากเชียงใหม่จะเข้าไปในตัวจังหวัด  จึงใช้เวลาอยู่ที่นั่นไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ

อันที่จริงข้าพเจ้ามีโครงการจะไปเที่ยวเมืองปายสักสองสามวันในวันหยุด ด้วยมีความประสงค์จะไปเยี่ยมเยือนน้องหมอที่คุ้นเคยกัน และทำงานอยู่ที่นั่น  เพราะมีเรื่องที่จะสนทนาพูดคุยกับเขา ทั้งเรื่องการงาน และการภาวนา

แต่แล้วเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าก็ได้ไปอยู่ที่เมืองปายถึง 9 วันเต็มๆ  หลายคนนึกว่าข้าพเจ้าไปเที่ยว  แต่อันที่จริงข้าพเจ้าไปเข้าภาวนากับหลวงพ่อธี  ที่วัดหัวนา  เวลาส่วนใหญ่จึงอยู่ในวัด  นอนอยู่ในวัด  และใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับคุณตาคุณยายเมืองปายซึ่งเป็นคนในพื้นที่ และมาภาวนาด้วยกันในวัดนี้      ข้าพเจ้า เลยไม่ได้สัมผัสเมืองปายอย่างจริงจังสักเท่าไหร่ 

 

แต่ก็มีโอกาสอยู่บ้าง  ในช่วงเวลาเช้ามืดตอนตีห้าครึ่ง  และในเวลาเย็นๆ  เพราะหลังการภาวนาช่วงบ่ายที่ยาวนาน เรามีช่วงเวลาพักประมาณสองชั่วโมงในตอนเย็น ข้าพเจ้ากับกัลยาณมิตรที่คุ้นเคยกัน  จึงพากันไปเดินเล่นแถวถนนคนเดิน เสียเลย

ช่วงก่อนหกโมงเย็นนั้น ถนนคนเดินในเมืองปายจะดูโล่งๆ  ผู้คนและนักท่องเที่ยวยังน้อยอยู่มาก  เราจึงมีเวลาและโอกาส เดินดูนั่นดูนี่อยู่บ้าง  

เวลาเช้าตีห้าครึ่ง  คือเวลาแห่งการเรียนรู้ที่น่าจดจำและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง   เพราะทุกๆเช้า  สามเณรีวิมาลาหรือ ที่เราเรียกท่านว่า " แม่วิ "  ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อธี   จะออกบิณฑบาตร  พวกเราจึงอาสาติดตามท่านออกไปบิณฑบาตรด้วย  ในฐานะเด็กวัด  

เราตื่นกันประมาณตีสี่ หลังนั่งสมาธิได้หนึ่งชั่วโมงเราก็จะออกมารอแม่วิที่ข้างศาลา   จากนั้นเวลาตีห้าครึ่งท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของต้นเดือนธันวาคม เด็กวัดหัดใหม่ก็เดินติดตามท่านออกไปรับบาตร   เราเดินไปท่ามกลางความเงียบสงบในยามเช้ามืด  และเดินด้วยเท้าเปล่า แม่วิสอนว่า ตลอดการเดินตามไปบิณฑบาตรนั้น ให้เราพิจารณาสิ่งทั้งหลายที่มากระทบทั้งทางกายและทางใจให้ดี  การเดินแบบนี้ทุกๆเช้าถือว่าเป็นการภาวนาอย่างหนึ่ง  

ข้าพเจ้าเคยนึกสงสัยอยู่ในใจมานานแล้วว่า  ความรู้สึกของการออกไปบิณฑบาตรจะเป็นอย่างไร  ครั้งนี้ข้าพเจ้าก็ได้เรียนรู้    เราเดินตามแม่วิออกจากวัด  ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ   และเดินกันไปเงียบๆ  ข้าพเจ้ารับรู้ถึงเท้าที่สัมผัสกับพื้นถนนที่บางครั้งก็ราบเรียบ  บางครั้งก็ขรุขระ บางครั้งก็มีก้อนหินก้อนดินอยู่ด้วย   ความร้อน – เย็น – อ่อน-แข็ง ของพื้นดิน ที่ได้สัมผัส  จิตใจที่บางครั้งก็อยู่กับการเดิน  บางครั้งก็ฟุ้งคิดไปถึงเรื่องราวต่างๆ  บางครั้งก็กลับมาสนใจแต่การเดินไปข้างหน้าทีละก้าวเท่านั้น  และเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ  ขณะที่ข้าพเจ้าก้าวเดินไปอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม  เดินเพื่อเดิน  เดินโดยไม่คิดถึงจุดมุ่งหมาย  และรับรู้กับทุกๆสิ่งที่ปรากฏขึ้นในขณะนั้นจริงๆ   ความเบิกบานก็เกิดขึ้นในใจ ..

  ที่เมืองปายนี่เองที่เท้าของข้าพเจ้าได้สัมผัสพื้นดิน และได้สัมผัสพื้นโลกจริงๆ 

เราเดินจากวัดเข้าไปในเมือง ท่ามกลางไอหมอกยามเช้า ผู้คนเริ่มมาตั้งร้านขายของ  ที่สี่แยกไฟแดงมีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งยืนรออยู่   เมื่อเราเดินไปถึงขณะที่แม่วิรับบาตร  เราต่างนั่งคุกเข่าลงพนมมือบนพื้นถนน  เป็นอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อนเช่นกัน  เมื่อของล้นบาตรเราก็ช่วยกันถ่ายโอนของจากบาตรท่านมาใส่ถุง  จากนั้นเราก็หิ้วตามท่านไป   นักท่องเที่ยวหลายคนต่างถ่ายรูปเพื่อนฝูงที่มาเที่ยวด้วยกันขณะใส่บาตร  ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีพวกเราติดไปในกล้องด้วย 

  เราทำเช่นนี้ทุกวัน   จนช่วงหลังๆ ผู้คนเมืองปายบางส่วนเริ่มจำได้ว่า  เด็กวัดที่เดินตามสามเณรีวิมาลา   มีหมอของ รพ.ปาย  คุณพยาบาลของเมืองปาย  อยู่ในขบวนด้วย   และมีอยู่ครั้งที่คุณป้านักท่องเที่ยวคนหนึ่งถึงกับซะโงกหน้า มาดูข้าพเจ้าใกล้ ๆแล้วทำท่าสงสัย จากนั้นก็พูดว่า  " รู้สึกคุ้นๆ หน้า "   ข้าพเจ้าก็ได้แต่มองคุณป้าท่านแล้วอมยิ้ม 

เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ   ครั้งหนึ่งในชีวิตข้าพเจ้าได้เดินเท้าเปล่าตามสามเณรีออกไปบิณฑบาตร  ได้นั่งคุกเข่าพนมมืออยู่บนพื้นถนน   กลายเป็นคนธรรมดามากๆ  และดูติดดินมากๆ  อยู่ท่ามกลางผู้คนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวทั้งหลาย  และได้พบเห็นผู้คนที่ยังพอมีศรัทธาในพุทธศาสนา  ตื่นมาใส่บาตรในตอนเช้า

หลายวันผ่านไปเราก็สังเกตพบว่า  กลุ่มคนที่ใส่บาตรนั้น ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว   ส่วนพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายบนถนนแถวๆนั้น  ใส่บาตรกันน้อยมาก   แต่พอหลายๆ วันผ่านพ้นไป  มาจนถึงวันสุดท้าย เราก็พบว่า  คนบนถนนที่เราเดินผ่านและเป็นคนที่ทำมาค้าขายอยู่ในพื้นที่ได้สนใจใส่บาตรกับ แม่วิกันมากขึ้น  อาจจะด้วยวิถีการเดินของท่าน  ท่าทางที่สงบและสำรวมของท่าน  ทำให้ผู้คนแถวๆ นั้นเกิดความศรัทธาเลื่อมใสขึ้นมา  การปรากฎของแม่วิในทุกๆเช้า เหมือนเป็นการช่วยเตือนความจำอะไรบางอย่างของเขาเหล่านั้น

ในช่วงพักจากการภาวนา ข้าพเจ้ากับกัลยาณมิตรที่คุ้นเคยกัน  ก็ได้พูดคุยกัน ในประเด็นที่ว่า ทำไมคนในตัวเมืองปาย และเป็นคนที่มาทำมาหากินในพื้นที่จึงใส่บาตรกันน้อยนัก  คนส่วนใหญ่ที่ใส่บาตรดูจะเป็นนักท่องเที่ยวมากกว่า  แต่ข้าพเจ้าก็อดคิดปรุงแต่งในใจไม่ได้ว่า นักท่องเที่ยวทั้งหลายเหล่านี้ โดยปรกติ บางคนก็ไม่เคยใส่บาตรเช่นกันเวลาอยู่ที่บ้าน    แต่พอมาเที่ยวเมืองนี้ หรือเมืองไหนก็ตาม  การใส่บาตรตอนเช้าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ไกด์ทัวร์มักจะจัดให้ และมักจะมีการถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกด้วย 

เราต่างสงสัยว่า   เหตุใดผู้คนเมืองนี้จึงไม่ค่อยใส่บาตรกันแล้ว เป็นเพราะสมณะทั้งหลายดูไม่น่าเชื่อถือหรือเปล่า   หรือไม่ก็ผู้คนเมืองนี้เขาไม่สนใจการใส่บาตรทำบุญกันแล้ว  ??  ทั้งหมดทั้งปวงนี้ คงมีหลายเหตุหลายปัจจัยอยู่  และข้าพเจ้าก็มานึกย้อนถึงตนเอง ที่ขณะอยู่เชียงใหม่ ก็ไม่เคยคิดที่จะตื่นเช้ามาใส่บาตร แถมค่อนข้างจะมองเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ อะไร  ความศรัทธาในพุทธศาสนาและความศรัทธาในสมณะนักบวชทั้งหลายของข้าพเจ้า ออกจะง่อนแง่นเอาการอยู่ ทีเดียว ตอนนั้น

ข้าพเจ้ามองย้อนกลับมาที่ตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน  ดูจะแตกต่างจากเมืองปายมากทีเดียว  ที่ตัวจังหวัดในตอนเช้า  มีพระออกมาเดินบิณฑบาตรจำนวนไม่น้อย และพระท่านก็ได้ข้าวของล้นบาตรกันทุกวัน  แถมกลุ่มคนที่ใส่บาตร จะเป็นคนในพื้นที่  เป็นคนที่อยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนนั่นเอง 

ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นช่วงที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย  พระท่านก็ยังมีของล้นบาตรอยู่ดี  ดูจากหลวงพี่เพทายจากวัดบนดอย ท่านก็ต้องเดินกลับวัด ด้วยข้าวของล้นบาตรทุกวัน  แว่วว่าระหว่างทางเดินกลับ ท่านก็แจกจ่ายแบ่งปันข้าวของที่รับบาตรมาให้เด็กๆ หรือชาวบ้านที่ยากจน ไม่มีอะไรจะกินต่ออีกทอดหนึ่ง

แต่ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในวัดหัวนา  ของเมืองปาย ข้าพเจ้ากลับพบว่าคุณตาคุณยายทั้งหลายที่เป็นคนในพื้นที่นั้น  สนใจในการภาวนาและเมื่อได้ฟังท่านสนทนาธรรมกันก็พบว่า หลายท่านปฎิบัติธรรมมานานและเข้าใจเรื่องราวพระธรรมคำสอนที่ลึกซึ้ง  และหลายๆท่านมีความเพียรอย่างมาก  มีความตั้งใจอย่างมากด้วย

ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสส่วนหนึ่งของที่นี่ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้  และยังมีศรัทธามั่นในพุทธศาสนา แต่คนรุ่นใหม่และมีปัญญาของที่นี่กลับสนใจอย่างอื่น และเริ่มตั้งคำถามกับวิถีเดิมๆ  ซึ่งแน่นอนเป็นวิถีเก่าๆ  และล้าสมัย  ซึ่งพวกเขาคงไม่ชอบใจกันนัก

  ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่า คุณตาคุณยายทั้งหลายที่เป็นคนรอบนอก เป็นคนที่อยู่แบบชาวบ้านๆดั้งเดิมนี้ จะเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ที่ย้ายเข้ามาในพื้นที่ได้อย่างไร   คนรุ่นใหม่ที่สนใจในด้านเศรษฐกิจและรายได้  มากกว่าที่จะมาสนใจด้านจิตวิญญาน 

แถมคนรุ่นใหม่ในพื้นที่จริงๆ ก็จำต้องละทิ้งวิถีชีวิตแบบชาวบ้านๆ เพื่อจะได้เป็นคนรุ่นใหม่และทันสมัยเหมือนกับคนที่ย้ายเข้ามาอีกที 

วิถีของปายเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว  " แม่วิ "  ดูเหมือนจะมองเห็นอะไรบางอย่าง  ท่านกล่าวเป็นห่วงเป็นใยถึงความทุกข์ของผู้คนเมืองนี้ในอนาคต  ความร้อนรนของจิตใจ   ความทุกข์ใจท่ามกลางความเงียบสงบ ที่จะบังเกิดขึ้น เมื่อขาดนักท่องเที่ยวมาเยือน

แถมท่านยังกล่าวกับน้องหมอที่ทำงานในเมืองนี้ว่า  ผู้คนจะป่วยอีกเยอะ หมอจะมีงานทำอีกมากทีเดียว  …. 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ปาย
หมายเลขบันทึก: 323924เขียนเมื่อ 29 ธันวาคม 2009 17:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

อยากไปเที่ยวปายมาก ยังไม่เคยไป ขอบพระคุณ

สาธุครับ

เป็นบันทึกที่ลึกซึ้งและดีมากๆครับ ขอจองรวมเล่มไปพิมขายนะครับพี่ยา

คิดถึงปายเหมือนกันนะพี่ยา แต่เห็นตอนนี้นักท่องเที่ยวทะลักมาก แถมข่าวว่า ปั๊มน้ำมันแถวๆปาย น้ำมันหมดปั๊มบ่อยๆ 555 อะไรจะล้นหลามขนาดนั้นเนอะ ขออนุโมทนาบุญกับพี่ด้วยที่ได้ไปปฏิบัติธรรมรอบนี้

เดี๋ยวปีใหม่นี้ นิดก็จะไปเค้าท์ดาวน์ที่วัดวังหิน ที่วัดจัดปฏิบัติธรรมตลอดวันที่ 31 ธค.จนถึง เที่ยงคืนเลย

โย่ว ดีจริงๆจะได้ไปเค้าท์ดาวน์ที่วัด

ดีจังค่ะ ที่ได้อ่านอารมณ์แบบนี้ อีกครั้ง กลับมาแล้วยัง คิดถึงอยู่เลย ไม่อยากกลับเท่าไหร่ค่ะพี่ยา...

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการภาวนา และดำเนินชีวิตช่วงนั้นทำให้ได้เรียนรู้ทั้งการเห็นจิต และอารมณ์ ที่เกิดอย่างชัดเจน ยิ่งช่วงเดินเป็นลูกวัดกับแม่วิ มันไม่ต้องหา ก็เห็น จริงๆนะคะ และก็มองมันอย่างห้ามไม่ได้ แล้วก็ดูดู มันไป

อัตตาที่เห็น มันก็เป็นรูปที่หยาบ ละเอียด หยาบ ละเอียด เมื่อเราพิจารณามัน ขณะที่มันดำเนินไป ยินดีบ้างยินร้ายบ้าง ไม่ยินดียินร้ายบ้าง ตามเรื่องตามราว

หลังกลับจากวัดมารู้สึกว่าทำไมอ่อนไหวกับธรรมะมากขึ้นไม่รู้ค่ะพี่ยา ฟังธรรมะพระอาจารย์ปราโมทย์ บางที่มันรู้สึกเศร้า จัง จนร้องไห้ออกมาหลายครั้ง ต้องลุกมานั่งภาวนาเลยค่ะพี่ยา เพราะรู้สึกว่าเสียเวลาไม่ได้แล้ว ทำงานในแต่ละวันก็ดูจิตดูใจไป รู้บ้างเผลอบ้างได้ทั้งวันทีเดียว

ตั้งใจว่ากลางปีนี้ต้องไปภาวนากับหลวงพ่อธีให้ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ถำวัว เมืองนะ หรือ ถำผาปล่อง เชียงใหม่ หรือ ปทุมธานี ก็จะไปค่ะ มันคงมีเหตุปัจจัย แล้วแต่ว่าจะได้ไปที่ไหน...

คิดถึงพี่ยาจัง ^_^

เข้ามาอ่านครับ เก่งมากครับ บรรยายดี รูปภาพประกอบสวยงามมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท