กฟผ/เมลเบิร์น


31 พฤษภาคม 2549

สวัสดีครับชาว Blog และโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ กฟผ.

         ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณกลุ่มลูกศิษย์ กฟผ. รุ่นที่ 2 ที่ร่วมเดินทางไปทัศนศึกษาดูงานที่เมืองเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลียเมื่อวันที่ 21-29 ที่ผ่านมา ผมหวังว่าทุกท่านคงจะหายเหนื่อยจากการเดินทางกันแล้วนะครับ ผมก็ถือโอกาสเปิด Blog ใหม่ขึ้นมาสำหรับกลุ่มลูกศิษย์ กฟผ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นที่ 2 ซึ่งอยากจะให้ทุกคนมา Share Ideas กันว่าประสบการณ์เกือบ 10 วันที่เมลเบิร์นนั้นท่านได้รับประโยชน์อะไรบ้าง 

         หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะมาร่วมแบ่งปันความรู้กันที่นี่

         จีระ  หงส์ลดารมภ์

 

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 32392เขียนเมื่อ 31 พฤษภาคม 2006 12:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 14:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)
สุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์

สวัสดีครับ  ผมสุทัศน์  ปัทมสิริวัฒน์ 

รบกวนเจ้าหน้าที่ Admin ของ Block ช่วยย้ายข้อเขียนของผม ที่เขียนเข้ามาวานนี้ ( 1 มิย. ) ในBlock หลักของอาจารย์  มาอยู่ Block นี้  เพราะข้อเขียนดังกล่าว  ตรงกับโจทย์ ที่อาจารย์ตั้งพอดี 

 ขอบคุณครับ

สุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์

 

สวัสดีครับ ดร.จิระ และสมาชิกใน Block

  หลังต้องรอค้างที่ Melbourne ต่ออีกคืนหนึ่ง (คืนวันอาทิตย์) เนื่องเที่ยวบินถูกยกเลิก  พวกเราสมาชิกโครงการฝึกอบรมผู้บริหาร กฟผ. SEDP2 ก็กลับถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ และตอนนี้แต่ละคนคงกำลังวุ่นวายกับภารกิจที่รออยู่ 

  สำหรับผมเวลาสัปดาห์หนึ่งที่ออสเตรเลีย  ย้อนหลังกลับไปดู คิดว่าเพื่อนๆร่วมรุ่นแต่ละคน คงได้อะไรมาไม่น้อย  สองวันแรกที่ มหาวิทยาลัยเมลเบอร์น ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของ ออสเตรเลีย อาจารย์แต่ละท่านเตรียมตัวมาดี เรื่องที่นำมาแลกเปลี่ยนก็นับว่า เป็นเรื่องที่ประยุกต์เอาไปใช้ที่ กฟผ. ได้   ไม่ว่าเรื่องการกำหนดและบริหารกลยุทธทั่วทั้งองค์กร  ที่ต้องกำหนดให้ สอดคล้องกับ ปัจจัยภายนอก ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ  สังคมและ เท็คโนโลยี นอกเหนือจากปัจจัยแวดล้อมขององค์กรธุรกิจโดยทั่วไป เช่นคู่แข่ง ลูกค้า  คู่ค้า และอื่นๆ   สำหรับ กฟผ. ซึ่งอดีตเน้นไปทาง operation exellence เรามุ่งไปทางรักษาความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า โดยเอาตัวเองไปเที่ยบกับนานาชาติ เช่น เทียบกับอเมริกาเหนือ  ความสามารถทางเท็คโนโลยี  ซึ่งหากเทียบกับประเทศในภูมิภาค เราถือเป็นผู้นำ  แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำความเข้าใจกับประชาชน  ในอนาคต กฟผ. อาจต้องปรับทิศทางไปทาง  Customer Intimacy คือเอาลูกค้าเป็นที่ตั้งมากขึ้น กรณี ลูกค้าของของ กฟผ. อาจต้องขยายความให้ครอบคลุมทั้ง Stake Holder ทั้งหมดของ กฟผ. ทั้งรัฐบาล  ผู้ใช้ไฟกลุ่มต่างๆ  องค์กรเอกชน  สื่อมวลชน  ชุมชนรอบๆหน่วยงาน กฟผ.  เป็นต้น

     การบริหารบุคลากร ซึ่งต้องให้ความสำคัญต่อคนเก่งและดีที่องค์กรต้องการ ต้องรู้จักคัดเลือก  ดูแล ให้การตอบแทน ตลอดจนโอกาสในการสร้างความสำเร็จ  สร้างสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า employee  engagement  ให้ได้ ต้องเข้าใจและเรียนรู้ความแตกต่างของคนรุ่นต่างๆ และบริหารได้ถูกต้อง 

     เรื่องความเป็นผู้นำและการบริหารการเปลี่ยนแปลง  ความแตกต่างระหว่าง  Leadership VS Management  ซึ่งเป็นเรื่องทราบกันดีอยู่แล้ว  แต่จุดสำคัญการเป็นผู้นำ จะสร้างได้อย่างไร  ซึ่งมีกรณีศึกษาหลายกรณี  แต่โดยพื้นฐาน ผู้นำต้องมีความสามารถในเรื่องของคน  สร้างองค์กรที่มีperformance ที่ดีซึ่งแน่นอนต้องจูงใจให้ ทีมสามารถผนึกกำลัง และทุ่มเทความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ และเป้าหมายขององค์กรที่กำหนด  ผู้นำที่ดีต้องพร้อมสำหรับการประเมินอย่างเข้มข้น ทั้ง 360 องศา

 นอกจากนั้นก็ได้เรียนรู้ถึง ทิศทางพลังงานของโลก  การบริหารสิ่งแวดล้อม ซึ่งตลอดสองวัน พวกเราได้สอบถามและแลกเปลี่ยน กับอาจารย์ผู้สอนอย่างเข้มข้น  เรียกว่าใช้  4L ของ ดร.จิระ ในการเรียนรู้อย่างเข้มข้น

  ต่อมาเราได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนเรื่อง Privatization ของรัฐวิคตอเรีย  ซึ่งเขาแปรรูปเป็นเอกชนเต็มตัว  ทั้งGenerator ,Transmission ,Distributuon ,Retailer  ล้วนเป็นเอกชนหมด  ได้พบและแลกเปลี่ยนข้อมูลจากหลายฝ่าย ตั้งแต่เจ้าหน้าที่รัฐวิคตอเรีย  บริษัทที่ดูแลตลาดซื้อขายไฟฟ้า  บริษัทระบบส่ง   Mayer ของเมือง Latrobe ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของโรงไฟฟ้า และเหมือง ที่ป้อนไฟให้รัฐวิคตอเรีย  ผู้ลงทุนโรงไฟฟ้าเอกชน   สหภาพแรงงาน ทำให้ทราบข้อมูลหลายประการ เป็นประโยชน์ต่อ กฟผ. ในการปรับเปลี่ยนในอนาคต

   วัตถุประสงค์หลักของรัฐวิคตอเรีย ในการแปรรูปคือเศรษฐกิจอยู่ในช่วงเกิดวิกฤต รัฐจึงต้องการขายเพื่อลดหนี้  ผลของการขายเกือบทั้งหมดตกเป็นของบริษัทต่างประเทศ ทั้งจากสหรัฐ อังกฤษ  ฮ่องกง สิงคโปร์   ถ้าเป็นบ้านเราต้องโดนข้อหาขายสมบัติชาติแน่นอน   แต่เท่าที่ดูคนออสเตรเลีย ไม่ค่อยสนใจประเด็นนี้เท่าไร ชาตินิยมคงไม่ถึงกับเข้มข้นในประเด็นนี้ เท่าประเทศไทย  การแปรรูปของเขามีทั้งข้อดีข้อเสียให้ศึกษามากทีเดียว

    ข้อดีที่เจ้าหน้าที่รัฐสรุป  นอกจากลดหนี้ของรัฐ  ก็คือราคาค่าไฟจากผู้ผลิตถูกลง  การปกครองของออสเตรเลียแบ่งรัฐๆ เมื่อเกิด Power Pool เกิดขึ้นเกิดการซื้อขาย ข้ามรัฐ ทำให้ราคาไฟฟ้า ที่เคยแตกต่างกันระหว่างรัฐ  ใกล้เคียงกันขึ้น นอกจากนั้นกำลังผลิตอยู่ในสภาพ Overcapacity จากเดิมที่แต่ละรัฐต้องสำรองของตน  เกิดการแข่งขันกันสูง ราคาค่าไฟจาก Generator จึงลดลง  แต่จะได้ยินเสียงบ่นจากผู้ลงทุนว่ากำไรน้อยมาก  และไม่มีใครสนใจจะลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่  อย่างไรก็ดีเมื่อตรวจสอบค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟตามบ้าน ยังคงไม่ถูกลง  ประมาณ 4.50 บาทต่อหน่วย  แต่ราคาของผู้ใช้ไฟรายใหญ่ เช่นอุตสาหกรรม  จะได้ค่าไฟถูกลง  ประมาณ 2 บาทต่อหน่วย  ตรงข้ามกับบ้านเราที่ค่าไฟหว่างผู้ใช้ราคาไม่แตกต่างกัน 

   ข้อเสียที่ชัดเจนที่สุดคือการตกงาน และผลกระทบต่อชุมชนเมือง Latrobe ซึ่งพนักงานลดลงจาก 20,000 คน เหลือเพียงราว  8,000 คน เนื่องจากทุกบริษัทต้องลดค่าใช้จ่าย เปลี่ยนไปใช้จ้างแบบ Outsource หมด  เมือง Latrobe ซึ่งเป็นเมืองที่ผู้คนเกือบทั้งหมด เกี่ยวข้องกับพลังงาน จึงได้รับผลกระทบมาก รัฐบาลซึ่งเป็นพรรคเสรีนิยม ปกครองรัฐวิคตอเรีย หลังดำเนินการแปรรูป  ต้องแพ้การเลือกตั้ง  สหภาพแรงงานอ้างว่าผลการแปรรูป ส่งผลกระทบชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน เนื่องจากตกงานมาก โดยผู้รับผลประโยชน์เป็นเพียงอุตสาหกรรม ที่ได้ค่าไฟถูกลง 

   การแปรรูปดำเนินการไปโดยมีรัฐวิคตอเรีย เป็นผู้นำ  แต่รัฐอื่นๆ ยังคงอยู่ในขั้นตอนเพียง Coparatization ยังไม่ขายเป็นเอกชน และผลกระทบทางการเมืองของรัฐวิคตอเรีย  ทำให้หลายรัฐยังคงรีรอที่จะเดินหน้าแปรรูปตาม   ผลทำให้regulation  ระหว่างรัฐแตกต่างกัน  ผู้ลงทุนเอกชนที่รัฐวิคตอเรีย บ่นถึงปัญหาที่มี regulation หลากหลาย  ซับซ้อน ผู้ลงทุนรายหนึ่งบ่น ถึงราคาของ Generator ของรัฐนิวเซาท์เวล ซึ่งยังเป็นของรัฐ  และมีแหล่งถ่านหิน Black Coal ซึ่งคุณภาพดีกว่า Brown Coal ที่มีในรัฐวิคตอเรีย  เข้ามาทำสัญญาขายไฟราคาต่ำ  ทำให้ราคาไฟใน Pool ต่ำจนกำไรต่ำมาก

   หลายคนถามถึงกิจการสายส่งซึ่งเป็นเอกชน  เวลาเวนคืนที่ดินทำสายส่ง  เมื่อยังเป็นของรัฐ  ใช้อำนาจรัฐดำเนินการ เมื่อเป็นเอกชน จะทำอย่างไร  ดูเหมือนของเดิมจะทำไว้ตอนเป็นของรัฐ  ขณะนี้ยังไม่มีโครงการใหม่ๆมาก จึงยังไม่ทราบว่าจะมีปัญหาหรือไม่  เพราะจะแล้วแต่ความยินยอมของเจ้าของที่ ว่าจะขายหรือไม่   ส่วนประเด็นขายบริษัทระบบส่ง ซึ่งเดิมใช้อำนาจรัฐเวนคืน ไม่มีคนคัดค้านประเด็นนี้เหมือนในบ้านเรา  ซึ่งชมรมผู้บริโภคหยิบจุดนี้ไปฟ้องศาลปกครอง ทำให้ บมจ.กฟผ ต้องกลับมาเป็น กฟผ. เช่นในเมืองไทย

   ประเทศออสเตรเลียพลังงานไฟฟ้า เกือบทั้งหมดผลิตจาก ถ่านหิน ซึ่งเขามีสำรองใช้ได้เป็นหลายพันปี  ต้นทุนผลิตถ่านหินยังถูกมาก สอบถามดูต้นทุน เทียบกับถ่านลิกไนต์ที่แม่เมาะ ยังถูกกว่าเรามาก ประมาณครึ่งหนึ่งของราคาแม่เมาะ  แต่ปัญหาคือมลภาวะ  ปริมาณคาร์บอน ใกล้ถึงเพดานทีที่กำหนดให้แต่ละประเทศตาม Kyoto Protocol  รัฐจึงมีนโยบายส่งเสริมการผลิตด้วย Gas  และ พลังงานหมุนเวียน  แต่เท่าที่ดูมาตรการของรัฐยังไม่ Incentive มากนัก  ปัญหาเรื่องนี้ต่างกับบ้านเรา กว่า 70% ผลิตจากGas  มีปัญหาราคาแพง ลอยตัวตามน้ำมัน ข้างหน้าการลดสัดส่วนการผลิตจาก Gas คงต้องทำ  ทางเลือกก็คือ ถ่านหิน  ความร่วมมือกับ ออสเตรเลียในเรื่องนี้ จึงเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเมืองไทย ด้านพลังงาน

  วันนี้ขออนุญาติ แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้รับจากการไปศึกษาที่ออสเตรเลีย หนึ่งสัปดาห์ ยังขอไม่ออกความเห็นอะไร  แต่ผมรู้สึกว่าหนึ่งสัปดาห์เป็นสัปดาห์แห่งการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม ไม่นับถึงโอกาสของผมที่ได้ฝึกฝนการพูด และแลกเปลี่ยนกับผู้คนในต่างประเทศ  โดยใช้ภาษาอังกฤษ  เพื่อนร่วมรุ่นของผมบางท่านบอกว่าเหมือนน้องๆ ไป Road Show ให้ กฟผ. ทีเดียว

  ขอบคุณครับ  ดร.จิระ หวังว่าจะได้พบกับอาจารย์อีกเร็วๆนี้

 

   

ได้อ่านบทสรุปของคุณสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ทำให้ผมได้รับความรู้ข้อมูลที่ได้รับจากการที่ท่านได้ไปศึกษาที่ออสเตรเลียด้วย ถึ่งไม่ได้เป็นพนักงานของการไฟฟ้าฝ่ายใดๆเลย

ก็จะขอติดตามข่าวสารข้อมูลด้วยคน

ถึงพี่ๆ EGAT และทีมงาน ChiraAcademy ทุกท่าน

          ได้รับคำชักชวนจากท่านอาจารย์ดร. จีระ ให้เปิดเข้ามาใน Blog ก็เลยลองเข้ามาดูซะหน่อยในเช้าวันหยุด กำลังเขียนเรื่องคล้ายๆ พี่สุทัศน์อยู่เหมือนกัน แต่วันนี้อยากจะเพียงแค่บอกความรู้สึกสั้นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับความรู้ที่ได้รับจากการไปศึกษาดูงาน และไม่มีโอกาสได้บอกกับทุกคนตอนที่ร่วมอยู่ใน Trip เดียวกัน ว่า

"รู้สึกดีใจ และสบายใจที่การผลิตไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจสังคม และความเป็นอยู่ของคนทั้งชาติ อยู่ในมือของบุคคลากรคุณภาพอย่างทีมงานที่ไปด้วยกันชุดนี้"  

          วันนี้อยากเขียนเท่านี้แหละค่ะ และก็ไม่กังวลอีกแล้วว่าจะ Privatize, Corporatize หรือ State-own ขอให้รักษา และพัฒนาบุคลากรคุณภาพกลุ่มนี้เอาไว้ และอย่าลืมสร้าง Successors ด้วยละกันเพราะ Skill และ Attitude แบบที่พี่ๆ มีอยู่นี้มันหายาก และใช้เวลาสร้างนาน ไม่อยากให้เราประสพปัญหาแบบรัฐ Victoria ในเรื่อง Skill shortage

         จะแวะเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้อีกเร็วๆนี้

สวัสดีค่ะ

ยม "สัปดาห์แห่งความปลื้มปิติของปวงชนชาวไทย"

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ/ ชาว กฟผ. และท่านผู้อ่านทุกท่าน

ขณะนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยทั่วหน้า ล้วนมีความปิติยินดีและร่วมถวายความจงรักภักดี ด้วยการมุ่งมั่นทำความดี ในวโรกาสที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์สมบัติมานานครบ 60 ปี ผมได้อ่าน น.ส.พ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 3 มิ.ย. “บทเรียนจากความจริง”

ในบทความดังกล่าว ศ.ดร.จีระ เขียนเกี่ยวกับ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับพระปรีชาสามารถ แนวทางการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของพระองค์ท่าน ซึ่งพวกเรา บรรดาลูกศิษย์ของ ศ.ดร.จีระ  และคนไทยทั้งปวง น่าจะนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อเจริญลอยตามฝ่าพระบาทฯ  รายละเอียดของบทความเป็นอย่างไร ผมได้ Copy มาไว้ในตอนท้ายของ Blog นี้


ศ.ดร.จีระ ยังมีรายการ ทีวี UBC 7 วันอาทิตย์ ช่วงบ่ายโมงโดยประมาณ และรายการวิทยุ”Knowledge for People”   ในทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00-19.00น. สถานีวิทยุ F. M. 96.5 MHz. “คลื่นความคิด "   ซึ่งเป็นรายการที่ให้ทุนทางความรู้และทุนทางปัญญาแก่ผู้สนใจได้ดีมาก ท้ายนี้ ขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มุ่งมั่นทำความดี ถวายแด่ในหลวงของเรา และขอให้ความดีที่ท่านทำ จงส่งผลให้ท่านมีความเจริญด้วย ทุนทางศีล สมาธิ สติ ปัญญา นำพาความสุข ความเจริญมาสู่ท่านและครอบครัว


สวัสดีครับ


ยม
น.ศ. ป.เอก รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(กทม.) 2

...............................................................................

สัปดาห์แห่งความปลื้มปีติ
ของปวงชนชาวไทย
[1]
โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมย์
(คัดมาจาก น.ส.พ.แนวหน้า วันที่ 3 มิ.ย. 2549)

สัปดาห์นี้คงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับงานเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทย


งานเฉลิมฉลองดังกล่าว คงไม่ใช่แค่มีพระราชพิธีเท่านั้น ผมคิดว่า ถ้าเราจะคิดสะท้อนพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านว่า ได้ทรงสะสมความรู้ แสวงหาความรู้โดยตลอดมา ( Acquired ) แบ่งปันให้คนไทย (Share) และนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนคนไทยอย่างไร บทเรียนดังกล่าวควรจะสอนให้คนไทยได้เรียนรู้ในพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน เป็นการสร้างสังคมการเรียนรู้ไปด้วย


สิ่งแรกที่น่าจะพูดถึงคือ วิธีการหาความรู้ของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านคิด พระองค์ท่านทรงศึกษามาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่วิทยาศาสตร์แบบตำราอย่างเดียว แต่ทรงนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มา apply กับสถานการณ์ความจริง แก้ปัญหาต่างๆ ได้ โดยทำอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ ซึ่งทฤษฎีดังกล่าว เรียกว่าทฤษฎีข้ามศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ของพระองค์ท่านนั้นผสมผสานกับนิติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์ ซึ่งบทเรียนนี้เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ เพราะคนไทยมักจะรู้เฉพาะทาง และสนใจในเรื่องที่ตัวเองรู้ แต่ไม่สนใจศาสตร์อื่นๆ จึงทำให้ปัญหาบางอย่างแก้ไม่สำเร็จ

ประเด็นที่สอง พระองค์ทรงเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะปัจจุบันความรู้เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา หรือที่มีความจริงหนึ่งบอกว่า "ในอดีต ทุก 300 ปี ความรู้จึงจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่ปัจจุบัน ความรู้เพิ่มขึ้นเท่าตัวทุก 2 ปี" ความรู้ของพระองค์ท่านเป็นความรู้ที่สด และทันสมัยเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องการเมืองหรือภัยธรรมชาติ

อีกประการหนึ่งคือ วิธีการเรียนรู้ของพระองค์ท่าน คือพระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ที่สนใจ IT และ Internet ตั้งแต่แรก ปัจจุบันยังมีคนไทยจำนวนมากที่ยังใช้ Internet ไม่เป็น แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน นอกจาก IT แล้ว พระองค์ท่านทรงอ่านหนังสือหลากหลายชนิด ที่สำคัญ ทรงฟังวิทยุ และวิทยุสื่อสารของราชการ พระองค์ท่านทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตลอดเวลา เห็นได้จากเวลาเสด็จฯทรงเยี่ยมราษฎร หรือเปิดงาน ทรงสนทนากับผู้รู้เป็นเวลา 3-4 ชั่วโมงอย่างสนพระทัย ด้วยการรับฟังปัญหาจากประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ ทำให้งานของพระองค์ไปสู่ความสำเร็จอย่างสูง เพราะพระองค์ทรงคำนึงถึงความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ไม่เหมือนกับผู้ที่มองตัวเองเป็นหลักว่าตัวเองได้อะไร ไม่ค่อยจะถามว่าประชาชนได้อะไร


สุดท้ายทฤษฎีเศรษฐกิจฐานความรู้ ซึ่งประกอบไปด้วย


ถึงแม้ว่าหลายคนคิดว่า เศรษฐกิจ Knowledge based society ของตะวันตก จริง ๆ แล้ว น่าจะพูดได้ว่ามาจากพระองค์ท่านก่อน เพราะอย่างเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หรือเศรษฐกิจทฤษฎีใหม่ พระองค์ท่านได้ทรงทดลองเก็บข้อมูล จากศูนย์ศึกษา 6 แห่งของท่าน คือ
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เชียงใหม่
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สกลนคร
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จันทบุรี
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฉะเชิงเทรา
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพชรบุรี
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นราธิวาส

    และค่อย ๆ นำมาเป็นข่าวสาร มาเป็นฐานความรู้ และนำไปใช้ ในที่สุดไปสู่ Wisdom   การที่พระองค์ท่านทรงได้ความรู้ดังกล่าว ก็คือข้อมูลที่ได้วิเคราะห์เป็นวิทยาศาสตร์ หลายครั้งหลายหน จนเป็นที่แน่ใจแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ ในช่วงสัปดาห์นี้ ประชาชน คนทั่วโลกจะได้เรียนรู้แนวคิดและปรัชญาของพระองค์ท่านมากขึ้น ไม่ใช่มองเพียงแต่รางวัล Human Development Prize ได้รับการถวายจากองค์การสหประชาชาติ โดยโคฟี อันนัน เท่านั้น นับเป็นเกียรติประวัติที่คนไทยภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

    ผมเชื่อว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านจะขยายวงเป็นที่แพร่หลายไปในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ

    การขยายปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปต่างประเทศ ขอพูดในส่วนที่ผมและมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศได้ทำไป และเป็นรูปธรรมชัดเจน

    เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ เริ่มไปทำการทูตภาคประชาชนที่กัมพูชา เป็นประเทศแรก ได้เริ่มการสร้างสังคมการเรียนรู้ โดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในครั้งแรกมีองคมนตรีนายแพทย์เกษม วัฒนชัย ไปร่วมบรรยายที่พนมเปญ และได้ทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ประชาชน และเกษตรกรของกัมพูชารวมทั้งหมด 4 ครั้ง

    หลังจากนั้นได้ไปทำสัมมนาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่พม่า เน้นเรื่องการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน โดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้พม่าเดินสายกลาง มองการขยายตัวเรื่องการท่องเที่ยว ตัวอย่างที่ไม่ดีของไทยคือ ขยายตัวเร็วเกินไป ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ได้รับการยอมรับมากในประเทศพม่า และจะทำต่อในปีนี้

    นอกจากนี้ ผมยังได้ไปทำการบรรยายเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงกับประเทศจีน เมืองคุนหมิง โดยได้เชิญ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ไปร่วมการบรรยายด้วย ได้รับการยอมรับจากประเทศจีนอย่างสูงในครั้งนั้น

    ส่วนในเดือนหน้า จะจัดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงในประเทศเวียดนาม


    เรื่อง APEC ซึ่งผมเป็นประธานคณะทำงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD Working Group) ผมเคยนำผู้แทน APEC ไปดูงานที่เขาหินซ้อน เมื่อมีการประชุมประจำปีของคณะทำงานด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของ APEC ครั้งที่ 27 วันที่ 20-24 มิถุนายน 2548 ที่พัทยา ซึ่งทำให้ผู้แทน APEC ได้เข้าใจเศรษฐกิจพอเพียงอย่างลึกซึ้ง

    สุดท้ายนี้ ผมเพิ่งกลับมาจากการประชุม APEC SOM II ที่ Ho Chi Minh ได้รายงานให้ที่ประชุมว่า ในการประชุม HRD Minister ครั้งที่ 5 ซึ่งจะจัดที่กรุงเทพฯ ในปลายเดือนตุลาคมนี้ จะมีการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน ในเรื่องพระเจ้าอยู่หัวกับ HRD ซึ่งทาง APEC ได้เห็นชอบและอนุมัติ แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของคนไทยเป็นบุคคลที่โลกยอมรับอย่างแท้จริง

    ดังนั้น คนไทยควรต้องศึกษาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านอย่างรอบคอบชาวต่างชาติ ให้ความสนใจปรัชญาดังกล่าว รวมทั้งนักวิชาการของมหาวิทยาลัยต่างประเทศหลายแห่ง เป็นมุมมองที่ทำให้โลกอยู่ได้อย่างยั่งยืน ยิ่งนับวัน ภัยธรรมชาติคุกคามมนุษย์เรา ยิ่งต้องเดินสายกลาง

    ผมวิงวอนให้คนไทยในสัปดาห์นี้ ตั้งใจที่จะหาความรู้ในปรัชญาของพระองค์ท่าน ศึกษาให้แท้จริง และนำความรู้มาใช้ เพราะปรัชญาดังกล่าว จะช่วยให้โลกเดินสายกลางและทำให้ประชากรโลก ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และจะทำให้โลกของเรายั่งยืน


    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    จีระ หงส์ลดารมภ์

    [email protected]
    โทร.
    02-273-0180, 0-2619-0512-3
    โทรสาร
    0-2273-0181

 

สุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์

สวัสดีครับ  สมาชิกทุกท่าน

ผมไม่ทราบมีปัญหาทางเท็คนิคหรือไม่  หลังจากผมPost เข้ามาล่าสุด พยายามเปิด Block กฟผ-เมลเบอร์น แล้วผม เข้าไม่ได้มาหลายวัน แม้จะเปิด www.chiraacademy.com ได้  วันนี้ลองเปิดเข้ามาปรากฏว่าเปิดได้  ขออนุญาติส่งข่าวถึงเพื่อนๆร่วมรุ่นด้วย ขอให้ช่วยกันออกความเห็นมาหน่อย  เราจะได้สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน 

 วันนี้ผมขออนุญาติให้ความเห็นเกี่ยวกับ HR หลังจากที่ได้ผ่านหลักสูตรที่จัดโดย HR พันธ์แท้คนหนึ่งของเมืองไทย อย่าง ดร.จิระ

  มุมมองสมัยใหม่ ที่ผู้บริหารจะต้องปรับทัศนคติ และนำไปใช้   มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมเห็นว่าได้รับจากการอบรม 

   ประเด็นแรก  ก็คือมุมมองที่เห็นว่าผู้บริหารจะต้องเก่ง  ในสามด้าน   งาน  คน  และการบริหารการเปลี่ยนแปลง   หากเทียบกับ Managerial Grid  จะเพิ่มมุมมอง ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงเพิ่มอีกด้านหนึ่ง

ซึ่งเท่ากับเราต้องยอมรับว่าภายใต้สภาวะ Globalization ปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ  การเมือง  เท็คโนโลยี   การแข่งขันจากต่างประเทศ   มีผลสำคัญต่อทิศทางการบริหารองค์กรในยุคปัจจุบันมาก   การ Aligning  กลยุทธขององค์กรให้สอดคล้องกับปัจจัยภายนอก  จึงเป็นเรื่องสำคัญ

    ประเด็นที่สองผู้บริหารในยุคใหม่  จะต้องเพิ่มทักษะในการเป็นผู้นำให้มากขึ้น    ไม่ใช่ผู้จัดการอีกต่อไป   บทบาทของผู้นำจึงแตกต่างจากเดิม  ผู้นำจะต้องสามารถสร้าง  Inspiration ของทีมงาน และสามารถนำทีมตลอดจนสามารถ Coaching ทีม  ให้สามารถดำเนินการให้มี Performance ที่ดีตามเป้าหมายได้ โดยที่มี employee engagement สูง โดยเฉพาะการบริหารคนเก่งและดีขององค์กร  ให้อยู่และพัฒนาความสามารถให้สูงขึ้นเรื่อยๆ   สำหรับ กฟผ. เรามีผู้บริหารที่ดีและเก่งอยู่พอควร  สามารถเป็นแบบอย่างที่ดี  (Mentoring)  แต่เรื่อง Tatent  Management  ในความเห็นผมยังขาดมาก  บางครั้งเรามีคนเก่ง แต่ก็เป็นคนเก่งที่ทำงานเป็นทีมได้ไม่ดีพอ  ชอบมีปัญหากับคนอื่นๆ  ยิ่งเป็นงานที่ต้องพึ่งพาปัจจัยจากคนภายนอกก็จะมีปัญหาในการประสานงาน  ทำให้ไม่อาจสร้างความสำเร็จให้องค์กรได้

    ประเด็นที่สามเป็นประเด็นที่ ดร.จิระ  ให้ไว้ว่าผู้บริหารของ กฟผ. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิศวกร  ซึ่งอาจารย์คงยอมรับจากการสัมผัสกันมากขึ้นว่าพวกเราเป็นวิศวกรที่เก่งทีเดียว ในงานวิศวกรรม ในศาสตร์เฉพาะทาง  งานของกฟผ. จึงสามารถเปรียบเทียบระดับได้กับนานาชาติ ในเกือบทุกด้านทางเท็คนิค   แต่อาจารย์เห็นว่าคนของกฟผ. จะต้องข้ามศาสตร์มากขึ้น  ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ในเรื่องนี้  โดยเฉพาะเรื่องของ กฟผ. เกี่ยวข้องกับภายนอกมากในปัจจุบัน ดังนั้นโจทย์ของผู้บริหารในปัจจุบันจึงต้องใช้ศาสตร์ที่กว้างขวางขึ้น   มีunkhown  มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ตัวแปรทางวิทยาศาสตร์  หลายๆครั้ง เราจึงพบว่าผู้บริหารระดับสูงหลายท่าน  อาจไม่เก่งกาจเหมือนสมัยท่านทำงานในระดับปฏิบัติการ เมื่อทำหน้าที่ในระดับสูง  การบ่มเพาะผู้บริหารก่อนที่จะก้าวสูงขึ้นจึงเป็นเรื่องจำเป็น

  เขียนมาสามประเด็น  ก็รู้สึกว่าข้อเขียนเริ่มจะยาวแล้ว ผมเป็นคนไม่ชอบทำอะไรยาวๆ   ผมคงต้องจบไว้เพียง สามประเด็นก่อน  ขอให้เพื่อนๆช่วยกันเขียนมาShare กันบ้าง  เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน   

   พบกันใหม่สวัสดีครับ

ยม "การทูตภาคประชาชนฯ/Talent Management บทความของ ศ.ดร.จีระ (น.ส.พ.แนวหน้า 10 มิ.ย.2549)

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

 

ผมติดตามสาระน่ารู้จาก ศ.ดร.จีระ จาก น.ส.พ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 10 มิ.ย. 2549 อาจารย์เขียน บทความเรื่อง "การทูตภาคประชาชนที่เวียงจันทน์" มีสาระน่าสนใจมากครับ ผมอ่านแล้วจับประเด็นได้ มีดังนี้ ครับ

  • สหประชาชาติ ทูลเกล้าฯถวายรางวัลแด่ในหลวงของเรา
  • คนไทยต้องหันกลับมาสู่คุณธรรม ต้องวิเคราะห์ให้เป็น คิดให้เป็น ต้องรู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรไร้สาระ และ อะไรคือความดีคุณธรรมที่จรรโลงสังคม
  • การสัมมนาของกลุ่ม Asia business forum เป็นเรื่องการบริหาร Talent หรือ การบริหารดาวดวงเด่นขององค์กร
  • การเรียนยุคใหม่ ต้องเรียนกันเป็นทีม style 4 L's
  • เรื่อง Talent management ต้องทำให้ง่ายๆ แบบ Simplicity
  • Talent ต้องเน้นการทำงานข้ามชาติ
  • Talent น่าจะประกอบ 3 เรื่องในตัวคนเดียวกัน
  • ทฤษฎี 20/70/10 ผู้ที่เป็นดาวเด่น 20% จะต้องทำงานกับคนอื่นๆด้วย และจะต้องพัฒนาคนในองค์กร 70% ให้เก่งด้วยฯ
  • การบริหารหรือเก็บเกี่ยว Talent ให้ได้ผลสูงสุดอย่างไร น่าจะอยู่ 3 ขั้น
  • และการทูตภาคประชาชน บทบาทของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และการไปเยือนลาวฯ

 

ผมอ่านแล้ว รู้สึกว่าได้สาระความรู้ และเหมือนกับได้ไปลาวกับอาจารย์ด้วย ที่น่าสนใจ มากคือเรื่องเกี่ยวกับ Talent Management ที่สั้น เข้าใจง่าย แบบภูมิปัญญาไทย ซึ่งท่านผู้อ่าน หรือ นักบริหาร นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าร่วมการอบรมกับ Asia business forum สามารถนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ง่าย

 

นอกจากนี้ ท่านผู้อ่านที่มีครอบครัวยังสามารถนำแนวคิดเกี่ยวกับ Talent Management ไปบริหารจัดการลูกหลานได้อีกด้วย เช่น ศ.ดร.จีระ กล่าวว่า องค์ประกอบของ Talent มี 3 อย่างอยู่ในตัวคนเดียวกัน คือ KSM, knowledge(ความรู้) Skill (ทักษะ ความชำนาญ) Mindset (ทัศนคติ) 3 อย่างนี้ ท่านสามารถนำไปกำหนดยุทธศาสตร์ในการสร้างบุตรหลานของท่าน ให้เป็นมรกดกแก่แผ่นดินได้ เป็นอย่างดี     ส่วนการทูตภาคประชาชน ก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างทุนทางสังคม ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างเครือข่าย สร้างสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ได้

รายละเอียดบทความของ ศ.ดร.จีระ ในเรื่อง ดังกล่าว ผมคัดมาให้ไว้ตอนท้ายนี้ครับ ขอให้ท่านโชคดี

 

สวัสดีครับ

ยม

 

การทูตภาคประชาชนที่เวียงจันทน์ *

 

สัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์มหามงคลแห่งความปลื้มปีติของคนไทย นอกจากที่สหประชาชาติ ทูลเกล้าฯถวายรางวัลแด่พระองค์ท่านแล้ว ยังมีรางวัลของ European Union เรื่องสิทธิบัตร "ฝน หลวง" ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นสิริมงคลและเป็นเกียรติประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวง ชนชาวไทย ในยุคโลกไร้พรมแดนนี้

 

ในสัปดาห์นี้ สีเหลืองเป็นสีที่ทุกคนภาคภูมิใจและหล่อหลอมรวมดวงใจของคนไทยด้วย แต่มีพ่อค้าบางคนยังเอาเปรียบสังคม ขายราคาแพง ยุคนี้คนไทยต้องหันกลับมาสู่คุณธรรม จริยธรรม หากรัฐบาลใดยังเน้นเรื่อง growth การเจริญเติบโต เรื่องความร่ำรวย การบริโภคนิยม และวัตถุนิยม โดยไม่มองมิติอื่นๆ ก็จะทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยความรุนแรง เพราะแข่งขันกัน และเอารัดเอาเปรียบกันตลอดเวลา ยิ่งนานไป เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะเป็นบทเรียนราคาแพง ให้คนไทย ฉะนั้นคนไทยต้องวิเคราะห์ให้เป็น คิดให้เป็น ต้องรู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรไร้สาระ และ อะไรคือความดีคุณธรรมที่จรรโลงสังคม ในที่สุดแล้ว ความดีน่าจะสำคัญกว่าความเก่ง ซึ่งไปเพิ่ม ผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงส่วนรวมคงไม่ได้

 

ช่วงนี้ คนไทยทุกคนควรจะต้องปรับตัว และคิดให้รอบคอบว่าอะไรจะเกิดกับสังคมไทย ระหว่างที่อ่านบทความนี้เป็นช่วงที่หยุดหลายวัน นอกจากพักผ่อนแล้วก็ขอความกรุณา สนใจข่าวสารและเรียนรู้ในพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปด้วย

 

เพราะอีก 2 -3 สัปดาห์ข้างหน้าคงจะมีการต่อสู้ทางการเมืองรุนแรงต่อไป และคงจะเป็น การต่อสู้ที่กำหนดอนาคตของประเทศไทย คนไทยต้องเฝ้ามอง ระวังและตั้งสติให้ดี สัปดาห์นี้ ผมทำงานใหญ่หลายเรื่อง

 

เรื่องแรกคือ ในการสัมมนาของกลุ่ม Asia business forum เป็นเรื่องการบริหาร Talent หรือ การบริหารดาวดวงเด่นขององค์กร ซึ่งผมมีโอกาสได้ไปแสดงความคิดเห็นด้วย การประชุมเช่นนี้ น่าสนใจที่ว่า ผู้ที่ไปร่วมประชุมจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับค่อนข้างสูงของธุรกิจใหญ่ บางแห่งเป็นธุรกิจ ระหว่างประเทศที่เริ่มเห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์และเน้นทรัพยากรมนุษย์เป็น ยุทธศาสตร์มากขึ้น

 

ผมเน้นว่าการเรียนยุคใหม่ ต้องเรียนกันเป็นทีม style 4 L's ด้วย เพราะฉะนั้นการมีผู้แสดง ความเห็นจำนวนมาก แต่คนละแนว บางครั้งจะได้ประโยชน์ไม่มาก เพราะได้แต่ความคิด แต่ไม่ได้ ปะทะกับความจริง ทฤษฎี 2 R's และไม่ตรงประเด็น เป็นแบบดาวกระจาย แทนที่จะเน้นการเรียน เป็น team work ผมพูดเพียง 1 ชั่วโมง แต่ก็เห็นความสนใจของผู้ฟังที่อยากจะออกความเห็น และ อยากเอาไปใช้ share ความรู้ให้มากขึ้น

 

เรื่อง Talent management ต้องทำให้ง่ายๆ แบบ Simplicity ซึ่ง Talent ก็คือเรื่องทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง แต่ที่สำคัญสุดก็คือ

- องค์กรต้องปรับตัวและแข่งขันมาก ( Change and Innovate )

- customer ในโลกมีความคาดหวังสูง สลับซับซ้อน และมีประสบการณ์ในการบริโภค มายาวนาน

- สินค้าและบริการมีวงจรสั้นลง ต้องปรับตัวทั้งการผลิตและการบริการให้รวดเร็วอยู่ ตลอดเวลา วงจรจะสั้นลงเรื่อยๆ

- สุดท้าย Talent ต้องเน้นการทำงานข้ามชาติ เพราะ performance ผลประกอบการใน การทำงานมี Benchmark มาตรฐานอันเดียวคือ Global benchmark มาตรฐานโลก คือ มีการแย่งตัวกันระดับระหว่างประเทศ สรุป Talent ในความเห็นของผมน่าจะประกอบ 3 เรื่องในตัวคนเดียวกัน ( คนอื่นอาจจะคิด แนวอื่น )

- skill

- ความรู้

- ทัศนคติ mindset

 

คนที่จะทำงานสำเร็จได้จะต้องเป็นคนที่มีหลายๆอย่างอยู่ในตัวคนเดียวกัน Talent ที่ดี ทำงานคนเดียวไม่ได้ ผมยกทฤษฎี 20/70/10 มาให้ดูว่า ผู้ที่เป็นดาวเด่น 20% จะต้องทำงานกับ คนอื่นๆด้วย

 

และจะต้องพัฒนาคนในองค์กร 70% ให้เก่งด้วยคือถ้า 20% เป็น Talent อีก 70% จะต้องพัฒนาด้วย และอีก 10% ที่ไม่เอาไหน จะต้องดูแลว่าจะให้เขาอยู่อย่างไร และสุดท้ายการบริหารหรือเก็บเกี่ยว Talent ให้ได้ผลสูงสุดอย่างไร น่าจะอยู่ 3 ขั้น

1) หาได้อย่างไร

2) เก็บรักษาได้อย่างไร

3) บริหารไปสู่ High performance ผลการทำงานอย่างไร

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมภาคภูมิใจคือ การที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย ระดับชาติของไทยได้ไปจัดงานคืนสู่เหย้าที่ เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อคืนวันที่ 6 มิถุนายนที่ ผ่านมา เพราะมหาวิทยาลัยขอนแก่นผลิตบุคลากรคนลาว ที่จบระดับปริญญาทั้งตรี โท เอก ประมาณ 200 คนและมีตำแหน่งสูงในประเทศ หากนับคนลาวที่มาเรียนหลักสูตรระยะสั้นอีก ก็มี ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ซึ่งได้จัดร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว อธิการบดี ดร.สมกต มังหน่อเมฆ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของลาวมาร่วมงานด้วย

 

ฝ่ายขอนแก่นนำโดยนายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น พลตำรวจเอกเภา สารสิน ได้ร่วมกัน จัดพบปะศิษย์เก่ากว่า 300 คนในคืนนั้น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการ โดยมีท่านทูต ไทย คุณรัฐกิจ มานะทัต ซึ่งเป็นทูตที่ให้ความสนใจเรื่องการทูตภาคประชาชน แสดงความเห็นเรื่อง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทย /ลาว ร่วมกัน ชี้ให้เห็นถึงการทูตภาคประชาชนยุคใหม่ ซึ่งมี ภาควิชาการมาร่วมทำงานเป็นรูปธรรมมากขึ้น

 

แนวคิดทางการทูตภาคประชาชน เป็นแนวคิดที่ปฎิบัติได้ และจะช่วยทำความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความไว้ใจ trust ระหว่างกัน เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศลาวได้ประท้วงผู้สร้างหนัง ไทย " หมากเก็บ โลกตะลึง " ที่ไม่ได้มองความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน คนไทย มักจะดูแคลนว่าประเทศลาวยากจน โดยไม่ได้คิดลึกซึ้งในด้านประวัติศาสตร์อันยาวนานและ วัฒนธรรมที่แตกต่าง ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่น จะทำหน้าที่การทูตภาคประชาชนต่อไป และ คงขยายความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นด้วย เช่น พม่า เขมร จีน เวียดนาม รวมทั้ง มาเลเซีย

 

อนาคต รัฐบาลไทย น่าจะเพิ่มทุนให้กับรัฐบาลของลาว ให้ส่งนักศึกษามาเมืองไทยมากขึ้น และในระดับปริญญาเอกมากขึ้นด้วย และไปช่วยสร้างอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวด้วย จะสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ผมในฐานะเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภา มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเป็นผู้คิดเรื่องการทูตภาคประชาชน ซึ่งได้ทำอยู่ตลอดเวลาในนามของ มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ สนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย/ ลาว น่าจะเป็นบันไดไปสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจของประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาก็เป็นการ แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของสองประเทศด้วย ซึ่งในคืนนั้นมีการแสดงวัฒนธรรมของทั้งสอง ประเทศรวมกันอย่างสวยงาม โดยการรำวง

 

ผมภูมิใจมากครับ

 

จีระ หงส์ลดารมภ์ [email protected]

โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3

โทรสาร 0-2273-0181

------------------------------------------

*คัดมาจาก http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97

ยม บทความของ ศ.ดร.จีระ "คนไทย : ทำเพื่อแผ่นดิน" จาก น.ส.พ. แนวหน้า เสาร์ที่ 17 มิ.ย. 2549

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และท่านผู้อ่านทุกท่าน

 

  

วันนี้ ผมขอนำเสนอบทความของ ศ.ดร.จีระ ที่เขียนไว้ใน น.ส.พ. แนวหน้า (17 มิ.ย. 49) ในบทความดังกล่าว ศ.ดร.จีระ เขียนเกี่ยวกับ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับบทบาทของคนไทย 64 ล้านคน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การที่พระองค์ท่านทรงเน้นให้คนไทย สามัคคี  สุจริต มีคุณธรรม
มีความเมตตาและหวังดีต่อกัน ไม่ใช่คนในชาติเป็นศัตรูกันเอง ร่วมช่วยกันจรรโลงบ้านเมืองให้ก้าวต่อไป 

 

  

นอกจากนี้ อาจารย์ยังเขียนเกี่ยวกับ ภารกิจที่ท่านได้ทำประโยชน์ต่อสังคม ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีหลายกิจกรรมหน้าสนใจ เป็นแบบอย่างที่ดี ครับ  ท่านผู้อ่านสามารถ ติดตามสาระน่ารู้ กับ ศ.ดร.จีระ ได้ทางรายการ ทีวี UBC 7 วันอาทิตย์ ช่วงบ่ายโมงโดยประมาณ และรายการวิทยุ”Knowledge for People”   ในทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00-19.00น. สถานีวิทยุ F. M. 96.5 MHz. “คลื่นความคิด "   ซึ่งเป็นรายการที่ให้ทุนทางความรู้และทุนทางปัญญาแก่ผู้สนใจได้ดีมาก

 

  

ท้ายนี้ ผมขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มุ่งมั่นทำความดี ถวายแด่ในหลวงของเรา และขอให้ความดีที่ท่านทำ จงส่งผลให้ท่านมีความเจริญด้วย ทุนทางศีล สมาธิ สติ ปัญญา นำพาความสุข ความเจริญมาสู่ท่านและครอบครัว

 

 

สวัสดีครับ

 

 ยม

 

  คนไทย : ทำเพื่อแผ่นดิน

โดย ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์


 

สัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยทั้ง 64 ล้านคนปลาบปลื้มกับบรรยากาศการเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติ ครองราชย์ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


โชคดีได้เห็นภาพต่าง ๆ ทางโทรทัศน์ โดยเฉพาะในช่วงที่ราชวงศ์ต่าง ๆ 25 ประเทศ มาร่วม ถวายพระพรชัยมงคลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา

 

ผมคิดว่ามีหลายประเด็นที่ควรจะนำมาศึกษา วิเคราะห์ และสะท้อนเป็นบทเรียนที่มีคุณค่า อย่างยิ่ง
ประเด็นแรกคือ บทบาทของคนไทย 64 ล้านคน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด คำว่า ประชาชนคนไทย ของพระองค์ท่านคือ มีหน้าที่รับใช้บ้านเมือง ในฐานะประชาชน เพื่อรักษาชาติให้อยู่อย่างยั่งยืนและ ผาสุก และมองประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง แม้แต่พระองค์ท่านเอง ยังทรงตรัสว่า พระองค์ท่านก็ เป็นประชาชนคนหนึ่งที่จะต้องทำหน้าที่ต่อชาติ ซึ่งผมว่ามีความหมายอย่างมาก ให้คนไทยหลายฝ่าย คิดว่า เราได้อะไรอย่างมากจากประเทศ บางกลุ่มก็ได้มากมาย แต่ต้องคิดให้รอบคอบ ว่าเราคืนอะไร ให้แก่ชาติ หากรับใช้ชาติ ชาติก็อยู่รอด
ประเด็นที่สองคือ เรื่องที่ท่านมีพระราชดำรัสในการออกมหาสมาคม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ เน้นให้คนไทย
- สามัคคี
- สุจริต
- มีคุณธรรม
- มีความเมตตาและหวังดีต่อกัน ไม่ใช่คนในชาติเป็นศัตรูกันเอง ร่วมช่วยกันจรรโลงบ้านเมืองให้ก้าวต่อไป


ผมคิดว่า เป็นประเด็นที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมากว่า 60 ปีที่ทรงครองราชย์
ที่ผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่า ระบบกษัตริย์ในโลกจะค่อย ๆ หมดไป ปัจจุบันมีอยู่เพียง 29 ประเทศ และอนาคตก็จะมีน้อยลง ในยุคที่โลกมีข่าวสาร มีประชาธิปไตย มีความเสมอภาค บทบาท ของกษัตริย์จะถูกเพ่งเล็งค่อนข้างมาก ว่าจะทำอะไรให้แก่ประชาชนและประชาชนได้อะไร


ในทางตรงกันข้าม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ได้รับการยอมรับ เป็นที่ชื่นชมและ เป็นที่รักทั้งในประเทศและนอกประเทศอย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ และเป็นบทเรียนให้ระบบราชวงศ์อื่น ๆ ได้นำไปใช้เป็นแบบอย่างที่ดี


โดยเฉพาะข่าวที่ออกไปทั่วโลก 2-3 วันติดต่อกันไม่ว่าจะเป็น
- BBC
- CNN
- NHK
- CCTV
- AP หรืออื่น ๆ


นับว่าเป็นการสร้างเกียรติประวัติ ภาพลักษณ์และแสดงให้เห็นถึงความงดงามของ ประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ให้โลกได้เห็นว่า ประเทศไทยก็มีอะไรที่น่าชื่นชม อย่างยิ่ง

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของเราคือ เราได้เกิดเป็นคนไทย เราทำอะไรเพื่อประเทศบ้าง เพื่อ จรรโลงระบบที่เป็นเลิศให้อยู่คู่ประเทศไทยตราบนานเท่านาน สำคัญที่สุด เราทำอะไรเพื่อสนอง แนวทางและปรัชญาของพระองค์ท่าน


ผมจึงรายงานให้ทราบว่า สัปดาห์นี้มี 3 เรื่อง ที่เราทำและเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน
เรื่องแรกคือ มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ ร่วมกับ วปอ33 จัดการ ประชุมสัมมนาระดับชาติเรื่องการสร้างสังคมการเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริและปรัชญา เศรษฐกิจ พอเพียง ในวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2549 ที่ห้องประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ในครั้งนี้เป็นการจัดครั้ง ใหญ่ระดับรวบยอดและระดับชาติ เพราะหลายครั้งเราจัดที่ต่างจังหวัด และจัดเฉพาะภูมิภาค


มูลนิธิฯได้ริเริ่มและดำเนินการ มาโดยตลอดกว่า 4-5 ปี ซึ่งในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ มีประธาน องคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม และ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กล่าวปาฐกถานำ พร้อมกับบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกมาก เช่น
- คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- คุณอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
- ดร. ฉลองภพ สุสังกรกาญจน์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย
- พลตรีพิเชษฐ์ วิสัยจร รองแม่ทัพภาค 4
- ดร. ณรงค์ โชควัฒนา
- นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น


ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นบุคคลตัวอย่างอีกท่านหนึ่งที่เชิดชูและรับใช้ พระมหากษัตริย์และแผ่นดินมาอย่างต่อเนื่อง

 

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ รายการคิดเป็นก้าวเป็น ทาง UBC 7 ในวันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน เวลา 13.00-14.00 น. ผมและคุณพิชญ์ภูรี ได้สรุปประเด็นงานที่ได้ทำในช่วง 4-5 ปีที่แล้วได้ทำอะไรบ้างใน รายการ พบว่า เราได้ทำเรื่องเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสืบต่อเนื่องกันหลายเรื่อง ซึ่งผู้อ่าน สามารถติดตามได้ทาง UBC 7


เริ่มตั้งแต่ การแนะนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการประชุมนานาชาติ Leadership Forum ติดต่อกัน 5 ครั้ง ได้เชิญตัวแทนจากต่างประเทศมาร่วมทุกครั้ง
 

เรื่องต่อมาคือ การเดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน
- เขมร 4 ครั้ง
- พม่า 1 ครั้ง
- จีน 1 ครั้ง


ซึ่งเป็นที่มาของการทูตภาคประชาชน People to people diplomacy (PPD ) โดยใช้ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทาง


เป็นความโชคดีในการทำงานของเรา ที่มีบุคคลที่สามารถถ่ายทอดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อย่างลึก ๆ ให้เพื่อนบ้านได้ทราบ เช่น องคมนตรีนายแพทย์เกษม วัฒนชัย และเลขาธิการมูลนิธิชัย พัฒนา ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล


เรื่องทำรายการโทรทัศน์ 6 ครั้ง เกี่ยวกับศูนย์ศึกษาและการพัฒนา ตามแนวพระราชดำริของ พระองค์ท่าน 6 แห่ง คือ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เชียงใหม่
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สกลนคร
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จันทบุรี
ศูนย์ศึกษาและพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฉะเชิงเทรา
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพชรบุรี
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นราธิวาส
ให้วิธีการศึกษาปัญหาและทำอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นปัญหาที่แท้จริง และนำเอาสิ่งเหล่านั้นมา วิเคราะห์ ให้เกิด wisdom


และสุดท้าย การที่มูลนิธิฯได้เน้นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ หลายแห่งในประเทศ ซึ่งเริ่มเป็นแห่งแรกที่จังหวัดสมุทรสงคราม

 

ส่วนการเทิดพระเกียรติโครงการสุดท้าย คือ เมื่อวันพุธที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมาเป็นการ ประชุม workshop นานาชาติในระดับ APEC ที่ขอนแก่น ซึ่งเน้นการสอนคณิตศาสตร์ให้เด็กไทยคิด และวิเคราะห์เป็น โดยทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นและผมในฐานะ เป็น Lead shepherd ถือว่าเป็นการ ยกย่องและเทิดพระเกียรติ ให้ตัวแทน APEC 13 เขตเศรษฐกิจได้ทราบถึงสัปดาห์แห่งการเฉลิมฉลอง มหามงคล และยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะเป็นบุคคลที่ใฝ่รู้และสนใจคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และนำเอาวิชาเหล่านี้มาใช้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนา ชนบท


คนไทยต้องทำเพื่อแผ่นดินและทำเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

 

จีระ หงส์ลดารมภ์
[email protected]
โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3
โทรสาร 0-2273-0181

ยม "รายการ"เจาะลึกประเทศไทย" สัมภาษณ์ ศ.ดร.จีระ ออกอากาศทาง ททบ. 5 เสาร์ที่ 24 มิ.ย.นี้ เวลา 8.30 น.

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และท่านผู้อ่านทุกท่าน

  
 วันนี้ ผมทราบข่าวว่า เจ้าของรายการ เจาะลึกประเทศไทย ซึ่งออกอากาศทางทีวี ททบ.ช่อง 5 ทุกวันเสาร์ที่ 24 มิ.ย. นี้ เวลา 8.30 น. มาทำการสัมภาษณ์ ศ.ดร.จีระ เกี่ยวกับ ทุนทางความสุข ทุนแห่งความยั่งยืน เนื้อหาในรายการเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่ผมเชื่อมั่นว่า สิ่งที่ ศ.ดร.จีระ ได้ออกอากาศไปในรายการนี้ จะเป็นประโยชน์กับประชาชนเป็นอย่างมาก และถ้านักศึกษา ได้มีโอกาสชมรายการนี้ จะทำให้เข้าใจและนำองค์ความรู้ที่ได้จาก ศ.ดร.จีระ ไปบูรณาการใช้ในการดำเนินชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้เป็นอย่างดี   

ผมจึงเชิญชวน  ท่านผู้อ่านทุกท่าน ติดตามชมรายการนี้ รายการ เจาะลึกประเทศไทย ออกอากาศทางทีวี ททบ.ช่อง 5 วันเสาร์นี้ เวลา 8.30 น. หรือหากมีเครื่องบันทึกเทป วีดีโอหรือ CD,DVD  ผมแนะนำให้บันทึกไว้ ศึกษาทบทวนและแบ่งบันกันในสังคมแห่งการเรียนของเรา ชาวลูกศิษย์ ศ.ดร.จีระ ครับ

 
ขอให้ทุกท่านโชคดี

สวัสดีครับ 

ยม
ยม "รายการ"เจาะลึกประเทศไทย" สัมภาษณ์ ศ.ดร.จีระ ออกอากาศทาง ททบ. 5 เสาร์ที่ 24 มิ.ย.นี้ เวลา 8.30 น
วันนี้ ผมทราบข่าวว่า เจ้าของรายการ เจาะลึกประเทศไทย ซึ่งออกอากาศทางทีวี ททบ.ช่อง 5 ทุกวันเสาร์ที่ 24 มิ.ย. นี้ เวลา 8.30 น. มาทำการสัมภาษณ์ ศ.ดร.จีระ เกี่ยวกับ ทุนทางความสุข ทุนแห่งความยั่งยืน เนื้อหาในรายการเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่ผมเชื่อมั่นว่า สิ่งที่ ศ.ดร.จีระ ได้ออกอากาศไปในรายการนี้ จะเป็นประโยชน์กับประชาชนเป็นอย่างมาก และถ้านักศึกษา ได้มีโอกาสชมรายการนี้ จะทำให้เข้าใจและนำองค์ความรู้ที่ได้จาก ศ.ดร.จีระ ไปบูรณาการใช้ในการดำเนินชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้เป็นอย่างดี   

ผมจึงเชิญชวน  ท่านผู้อ่านทุกท่าน ติดตามชมรายการนี้ รายการ เจาะลึกประเทศไทย ออกอากาศทางทีวี ททบ.ช่อง 5 วันเสาร์นี้ เวลา 8.30 น. หรือหากมีเครื่องบันทึกเทป วีดีโอหรือ CD,DVD  ผมแนะนำให้บันทึกไว้ ศึกษาทบทวนและแบ่งบันกันในสังคมแห่งการเรียนของเรา ชาวลูกศิษย์ ศ.ดร.จีระ ครับ

 
ขอให้ทุกท่านโชคดี

สวัสดีครับ 

ยม
ยม "บทเรียนจากความจริง บทเรียน HRDS โดย ศ.ดร.จีระ"

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

  

เช้าวันนี้ ผมแสวงหาอาหารทางสมอง ด้วยการค้นหาข้อมูลข่าวสารจาก Internet  ดังที่เคยปฏิบัติ รายการแรกที่ผมค้นหาก็คือ บทเรียนจากความจริง ของ ศ.ดร.จีระ จาก เว็ปของ น.ส.พ.แนวหน้า http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97 อาจารย์เขียน เกี่ยวกับ บทเรียน :  HRDS  ได้สาระน่าสนใจมาก ผมทำงานด้าน HRM, HRD เมื่ออ่านบทความนี้แล้ว ผมเชื่อมั่นว่าผมจะสามารถนำสาระจากบทความนี้ไปบูรณาการในการพัฒนาตนเอง และการทำงานให้ดีขึ้นได้เป็นอย่างดี

 
ในบทความเรื่อง บทเรียน : HRDS ศ.ดร.จีระ มีประเด็นน่าสนใจหลายประเด็น เช่น  
  • การไปบรรยายให้ คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี จันทบุรี
  • บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ 
  • คำแนะนำของ ศ.ดร.จีระ ที่มีให้กับองค์กรที่ เชิญอาจารย์ไปบรรยาย ให้เอาจริง ให้เน้นคุณภาพ  เน้นวิธีการเรียนแบบ 4 L's และวัดผล ให้เป็นรูปธรรม (เรื่อง ทฤฏี 4 L’s ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่ http://www.chiraacademy.com/chiratheory.html )
  • การไปบรรยายที่กระทรวงพาณิชย์ สาระที่สนทนากับอธิบดีราเชนทร์ พจนสุนทร
  • การไปบรรยายให้คณาจารย์และนักเรียนปริญญาเอกคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 35 คน
  • แนวคิดที่ ศ.ดร.จีระ ให้ไว้ 1 เรื่องคือ HRDS  น่าสนใจมากครับ  อาจารย์เขชื่อมโยง พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ากับ เรื่อง HRDS ได้เป็นอย่างดี  น่าสนใจมาก

  รายละเอียดของบทความ บทเรียนจากความจริง เรื่อง บทเรียน :  HRDS ดูชื่อเรื่องจะเป็นฝรั่ง แต่สาระที่อาจารย์เขียนอ่านแล้วแบบไทย ๆ น่าเชิญชวนให้ติดตาม   ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถอ่านได้จากตอนท้ายนี้ 

ท่านผู้อ่านสามารถติดตามสาระน่ารู้กับ ศ.ดร.จีระ ได้อีก นอกจากบทความใน น.ส.พ.แนวหน้าทุกวันเสาร์แล้ว  วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ทาง ททบ.ช่อง 5 เวลา 8.30 น. ท่านจะได้พบ กับ ศ.ดร.จีระ ในรายการ เจาะลึกประเทศไทย ส่วนวันอาทิตย์ทาง UBC รายการโทรทัศน์ "สู่ศตวรรษใหม่" ออกอากาศครั้งแรกทาง สทท.11 ทุกวันจันทร์สัปดาห์แรกของเดือน เวลา 14.00 - 14.50 น.  และออกอากาศซ้ำทาง UBC News ช่อง 07 ทุกวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 2 เวลา 13.05 - 14.00 น.  และรายการวิทยุ  "Knowledge for People”   ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00-19.00น.  สถานีวิทยุ F. M. 96.5 MHz. " คลื่นความคิด "  

  สุดสัปดาห์นี้ คนไทยเรายังคงมีความสุข ปิติยินดี กับไออุ่นจากการฉลองครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมขอเชิญชวนท่านร่วมเขียนถวาย เขียนการทำความดี ถวายพระพรแด่พระองค์ท่าน ใน Blog เทิดพระเกียรติ 60 ปี ครองราชย์ ซึ่ง ศ.ดร.จีระ กรุณาเปิดให้บรรดาลูกศิษย์ ที่http://gotoknow.org/blog/chirakm  

 

สวัสดีครับ

ยม

น.ศ.ป.เอก รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (กทม.รุ่น 2) 

  

 บทเรียน : HRDS[1]

โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ผมเขียนบทความนี้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรี บางท่านอาจจะยังไม่เคยรู้จัก เป็นพระราชวังเก่าของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี มีโรงแรมเล็กประมาณ 50 ห้อง มีห้องประชุมจัดสัมมนา ภายในยังมีสวนผลไม้ และมีอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี สมกับทฤษฎี 4 L's Learning Environment ของผม


ผมพาเจ้าหน้าที่ระดับสูง C8 ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติหรือสภาวิจัย มาฝึกเรื่องเตรียมภาวะผู้นำ ในวันที่ 22 - 23 มิถุนายน 2549 บุคลากรเหล่านี้ เป็นผู้มีมันสมองยอดเยี่ยม เพราะอาชีพการวิจัยเป็นอาชีพที่สำคัญ ผมได้ทำต่อเนื่องกันมา รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 2 โดยผมอยู่ 1 วัน 1 คืนเต็ม ได้รับความกรุณาและอบอุ่นแบบครอบครัวเดียวกัน การเรียนรู้ยุคใหม่ ผู้ฝึกกับผู้เรียนต้องช่วยกันแสดงความเห็นร่วมกัน นำเอาความรู้ใหม่ ๆ ไปใช้ หวังว่าจะปรับพฤติกรรมของผู้เรียนบ้างไม่มากก็น้อย


บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจะต้องเข้มแข็งและพัฒนาต่อไป เพราะ

- stake holders ข้างนอกมีมากมาย เช่น นักการเมือง , นักธุรกิจ , นักวิชาการ , ต่างประเทศ , สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป
- ของดีมีมาก แต่นำไปใช้ไม่เป็น เพราะขาดการประชาสัมพันธ์แบบมืออาชีพ
- Brand ยังไม่ชัดในสายตาคนทั่วไป
การอยู่ด้วยกันกับรุ่นแรก 60 ชั่วโมงได้ประโยชน์มากระดับหนึ่ง และรุ่น 2 อีก 40 คน ใน 60 ชั่วโมง คงจะได้อะไรมากขึ้นอีกไม่มากก็น้อย ผมบอกเขาว่า ต้องทำการพัฒนาแบบ
- ต่อเนื่อง
- เรียนในสิ่งที่ตัวเขาสนใจ นำไปใช้ และต่อยอด
- เรียนเพื่อสร้างสังคมการเรียนแบบ 4 L's
- เรียนกันเองเป็นทีม
- มีความคิดใหม่และนอกกรอบ
- work smart ไม่ใช่ work hard
ช่วงนี้ผู้อ่านที่ติดตามงานของผม จะเห็นว่ามีผู้สนใจเชิญผมหลายแห่ง สิ่งที่ผมขอองค์กรทุกแห่งที่เชิญคือ
- ให้เอาจริง
- ให้เน้นคุณภาพ
- เน้นวิธีการเรียนแบบ 4 L's
- วัดผล ให้เป็นรูปธรรม


นอกจากงานของสภาวิจัยแล้ว ผมภูมิใจที่มาเป็นแขกของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพราะคุณพ่อผม นายสุนทร หงส์ลดารมภ์ เคยเป็นรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ 2 สมัย กว่า 40 ปีแล้ว


ปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าต่างประเทศ ย้ายไปอยู่จังหวัดนนทบุรี สถานที่สบาย ติดแม่น้ำเจ้าพระยา


อธิบดีราเชนทร์ พจนสุนทร ซึ่งรู้จักกันมานาน เห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร พยายามสร้าง capacity building ให้ข้าราชการทุกระดับ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะอธิบดีส่วนมากในระบบราชการไทย ใช้เวลาในการดูแลคนน้อยมาก อธิบดี รองอธิบดี และข้าราชการมีระดับ C8 , C7 ประมาณ 150 คน มาฟังการบรรยายของผม มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยผ่านการถาม/ตอบ ซึ่งผมเน้นเรื่อง Leadership กับ Innovation ว่า กรมการค้าต่างประเทศจะต้องเร่งรัดเรื่อง การทำงานเร็ว นอกกรอบ เพราะ
- การค้าต่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงเร็ว และมีปัจจัยหลากหลาย
- จะต้องเปิดโอกาสให้ Ideas ต่าง ๆ เกิดขึ้น และ share กัน
- ระดมความคิดให้เป็น bottom up มากขึ้น
- ผู้นำต้องกระตุ้นให้เกิด Execution ในโครงการใหม่ ๆ เพราะภาระงานประจำของกรมมีมากมาย
ส่วนเมื่อวันอังคารที่ 21 มิถุนายน ผมไปบรรยายให้คณาจารย์และนักเรียนปริญญาเอกคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 35 คน ปรากฏว่าได้ความรู้มากมาย เช่น
- คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งมีภาควิชากว่า 10 ภาควิชายังทำงานไม่ข้ามศาสตร์ ต่างคนต่างทำ
- การวิจัยยังไม่บูรณาการเข้าหากัน ซึ่งจะต้องปรับการทำงานให้มากขึ้น


มหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องทำงานเชิง paradigm shift และต้องพัฒนาวิธีการทำงานให้ผู้รับบริการได้ประโยชน์ตลอดเวลา


สัปดาห์นี้ ผมขอฝากแนวคิดไว้ 1 เรื่องคือ HRDS ทุกท่านน่าจะนำไปต่อยอด ซึ่งผมสร้างมาจากความปลื้มปีติของคนไทยทั้งชาติ ในช่วงมหามงคลเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


ผมคิดว่าบทเรียนที่เราได้รับจากความรู้และ wisdom ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมากมาย และมีคุณค่ามหาศาล แต่ถ้าจะสรุป จะได้ 4 เรื่องใหญ่ คือ HRDS

- Happiness พระองค์ท่านทรงเน้น คำว่าประโยชน์สุข คนไทยต้องมีความสุข จึงจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่มองเงินเป็นเครื่องวัดความสุข ไม่ว่าจะทำงานหรืออยู่กับครอบครัว จะต้องเน้นความสุขก่อนเงิน คนที่เป็นนักธุรกิจ หรือนักการเมืองต้องเสียสละเพื่อคนอื่นบ้าง เรื่องความสุขจึงเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นจุดสำคัญของทุนมนุษย์ 8 K's ที่ผมได้พูดไว้
" ทำอะไรจงทำเพื่อความสุข ไม่ใช่ทำเพื่อเงิน "
คนรวยบางคนมีเงินทองมากมาย แต่ครอบครัวแตกแยก ลูกเกเร ความสุขก็ไม่ได้เกิดขึ้น
- Respect ผมคิดว่าพระองค์ท่านทรงมองมนุษย์เท่ากัน ให้เกียรติและยกย่องซึ่งกันและกัน ผมคิดว่า สำหรับประเทศไทย นายจ้างมองแรงงานคล้ายๆ กันว่าได้เงินจากฉัน ต้องทำงานให้ฉัน ไม่ได้ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
- Dignity เรื่องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ก็สำคัญ การเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี จะทำให้คนมีความภูมิใจ และจะทำให้เขาได้มีความสำเร็จในชีวิตและงาน
- Sustainability นอกจากมีผลงาน (Performance) แล้ว คนเป็นจุดสร้างความยั่งยืน ไม่ว่ามาจากคุณธรรม จริยธรรม หรือมองระยะสั้นให้สอดคล้องกับระยะยาว ที่จะต้องสร้างขึ้นมา เพราะสังคมไทยต้องการความยั่งยืน


ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นบทเรียนที่บรรดาคนไทยหรือชาวต่างประเทศ ให้มองเรื่องคน ในแนวเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมองลึก และมักจะวัดในสิ่งที่วัดไม่ได้ (Intangible) และนำไปสู่ความสำเร็จ ท่านลองนำไปคิดดู ถ้าดี นำไปเป็นบทเรียนปรับตัวเองต่อไป

 จีระ หงส์ลดารมภ์
[email protected]
โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3
โทรสาร 0-2273-0181

ยม "บทเรียนจากความจริง เรื่อง สร้าง Ideas ใหม่ๆ โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์"

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และท่านผู้อ่านทุกท่าน 

 

 

ผมปรับปรุงข้อความที่ผมเขียนเกี่ยวกับ บทเรียนจากความเป็นจริง เรื่อง สร้าง Ideas ใหม่ ๆ เพิ่มเติม เนื่องจากเมื่อเช้านี้รีบเขียนไป แล้วเห็นว่าน่าจะปรับปรุงข้อความบางส่วนโดยเฉพาะในส่วนที่ผมเขียนต่อจากข้อความของ ศ.ดร.จีระ ตอนท้ายนี้/สีฟ้า/ ส่วนที่ผมเขียนแสดงความคิดเห็น ผมทำสีดำไว้   มีดังนี้ครับ

 

เช้าวันนี้ วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2549  ผมแสวงหาอาหารทางสมอง เช่นเคย ด้วยการค้นหาข้อมูลข่าวสารจาก Internet   รายการแรกที่ผมอ่านในเช้าวันเสาร์ก็คือ บทเรียนจากความจริง ของ ศ.ดร.จีระ จาก เว็บของ น.ส.พ.แนวหน้า http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97 อาจารย์เขียน เกี่ยวกับ บทเรียนจากความจริง เรื่อง สร้าง Ideas ใหม่ๆ :  มีบทเรียนที่ อาจารย์เขียนเกี่ยวกับกีฬาที่น่าเรียนรู้ โดยเฉพาะฟุตบอลโลกที่สามารถนำมาปรับ ใช้ต่อชีวิตและการทำงานได้เป็นอย่างดี  ในบทความนี้ ศ.ดร.จีระ เขียน บทเรียนจากความเป็นจริงได้น่าสนใจ ข้อความข้างล่าง แถบสีน้ำเงินคือข้อความที่ผมคัดลอกมาบางส่วนจากบทความที่อาจารย์เขียน ส่วนสีดำเป็นความเห็นของผม

 

   ·        ความ พ่ายแพ้ของอังกฤษ ส่วนหนึ่งมาจากการไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของ Rooney ความจริง ส่วนหนึ่งเพราะขาด Emotional Capital  ประโยคนี้จะเห็นว่า ศ.ดร.จีระ สะท้อนให้เห็น อารมณ์เป็นเรื่องสำคัญต่ออนาคต  ผมมีความเชื่อว่า คนเราถ้าทำอะไร แล้วไม่มีอารมณ์ที่ดี หรือมีอารมณ์มากเกินไป นอกจากจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาแล้ว โอกาสพ่ายแพ้ในชีวิต ย่อมมี การควบคุมอารมณ์ ความสมดุลทางอารมณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด  ทรัพยากรมนุษย์ที่มีทุนมนุษย์ ทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความยั่งยืนฯ จะมีความสมดุลทางอารมณ์ได้ดี  นักบริหาร นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หรือผู้เป็นบิดา มารดา ควรที่จะบริหารพัฒนาทุนมนุษย์ให้เกิดแก่สมาชิกในองค์กร สถาบันที่ตนเองเป็นผู้นำ อย่างมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน มีการติดตามประเมินผล มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  ถ้าปล่อยให้สมาชิกในองค์กร ไม่มีความสมดุลทางอารมณ์ จะทำให้ทุกอย่างพังพินาศในชั่วพริบตาได้



·        การที่นักฟุตบอลรุ่นเก่า เช่น Zidane หรือ Henry ถูกมองว่าแก่ และสู้พลังหนุ่มไม่ได้ ปรากฏความจริงว่า บางครั้งเราจะประมาทผู้อาวุโสไม่ได้ คนที่มีอายุ มากกว่า เราต้องยกย่อง อย่าดูถูกและประมาทเขา เพราะประสบการณ์ช่วยมาก  ชาติฝรั่งเศสเต็มไปด้วยผู้เล่นมีอายุ เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์เล่นฟุตบอล ผลคือได้เข้าชิงกับ อิตาลี ยุคนี้จึงต้องมองประสบการณ์และพลังหนุ่มให้สมดุลกัน สังคมไทยก็เช่นกันต้องยกย่อง ผู้สูงอายุด้วย

ประโยคนี้น่าสนใจ ผมจับประเด็นได้ว่า  ทรัพยากรมนุษย์ ยิ่งนาน ยิ่งเก่า ยิ่งมีมูลค่าเพิ่ม  ไม่เหมือนเครื่องจักร ยิ่งนานไปยิ่งเสียค่าเสื่อม ใช้งานไม่ค่อยได้ดีเรื่องนี้ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง  คนที่มีประสบการณ์ คนเก่าแก่ สะสมทุนมนุษย์ไว้มากมาย จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายความวิสัยทัศน์ ความสามารถของนักบริหาร หรือผู้นำเป็นอย่างมาก ว่าจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเก่าแก่ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้หรือไม่ 

 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร มักจะมองข้ามคนที่ใกล้เกษียณอายุ มองข้ามทุนมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวของเขา  เท่ากับสร้างความสูญเสียคุณค่าในตัวคน เป็นการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ   

 

·   การประชุม APEC Symposium on Socio-economic Disparity ที่กรุง โซล เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 ที่ผ่านมาพูดกันถึงช่องว่าง ระหว่างประเทศใน APEC และช่องว่างระหว่างกลุ่มประชาชนของประเทศใน APEC ซึ่งเป็นเรื่อง น่าสนใจว่า ปัจจุบันวิธีวัดความเหลื่อมล้ำของช่องว่างมี 3 วิธี

- วัดจากรายได้หรือ GDP ต่อหัว

- วัดจาก Human Development Index  และ วัดจากคุณภาพของคน

ผมได้แสดงความเห็นว่า คนที่มีรายได้มากกว่า ไม่ใช่มีความสุขมากกว่าเสมอไป ควรจะ เริ่มวัดจาก Happiness ด้วย ปรากฏว่าที่ประชุมรับฟังอย่างสนใจ และเริ่มมองประเด็นเรื่อง Happiness Capital เน้นความสุข ความสมดุลด้วย ผมเห็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เน้นความสุข ความสมดุล    

 

ประโยคนี้ ผมคิดว่า เป็นผลพวงจากการใช้ระบบทุนนิยม ในการบริหารสังคมโลก ทำให้เกิดผู้ได้เปรียบ ผู้เสียเปรียบ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  จึงจำเป็นต้องมีการวัดความเหลื่อมล้ำของสังคม เป็นระยะ และควรมีมาตรฐานว่า ในแต่ละปัจจัยที่ใช้วัดความเหลื่อมล้ำนั้น ควรมีค่ามาตรฐานกำหนดไว้ เมื่อวัดออกมาแล้ว หัวข้อใดเหลื่อมล้ำมีแนวโน้มสูงขึ้น ก็ควรมีสัญญาณเตือนภัย เรื่องพวกนี้ และมียุทธศาสตร์ในการแก้ไขและปัองกันภัยแห่งความเหลื่อมล้ำของสังคม ไม่ให้เกิดภัยแก่ทรัพยากรมนุษย์ของชาติ ของโลก

 

เรื่องการวัดความเหลื่อมล้ำของช่องว่างของทรัพยากรมนุษย์ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะนำทุนตามทฤษฎี 8K’s ของอาจารย์บางตัวมาวัด ด้วย อาทิเช่น ทุนทางความสุข Happiness capital ทุนทางจริยธรรม ทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา ฯ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องความสมดุล ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ตรงนี้ สามารถนำมาใช้วัดช่องว่างระหว่างประชาชนในแต่ละจังหวัด ตำบล อำเภอได้  หรือนำมาใช้วัดช่องว่างระว่างประชาชนกลุ่มคนงานในแต่ละสถานประกอบการ แต่ละหน่วยงาน เพื่อนำมากำหนดยุทธศาสตร์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็ย่อมได้ 

 

 ·        ได้รับเกียรติจากนักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาจิตวิทยา อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ไปบรรยาย 4 ชั่วโมง ผมแนะนำว่า การเรียนจิตวิทยา เป็นสิ่งจำเป็น แต่จะให้มีความสำเร็จในการทำงานจะต้องมี 2 H's คือ

- Head และ

- Heart  

 

ศ.ดร.จีระ มีงานได้รับเชิญไปสอนหลายแห่งมาก  ทั้งสถานบันการศึกษา องค์กรภาครัฐและเอกชน  อาจารย์มีโอกาสทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย  เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้นำ เมื่อมีความรู้ เมื่อมีโอกาส ก็เผื่อแผ่เมตตา กับผู้อื่น  ผมได้มีโอกาสเรียนและใกล้ชิดกับ ศ.ดร.จีระ ทำให้ทราบว่า นอกจากท่านมีความรู้ มีประสบการณ์ มีอุดมการณ์ เหมือน ศ.ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ แล้ว ท่านยังมีความเมตตาต่อลูกศิษย์ และให้โอกาส ให้ความรู้ กับศิษย์เสมอ

 

จากประโยคข้างต้น ผมเห็นว่า 2 H’s เป็นหัวใจสำคัญในการจะทำการงานให้สำเร็จ ต้องมีหัวคิด มีทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา(Head) และต้องมีทุนทางปัญญา ทางจริยธรรม ทุนทางความสุขต้องมีความสนใจ ใส่ใจ เอาใจใส่ คือ Heart   ถือว่าเป็นหัวใจในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็ว่าได้  

 

 ·        ศ.ดร.จีระ ยังได้แนะนำทฤษฎีใหม่คือ 2 I's  

 o        I แรกคือ Inspiration คือการเรียนยุคใหม่ เด็กนักเรียนต้องถูกกระตุ้นจุดประกายให้ เกิดความสุข และHappy ที่ถูกกระตุ้นให้ไปสู่ความเป็นเลิศ

 

 o       I ตัวที่ 2 เน้น    Imagination   เพราะ ไอน์สไตน์ ( Einstein ) ได้พูดไว้เลยว่า
" Knowledge สู้ Imagination ไม่ได้ " เพราะคนไทยปัจจุบันไม่ชอบมีจินตนาการ เราเรียนแบบท่องจำ จึงเกิด Innovation ได้ น้อย  

 

ข้อความนี้ ศ.ดร.จีระ กล่าวถึง แนวทางในการสอนเด็กของไทยเรา  ในอดีตเราสอนให้เด็กท่องจำ คนไหนท่องจำเก่ง คนนั้นคะแนนดี คนไหนคิดนอกกรอบ จะโดนข้อหาว่า นอกคอก ทำตัวไม่เหมือนคนอื่น ทำให้ผลผลิตของโรงเรียน ได้นักเรียนที่จบการศึกษา  ได้ทรัพยากรมนุษย์ ที่คิดในกรอบเท่านั้น และที่อันตรายมาก คือใครคิดไม่เหมือนตนเองคือคนไม่ดี ต้องขจัดออกไป พอโลกหรือสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการปรับตัวให้อยู่รอด ไม่มีความคิดใหม่ ๆ มาพัฒนาชาติ ใครคิดใหม่ ๆ จะถูกวิจารณ์อย่างมาก  ประเทศเราไม่สามารถพัฒนาไปได้รวดเร็วนัก

 

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท  มีการจัดสถานที่ให้เด็กเล็กไว้เล่นคือมีสวนเด็กเล่น กั้นคอกไว้ ข้างในมีพื้นเป็นทราย และมีล้อยางรถเก่าอยู่ สี่ห้าเส้น ผมถามว่านั่นคืออะไร  ได้รับคำตอบว่าเด็กชอบเล่นทราย จึงทำไว้ให้เด็กเล่น  ของเล่นภายในไม่ได้เอื้อให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์นัก ปัญหามาจากผู้ใหญ่ที่ขาดความคิดสร้างสรรค์เพียงพอ กลายเป็นวัฐจักรแห่งความทางตันแห่งความคิดสร้างสรรค์

 

เรื่องการบริหารโรงเรียนของรัฐบาล โดยเฉพาะในชนบท  ยังมีการสอนแบบนี้อยู่มาก  นโยบายของรัฐ เกี่ยวกับบริหารการศึกษา การสอนเด็กนักเรียน  ไม่ได้เอื้อต่อการให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ น่าเป็นห่วงประเทศชาติ เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ รัฐบาลก็น่าจะทุ่มเทสร้างคนเพื่อสร้างชาติให้ยั่งยืน Mega project ของรัฐ น่าจะมี Innovation ทางการศึกษาของเด็ก บ้าง  

 

 ·        เรื่องสุดท้ายคือที่โรงเรียนบางหัวเสือบุญแจ่มเนียมนิล ซึ่งผมไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย เตรียมตัวไปสู่โลกการทำงานให้เด็กมัธยมปลาย ประมาณ 40 คน  หลักสูตรธุรกิจอุตสาหกรรมซึ่ง เป็นนวัตกรรมของหลักสูตรสายสามัญ ต้องมีความรู้ที่กว้างและทันต่อเหตุการณ์  ให้เด็ก ส่ง Blog มาว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อการเรียนแบบนี้  ใน Blog เด็กก็ถามว่า จะมาสอนอีก เมื่อไร แสดงว่าการให้ความรู้ที่ตรงประเด็นที่นำไปใช้ได้ ดีกว่าสอนไปโดยไม่มีเป้าหมาย น่าจะ เน้นทฤษฎี 2 I’s และทฤษฎี 2 R’s ของผม    

 

อ่านมาถึงตรงนี้ ทำให้ทราบว่า ศ.ดร.จีระ ให้ความรู้ และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หลากหลายทั้งในระดับผู้ใหญ่ และเยาวชน  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้ยั่งยืน ต้องหยั่งรากลงไปพัฒนาถึงเด็กในโรงเรียน และถ้าจะลึกไปกว่านั้น ต้องพัฒนาตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์มารดา ด้วย 

  

สิ่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดี รัฐบาลควรศึกษา นำไปเป็นแบบอย่างในการมุ่งมั่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน  HR Manager หรือผู้บริหารในสถานประกอบการ ต่าง ๆ ก็สามารถนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับรากหญ้า ถึงระดับลูกหลานพนักงานที่มีแนวโน้มที่จะมาเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีขององค์กรได้อนาคต  การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคนี้ ต้องคิดให้ไกล ไปให้ถึง ให้ยั่งยืนและสมดุล อย่างมียุทธศาสตร์ครับ

 


  ศ.ดร.จีระ ยังมีรายการโทรทัศน์สู่ศตวรรษใหม่ทาง ช่อง 11 ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน เวลา 14.00-15.00 น. และออกอากาศอีกทีทาง UBC 7 ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเวลา 14.00-15.00 น. และรายการคิดเป็นก้าวเป็นกับดร.จีระ ทาง UBC 7 อาทิตย์ที่ 1,3 และ 5 ของเดือนเวลา 13.00-13.50 น. นอกจากนั้นยังมีรายการวิทยุ knowledge for people ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 – 19.00 น. ทางสถานีวิทยุ อสมท. F.M. 96.5 MHz Hz   คอลัมน์บทเรียนจากความจริงกับดร.จีระของหนังสือพิมพ์แนวหน้าทุกวันเสาร์หน้า 5 ผมขอเชิญให้ท่านติดตามศึกษาหาความรู้ จากผลงานของ ศ.ดร.จีระ และร่วมกันแสดงความคิดเห็น สะสมสร้างทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา และทุนทางสังคม ใน Blog นี้ ครับ  เชิญท่านผู้อ่าน อ่านบทความ บทเรียนจากความเป็นจริง  สร้าง Ideas ใหม่ๆ ของ ศ.ดร.จีระ ได้จาก Blog ถัดไปนี้ 

     

ขอความสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน  

 

ยม  

น.ศ.ปริญญาเอกรัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต  

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(รุ่น 2 กทม.) 

ยม "บทเรียนจากความจริง เรื่อง สร้าง Ideas ใหม่ๆ โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์"
สร้าง Ideas ใหม่ๆ[1] 
ฟุตบอลโลกใกล้จะปิดฉากแล้ว ผมไม่ค่อยเขียนถึง เพราะมีเรื่องอื่นน่าสนใจหลายเรื่อง เช่น การเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สร้างความ ปลาบปลื้มให้แก่คนไทย 64 ล้านคน

เมื่อจบงานพระราชพิธีไปแล้ว การเมืองร้อนเริ่มตึงเครียดอีกแล้ว ต้องอดทน และติดตาม ศึกษาต่อไป
มีบทเรียนมากมายจากการกีฬาที่น่าเรียนรู้ โดยเฉพาะฟุตบอลโลกที่เราสามารถนำมาปรับ ใช้ต่อชีวิตและการทำงานของเรา

สัปดาห์นี้ ผมจึงเลือกเสนอ Ideas ใหม่ๆ 2-3 เรื่องเท่านั้นว่า ควันหลงฟุตบอลโลกทิ้งอะไร เป็นบทเรียน
-
เรื่องทุนทางอารมณ์ใน 5 K's ของผม หรือ Emotional Capital เป็นจุดหักเหในความ พ่ายแพ้ของอังกฤษ ส่วนหนึ่งมาจากการไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของ Rooney ความจริง การ เล่น 10 คนของอังกฤษยังเกือบชนะโปรตุเกส
Rooney สมบูรณ์ทางร่างกาย หายจากบาดเจ็บทัน แต่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ กระทืบเท้า ใส่คู่อริ แค่วินาทีเดียวก็ต้องโดนใบแดง การควบคุมอารมณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต้องฝึกใช้ใน การดำรงชีวิต ที่บางครั้งจะทำให้ทุกอย่างพังพินาศในชั่วพริบตาเดียว
 
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ การที่นักฟุตบอลรุ่นเก่า เช่น Zidane หรือ Henry ถูกมองว่าแก่ และสู้พลังหนุ่มไม่ได้ ปรากฏความจริงว่า บางครั้งเราจะประมาทผู้อาวุโสไม่ได้ คนที่มีอายุ มากกว่า เราต้องยกย่อง อย่าดูถูกและประมาทเขา เพราะประสบการณ์ช่วยมาก วันนี้ฟุตบอลทีม ชาติฝรั่งเศสเต็มไปด้วยผู้เล่นมีอายุ เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์เล่นฟุตบอล ผลคือได้เข้าชิงกับ อิตาลี ยุคนี้จึงต้องมองประสบการณ์และพลังหนุ่มให้สมดุลกัน สังคมไทยก็เช่นกันต้องยกย่อง ผู้สูงอายุด้วย

อีกเรื่องหนึ่งคือ การประชุม APEC Symposium on Socio-economic Disparity ที่กรุง โซล เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 ที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ มีการพูดกันถึงช่องว่าง ระหว่างประเทศใน APEC และช่องว่างระหว่างกลุ่มประชาชนของประเทศใน APEC ซึ่งเป็นเรื่อง น่าสนใจว่า ปัจจุบันวิธีวัดความเหลื่อมล้ำของช่องว่างมี 3 วิธี
-
วัดจากรายได้หรือ GDP ต่อหัว
-
วัดจาก Human Development Index วัดจากคุณภาพของคน

ผมได้แสดงความเห็นว่า คนที่มีรายได้มากกว่า ไม่ใช่มีความสุขมากกว่าเสมอไป ควรจะ เริ่มวัดจาก Happiness ด้วย ปรากฏว่าที่ประชุมรับฟังอย่างสนใจ และเริ่มมองประเด็นเรื่อง Happiness Capital เน้นความสุข ความสมดุลด้วย ผมเห็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เน้นความสุข ความสมดุล ซึ่งจะเป็นประเด็นที่มีการกล่าวถึงกัน ระดับนานาชาติ ในระดับ APEC ในปีนี้และปีหน้าเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษาด้วย

ในฐานะที่ผมดูแลเรื่อง APEC HRD จะต้องเน้นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีความสุข ในภูมิภาค APEC มากขึ้น

ส่วนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้รับเกียรติจากนักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาจิตวิทยา อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ไปบรรยาย 4 ชั่วโมง ผมแนะนำว่า การเรียนจิตวิทยา เป็นสิ่งจำเป็น แต่จะให้มีความสำเร็จในการทำงานจะต้องมี 2 H's คือ
- Head
และ
- Heart

Heart คือ Feeling ความรู้สึกมาจากใจ มี Heart อย่างเดียวก็ไม่พอ จะต้องมี Head ด้วย
Head
คือการมองเป้าหมาย การมีข้อมูล การมียุทธวิธี เข้าใจ การเงิน การตลาด การ แข่งขัน ที่ทำให้ Heart ไปสู่ความสำเร็จ

ถ้ามี Head แต่ไม่มี Heart ก็ไม่สำเร็จ ลูกศิษย์หลายคนบอกว่า วิศวกร มี Head มาก แต่ ไม่มี Heart เลย
ให้ดูตัวอย่างคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นวิศวกร แต่มี Heart ที่เห็นคุณค่าของคน ให้การทำงานของ Heart และ Head ไปด้วยกัน
ผมยังได้แนะนำทฤษฎีใหม่คือ 2 I's

- I แรกคือ Inspiration คือการเรียนยุคใหม่ เด็กนักเรียนต้องถูกกระตุ้นจุดประกายให้ เกิดความสุข และHappy ที่ถูกกระตุ้นให้ไปสู่ความเป็นเลิศ โดยการคิดสร้างสรรค์และนอกกรอบ อาจารย์มหาวิทยาลัยกว่า 95% เป็นอาจารย์ที่ลอกตำรามาสอน และบางครั้งไม่เคยฝึกวิธีการสอน ให้เด็กมีส่วนร่วม และ Apply กับความจริง

- ส่วน I ตัวที่ 2 ผมเน้น Imagination เพราะ ไอน์สไตน์ ( Einstein ) ได้พูดไว้เลยว่า " Knowledge สู้ Imagination ไม่ได้ "

เพราะคนไทยปัจจุบันไม่ชอบมีจินตนาการ เราเรียนแบบท่องจำ จึงเกิด Innovation ได้ น้อย

เรื่องสุดท้ายคือที่โรงเรียนบางหัวเสือบุญแจ่มเนียมนิล ซึ่งผมไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย เตรียมตัวไปสู่โลกการทำงานให้เด็กมัธยมปลาย ประมาณ 40 คน หลักสูตรธุรกิจอุตสาหกรรมซึ่ง เป็นนวัตกรรมของหลักสูตรสายสามัญ ต้องมีความรู้ที่กว้างและทันต่อเหตุการณ์ ปรากฏว่าให้เด็ก ส่ง Blog มาถึงผมว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อการเรียนแบบนี้ นักเรียนสนใจส่ง Blog มากเกือบทุก คน และแสดงความตั้งใจ คิดเป็น ไม่ว่าคุณภาพของเด็กจะอ่อนอย่างไร ถ้าสนใจก็สามารถพัฒนา สมองได้

การสอนหนังสือยุคใหม่ จะต้องสร้างแรงกระตุ้นให้เด็กสนใจ ซึ่งผมประทับใจมากที่เด็ก โรงเรียนบางหัวเสือบุญแจ่มเนียมนิล กระหายจะได้ความรู้ และใน Blog ก็ถามว่า จะมาสอนอีก เมื่อไร แสดงว่าการให้ความรู้ที่ตรงประเด็นที่นำไปใช้ได้ ดีกว่าสอนไปโดยไม่มีเป้าหมาย น่าจะ เน้นทฤษฎี 2 I's และทฤษฎี 2 R's ของผม  
จีระ หงส์ลดารมภ์
[email protected]
โทร.
02-273-0180, 0-2619-0512-3
โทรสาร
0-2273-0181  

สวัสดีครับคุณสุทัศน์และลูกศิษย์ กฟผ. ที่รักทุกท่าน

         ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณที่คุณสุทัศน์ได้ส่งข้อความผ่าน Blog we shgare ideas มาแสดงความยินดีกับตำแหน่งและบทบาทหน้าที่ใหม่ของผม คือ การร่วมเป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม การสรรหาและคัดเลือกตุลาการยุติธรรมครั้งนี้เป็นการดำเนินการโดยอำนาจวุฒิสมาชิก ชุดรักษาการ  การที่นักวิชาการอิสระอย่างผมได้รับเลือก  ทำให้ผมมองทางเดียวกันกับคุณสุทัศน์ว่าวุฒิสมาชิดชุดนี้ก็ยังมีความเป็นธรรม ไม่ได้มีการบล๊อกโหวตอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกัน

             ที่ลืมไม่ได้ผมต้องขอขอบคุณลูกศิษย์ของผมทุกคน รวมทั้งคณะผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ. และทีมงานฝ่าย HR ของ กฟผ. ทุกท่านในงานวันพิธีปิดการอบรมโครงการพัฒนาผู้นำและผู้บริหารมืออาชีพของ กฟผ. รุ่นที่ 2 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2549 ที่ผ่านมา ผมรู้สึกประทับใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คณะผู้บริหารของกฟผ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์รุ่นที่ 2 ให้ความสำคัญกับการนำเสนอผลงานกลุ่ม Workshop หัวข้อ "นวัตกรรมใหม่ที่ กฟผ." และนำเสนอออกมาได้เป็นอย่างดี และมีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างยิ่ง ทำให้ผมได้เห็นว่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนที่เราได้เรียนรู้ร่วมกันทุกคนมีการพัฒนาในระดับที่สูงมาก ในงานเลี้ยงพิธีปิดฯ นอกจากจะมีสาระดีแล้ว เราก็ยังได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ. นำโดยท่านผู้ว่าการฯ ท่านไกรสีห์ รวมทั้งรองผู้ว่าและท่านผู้ช่วยฯ อีกหลายท่านร่วมร้องเพลงร่วมกันจนกระทั่งเพลงสุดท้าย นับเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่น่าจดจำและหาได้ไม่ง่ายนักในสังคมไทย ผมคิดว่าหลักสูตรที่เราพัฒนาขึ้นมานี้มีประโยชน์มาก ก็เลยขออนุญาติเผยแพร่ไว้ใน Blog นี้ เพื่อที่ผู้ที่สนใจจะเข้ามาศึกษาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปด้วย

            และสุดท้ายก็จะขอฝากให้ติดตามงานที่สำคัญอีกงานหนึ่งของผม คือ การผลิตรายการโทรทัศน์ 5 นาที ชุด "เศรษฐกิจพอเพียงกับโลกาภิวัตน์" ซึ่งมีกำหนดจะออกอากาศครั้งแรกในวันอังคารที่ 18 กรกฎาคมนี้ ทาง ททบ. 5 เวลา 09.55-10.00 น. ซึ่งรายการนี้เป็นการร่วมมือกันของ 3 หน่วยงานหลักที่ สำคัญคือ 1. Chira Academy ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ 2. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดย ดร.ชัยวัฒน์  พิบูลย์สวัสดิ์ และ 3. สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดย ดร.จิรายุ  อิศรากูร ณ อยุธยา และ ดร.ปรียานุช  พิบูลสราวุธ ที่มีจุดหมายเดียวกันคือการสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอย่างถูกต้องและสร้างความเข้าใจในการเชื่องโยงสู่การใช้ทฤษฎีเศรษบกิจพอเพียงกับโลกาภิวัตน์ที่เป็นกระแสของโลกที่ทุกคนมิอาจหลีกเลี่ยงได้

               รายการนี้เป็นรายการที่น่าสนใจเพราะเป็นการนำเสนอข้อมูลจากบุคคลผู้รู้จริง และมีกรณีศึกษาที่จะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้เข้าใจเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับวิธีการดำรงชีวิตในทุก ๆ ด้านได้อย่างเหมาะสม และผมก็จะขอถือโอกาสนี้ยกกรณีศึกษาของ กฟผ. เป็นตัวอย่างหนึ่งด้วย เพราะในอนาคตเรื่องการใช้พลังงานแบบพอเพียงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับสังคมโลกของเราและทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน

              รายการนี้ต้องถือว่าโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรใหญ่ ๆ ที่จับมือกัน และในอนาคต กฟผ. ก็น่าจะเป็นอีกหน่วยงานที่สำคัญที่ช่วยในการขับเคลื่อนให้งานนี้เกิด impact ที่ดีต่อสังคมไทยอย่างยั่งยืน

                                                                    จีระ  หงส์ลดารมภ์

รายละเอียดของหลักสูตร 60 ชั่วโมง (ภายในประเทศ)

สัปดาห์ที่ 1 ณ โรงแรมเมธาวลัย อ.ชะอำ จ. เพชรบุรี

วิทยากรพี่เลี้ยงประจำสัปดาห์..  รศ. ดร.มนตรี  บุญเสนอ และ รศ.ดร. ศุภวัฒนากร  วงศ์ธนวสุ

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2549

06.30 – 09.30 .            ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงโรงแรมเมธาวลัย จังหวัดเพชรบุรี09.30 – 09.45                Check-in เข้าห้องพัก รับประทานอาหารว่าง09.45 – 10.15                Pre-test10.30 – 12.30                ปฐมนิเทศ และLearning Forumหัวข้อ “HR for Non-HR”โดย.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์      ประธานคณะทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ของเอเปค            เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ  และ         ประธาน Chira Academy12.30 – 13.30                รับประทานอาหารกลางวัน13.30 – 16.30                Learning Forum                                    หัวข้อ โลกาภิวัตน์-ผลกระทบ-และการเตรียมพร้อมเชิงรุกและรับ                                                                                    โดย    ดร.เฉลิมพล  เกิดมณี16.30 – 18.00                พักผ่อนตามอัธยาศัย18.00 – 21.00               รับประทานอาหารค่ำ และร่วมเลี้ยงสังสรรค์......................................................................วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 254909.00 – 12.00                Learning Forumหัวข้อ ภาวะผู้นำกับการบริหารองค์กรและการเปลี่ยนแปลง                                    (Leadership in a changed world)                                    โดย Mr. Peter Bjork                                           CEO       Center for Change Management (Thailand) Co., Ltd 13.00 – 16.00                Learning Forum หัวข้อ ยุทธศาสตร์การพัฒนาและบริหารประสิทธิภาพของ คนในองค์กร           (HRD – HRM & Strategies)                                    โดย คุณพจนารถ  ซีบังเกิด16.30– 19.30                 เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ               

สัปดาห์ที่ 2

วิทยากรพี่เลี้ยงประจำสัปดาห์..  รศ.ดร. มนตรี  บุญเสนอ

 

วันอังคารที่ 4 เมษายน 2549 (ณ ห้องอรุณอัมรินทร์ 1 โรงแรมรอยัล ซิตี้ กรุงเทพฯ)

 09.00 – 12.00                Learning Forum หัวข้อ เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก: กับทิศทางของนักบริหารมืออาชีพโดย       ดร. ธนวรรธน์  พลวิชัย                                                ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจ                                                มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย            .ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์                                                              ประธานโครงการฯ12.00 – 13.30               Luncheon talk: การบริหารความขัดแย้ง                                   โดย        รศ.สุขุม  นวลสุกุล13.30 – 16.30                Learning Forum                                    หัวข้อ เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) กับการทำงานยุคใหม่                                                   โดย       ดร.ครรชิต  มาลัยวงศ์ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท ไอซ๊ซ๊ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 16.45 – 19.00                Dinner Talk : การไฟฟ้าฝ่ายผลิตในยุคของการเปลี่ยนแปลง                                   โดย        รศ.ดร.สมชาย  ภคภาสน์วิวัฒน์                                                อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์......................................................................                             

วันพุธที่ 5 เมษายน 2549 (ณ ห้องจิตรลดา โรงแรมเอส. ดี. อเวนิว กรุงเทพฯ)

 

09.00 – 12.00                Learning Forumหัวข้อ การวิเคราะห์กลยุทธ์และการกำหนดยุทธศาสตร์:Strategy Map”                                    โดย       Jean Pierre Dumas                                                Managing Director                                                Thailand ASEALINK Co., LTD.                   13.30 – 16.30                Learning Forumหัวข้อ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์โดย      อาจารย์ชลิต  จั่นประดับ           

16.45 – 19.00                Dinner Talk: “การเจรจาต่อรอง

โดย    รศ. จินตนา  บุญบงการ   

สัปดาห์ที่ 3

วิทยากรพี่เลี้ยงประจำสัปดาห์..  ดร.ทรงศักดิ์  ศรีบุญจิตต์ และ รศ.ดร. อารี  วิบูลย์พงศ์

 

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน 2549 (ณ ห้องจิตรลดา  โรงแรม เอส. ดี. อเวนิว กรุงเทพฯ)

 

09.00 – 12.00                Learning Forum หัวข้อ การกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดของนักบริหารมืออาชีพ                                    โดย       ศาสตราภิชาน ไกรฤทธิ์  บุณยเกียรติ

12.00 – 13.00                Luncheon talk:

                              หัวข้อ ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐวิสาหกิจและการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

                                    โดย       ดร.ทศพร  ศิริสัมพันธ์                                                เลขาธิการ ก...             13.30 – 16.30                Learning Forum หัวข้อ ผู้นำกับการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร           (LEADER AND BRAND IMAGE)                                    โดย       คุณลักขณา  จำปา                                                บริษัท ลักขณาคอมมูนิเคชั่น จำกัด และ                                                คุณพจน์  ใจชาญสุขกิจ                                                ผู้จัดการประชาสัมพันธ์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) และประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์และกรรมการบริหาร สมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย17.00 – 19.00                Dinner Talk: กฟผ. กับการวางแผนการเงินแบบมืออาชีพโดย     ดร.สุวรรณ  วลัยเสถียร......................................................................

วันศุกร์ที่  21 เมษายน 2549 (ณ ห้องจิตรลดา โรงแรมเอส. ดี.  กรุงเทพฯ)

 9.00 – 12.00                  Learning Forum หัวข้อ การทำวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่ม:            (Research Method for Innovation and value added)  โดย     ดร.ทรงศักดิ์  ศรีบุญจิตต์          คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่                                                      รศ. ดร. อารี วิบูลย์พงศ์                       คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่12.30 – 14.00             Luncheon talk:                             หัวข้อ การสร้างคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลสำหรับการบริหารแบบบูรณาการ                                  โดย    คุณอรพินท์  สพโชคชัย         สำนักงาน กพร.  14.00 – 17.00              Learning Forum หัวข้อ เทคโนโลยี สารสนเทศกับการทำงานยุคใหม่โดย     .ดร.ศรีศักดิ์  จามรมาน          ประธานกรรมการและประธานผู้บริหาร                                              วิทยาลัยการศึกษาทางไกลอินเทอร์เนต  มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ17.30 – 19.00              Dinner Talk หัวข้อ แนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารแบบมืออาชีพ                                    โดย    ดร.สุเมธ  ตันติเวชกุล                                                      เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา

สัปดาห์ที่ 4 ห้องอรุณอัมรินทร์ 1 โรงแรมรอยัล ซิตี้ กรุงเทพฯ

วิทยากรพี่เลี้ยงประจำสัปดาห์..  รศ.ดร. มนตรี  บุญเสนอ

วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2549

09.00 – 12.00                Learning Forum หัวข้อ การเงินสมัยใหม่สิ่งที่นักบริหารมืออาชีพต้องเรียนรู้: Smart Financial            Management”                                    โดย       ดร.กฤษฎา  เสกตระกูล                                                 ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพตลาดหลักทรัพย์ฯ 12.00 - 13.30                Luncheon Talk                                    หัวข้อ เศรษฐศาสตร์พลังงาน กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย                                    โดย     .ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์                                               คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์      13.30 – 16.30                Learning Forum หัวข้อ “Transformation Management”  โดย     Mr. Leigh Scottร่วมบรรยายสรุปความโดย รศ. ดร. มนตรี  บุญเสนอ   18.00                            รับประทานอาหารค่ำ (Thai Set)18.30 – 20.00               Dinner Talk: การคิดอย่างเป็นระบบด้วยเทคนิค Six Thinking Hatsโดย       อาจารย์รัศมี  ธันยธรบจก.ศูนย์ความคิดสร้างสรรค์20.00 – 21.30                กิจกรรม Future Step Party......................................................................

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2549

09.00 – 12.00                Learning Forum                                    หัวข้อ “7Habits and 4 Roles of Leadership”                                    โดย  คุณแมนรัตน์  ประดิษฐ์วงศ์สิน                                          วิทยากรจาก PacRim Group12.00 – 13.30                Luncheon Talk                                    หัวข้อ “HR กับ Innovation”                                   
ยม "บทเรียนจากความเป็นจริง เรือง no pain, no gain โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ จาก น.ส.พ.แนวหน้า"

ไม่มี pain ไม่มี gain[1]

 

วันที่ผมเขียนนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 20 ที่ประชาชนชาวไทยทุกคน ต่างส่งจิตใจถวายพระพรด้วย ความเป็นห่วงใยขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหายจากอาการพระประชวรอย่างรวดเร็ว เป็น มิ่งขวัญของคนไทยต่อไป


ระยะนี้เป็นช่วงอันตรายสำหรับสังคมไทย เพราะการเมืองยังไม่นิ่ง คนไทยส่วนมากที่คิดไม่เป็น อาจจะไม่เข้าใจถึงความรุนแรงของการเมืองไทย ฉะนั้นคนไทยต้องมีข้อมูลที่ถูกต้อง คิดเป็น วิเคราะห์ เป็น จึงจะสกัดกั้นคนไม่ดีออกไป ในประวัติศาสตร์ คนไม่ดี ไม่มีคุณธรรม ได้สร้างปัญหาไว้อย่างมาก ดังที่ผมเขียนไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว


ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ ศ.ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต เพราะอายุท่านแค่ 76 ปี เสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็ง ผมเป็นรุ่นน้องได้รับความกรุณาจากท่านเสมอ เพราะผู้ใหญ่ที่ดี จะต้องสนับสนุนให้รุ่นเด็ก ได้โตแทน ผมเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ก็จะต้องทำบทบาทนี้มากขึ้น เช่น สนับสนุนให้อาจารย์ยม นาคสุขมีความ เก่งและดีเพิ่มขึ้น จำได้ว่า ผมเขียนบทความมาเกือบ 20 ปีแล้วใน Chula review ฉบับแรก เรื่อง ทรัพยากรมนุษย์ยุคแรกของไทย ดูได้จากกำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ยังเป็นรองชาติอื่น ๆ มาก ท่านยังได้พูดถึงเสมอว่าเป็นประโยชน์ และท่านได้มาช่วยแสดงปาฐกถาให้สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสมอ


จำได้มาตลอดว่า ครั้งหนึ่ง ท่านพูดว่า " จีระ รู้ไหม " มาเฟียก็เก่ง แต่เป้าหมายของเขาไม่ดี ขาด คุณธรรม จริยธรรม เห็นแก่ตัว ทำเพื่อพรรคพวก ผมจึงยึดถือว่า คนเก่ง กับคนดี มีคุณธรรมควรจะต้องคู่ กัน ดูได้จาก 8 K's และ คนเก่งอย่างเดียวจะต้องแพ้คนดี ทุนทางจริยธรรมในระยะยาว ในสัปดาห์นี้มีคำสัมภาษณ์ของคนสำคัญต่อสาธารณชน ที่น่าสนใจคือ อดีตนายกรัฐมนตรี คุณ อานันท์ ปันยารชุน ได้แสดงความเห็นเรื่องการเมือง ผมได้คุยกับท่านหลายครั้ง ทราบว่าท่านระวังในการ แสดงความเห็นเรื่องการเมืองมาก แต่ครั้งนี้ ท่านพูดว่า นายกฯ ทักษิณอยู่รอดไปวัน ๆ เพื่อตัวเอง ไม่ได้ อยู่เพื่อประเทศหรือส่วนรวม ซึ่งคำพูดแบบนี้ น่าสนใจ ท่านผู้อ่านลองไปพิจารณาดูว่าถูกหรือไม่ ผมไม่ ขอแสดงความเห็น แต่ต้องการให้คนไทยคิดเป็น วิเคราะห์ต่อไป


 พูดถึงวิกฤติการณ์ครั้งนี้ หากทุกกลุ่มที่เป็นกลางจับเข่าคุยกัน หาเหตุผล และแสดงจุดยืนบ้างก็ จะดี จะได้แง่มุมจากประชาชนที่มีความรู้ ได้ share ideas ถ้าประเทศไทยมีแต่ตัวละครเดิม ๆ พูด ค่อนข้างจะเลือกข้างมากเกินไป คือมีสองฝ่าย ฝ่ายชอบรัฐบาล กับฝ่ายเกลียดรัฐบาล ซึ่งแนวคิดจะแคบ เกินไป ทำให้สังคมไทยไม่เรียนรู้พอเพียง


ในสัปดาห์นี้ ผมเริ่มงานที่คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ซึ่งประชุมทุกวันจันทร์ ได้ความรู้ และได้รู้จักกรรมการตุลาการที่คัดเลือกอีก 12 ท่าน รวมทั้งประธาน คือ ประธานศาลฎีกา ผมคิดว่าจุด แข็งของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ อยากให้ตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของประชาชน จึงมีการเลือกจากวุฒิสมาชิก ช่วยให้มุมมองที่สะท้อนประชาชนมากขึ้น บรรดาคณะกรรมการตุลาการที่เลือกมาจากคนดีและเก่ง ทั้งนั้น ผมโชคดีได้ทำงานท้าทาย และได้เรียนรู้ไปด้วย


เมื่อวันพุธที่ 19 ผมบินไปเชียงใหม่ ได้ร่วมงานกับคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยที่ผมเป็นกรรมการ จัดให้คณาจารย์ 150 คน ทั้ง มหาวิทยาลัย รับฟังเรื่องสร้างสังคมการเรียนรู้ ซึ่งเน้นทฤษฎี 4 L's มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เพื่อนำไปปฏิบัติ เริ่มให้อาจารย์รับฟังลูกศิษย์แบบแลกเปลี่ยนความรู้ 2 ทางมากขึ้น ผมจะจัดให้ คณาจารย์ทุกเดือน ซึ่งครั้งหน้าจะเน้นคุณธรรม จริยธรรม ผมทำจริง หากใครเห็นว่าผมมีประโยชน์ก็บอก มาได้


ส่วนในวันพฤหัสบดีที่ 20 ผมในฐานะนายกสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ไปพบคณาจารย์และนักเรียนของเทพศิรินทร์พุแค ที่พุแค จ.สระบุรี เทพศิรินทร์ในปัจจุบันไม่ได้มี เฉพาะเทพศิรินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ยศเส ในกรุงเทพฯเท่านั้น มีเครือข่ายอีก 6 โรงเรียน คือ เทพศิรินทร์ ร่มเกล้า เทพศิรินทร์นนทบุรี เทพศิรินทร์ปทุมธานี เทพศิรินทร์พุแค เทพศิรินทร์ลาดหญ้า กาญจนบุรี และเทพศิรินทร์ขอนแก่น ซึ่งผมได้มีนโยบายที่จะไปเยี่ยม รับฟังทุกโรงเรียน เพื่อสร้างความสัมพันธ์และ หาทางช่วยเหลือเรื่องการเรียน ดนตรีและกีฬา และความคิดสร้างสรรค์


ผมอยากบอกกระทรวงศึกษาธิการว่า การมีเทพศิรินทร์สาขาเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องสนับสนุน การเงิน และคณาจารย์ให้พอเพียงสำหรับโรงเรียนแม่ เพื่อให้สาขาดีขึ้น เช่น โรงเรียนเทพศิรินทร์พุแค ใน ระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี ก็โดดเด่นมากในต่างจังหวัด เด็กต่างจังหวัดแย่งกันเข้าเรียน แต่ฐานของเขาอ่อนแอ มาก แต่เทพศิรินทร์ร่วม จะต้องเข้มแข็งกว่าเดิม ไม่ใช่อ่อนแอลง


จะขอจบบทความถึงเรื่องกีฬา ซึ่งตั้งหัวเรื่องว่า no pain , no gain มีตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Phil Mickelson เล่น Grand slam อยู่ 40 กว่าครั้ง ไม่เคยชนะเลย แต่ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ชนะในระดับ Grand slam 3 ครั้ง แฟนกีฬากอล์ฟ จะรู้ว่า สังคมคาดหวัง Phil Mickelson ไว้สูงมาก ว่าจะสู้กับ Tiger woods ได้และเก่งตลอดไป และอาจจะเล่นเหนือกว่า woods ด้วย


ในการแข่งขัน US open เมื่อเดือนมิถุนายน Phil Mickelson นำอยู่ 1 แต้ม เหลือหลุมสุดท้าย แค่ตี par ก็จะชนะ แต่ผลคือตี double bogey คือถ้า ตีแค่ 4 ก็ชนะ แต่เกิดปัญหาตีผิดพลาด อย่างไม่น่า เชื่อ ตีถึง 6 ครั้ง ซึ่งตีไป 6 คนเล่นไม่เก่งอย่างผม ได้ 6 ก็แย่แล้ว


ในฐานะที่ผมชอบเรียนรู้ เห็นใจว่าเขาถูกคนมองว่า ผิดพลาดอย่างรุนแรง และอาจจะถึงกับ " กู่ไม่กลับ "


ดังนั้นการแข่งขันกอล์ฟ British open ในอาทิตย์นี้ จึงน่าสนใจว่า Phil Mickelson จะใช้ บทเรียนความเจ็บปวดราคาแพง เอาชนะตัวเองได้หรือไม่ หรือมี pain แล้วไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะ ผมชอบทฤษฎีเจ็บปวดก่อนและไปสู่ความสำเร็จ ฉะนั้นจะต้องดูว่า Phil Mickelson มี pain และไปสู่ gain ได้หรือไม่ น่าติดตาม ในวันอาทิตย์นี้


บทเรียนเรื่องนี้สอนว่า ทุกคนเจออุปสรรค แต่ใช้อุปสรรคเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จ การมีความ เจ็บปวด ไม่ใช่ของเลว แต่ต้องนำไปสู่ความสำเร็จให้ได้ ผมชอบเอาชนะความเจ็บปวด เพื่อให้เรา แข็งแกร่งขึ้น จึงเรียกว่า มี pain แล้วมี gain

 

จีระ หงส์ลดารมภ์


[email protected]


โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3

โทรสาร 0-2273-0181

ยม "วิเคราะห์บทความ no pain, no gain ของ ศ.ดร.จีระ"
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และท่านผู้อ่านทุกท่าน 

เช้าวันนี้ ผมหาความรู้จาก Internet และได้ศึกษาบทความของ ศ.ดร.จีระ จาก น.ส.พ.แนวหน้า จาก http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97 ศึกษาบทความ บทเรียนจากความจริง ไม่มี pain ไม่มี gain และคัดมาบางประโยคจากบทความที่ ศ.ดร.จีระ เขียนไว้ (สีนำเงิน) ส่วนที่ผมมีความเห็นเพิ่มเติม ผมเขียนไว้ทำเป็นสีดำ เพื่อแชร์ความรู้ประสบการณ์ ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน นักเรียน นักศึกษาที่สนใจ รายละเอียดมีดังนี้           

วันพฤหัสบดีที่ 20 ที่ประชาชนชาวไทยทุกคน ต่างส่งจิตใจถวายพระพรด้วย ความเป็นห่วงใยขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหายจากอาการพระประชวรอย่างรวดเร็ว เป็น มิ่งขวัญของคนไทยต่อไปเมื่อวันที่ 20 ที่ผ่านมา ผมได้บรรยายศิลปะการเป็นหัวหน้าให้กับหัวหน้างานในองค์กร ที่ผมทำงานอยู่ ผมนำภาพของในหลวง มาสอนหัวหน้างาน ให้เห็นพระอัจฉริยภาพของในหลวงในการเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าคนไทยทั้งชาติ เช่น

§       ภาพพระองค์ท่านทรงเสด็จไปปฏิบัติภารกิจยังท้องถิ่นกันดารและทรงเยี่ยมราษฎร  และภาพที่พระองค์ท่านทรงย่อตัวลงพูดคุยกับประชาชน แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงมีพระวิริยะ ในการปฎิบัติภารกิจ ติดดินใกล้ชิดราษฎรของท่าน โดยไม่ยึดถือตำแหน่งเป็นที่ตั้ง  การเป็นหัวหน้างานควรขยันเดินเยี่ยมพนักงาน และไม่ถือตนว่าใหญ่ มีจิตใจเมตตา ต่อผู้น้อย

§       ภาพขณะที่พระองค์ท่านทรงงาน เห็นสายพระเนตรของพระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่ประชาชนที่มารอรับเสด็จ ด้วยความเมตตา ปรารถนาดีแสดงให้เห็นว่า พระองค์ท่านทรงมีความรัก ห่วงใยคนไทย ในขณะที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจไปด้วยตลอดเวลา เป็นหัวหน้าต้องคิดและปราถนาดีต่อลูกน้อง ดุจดังเขาเป็นลูกและน้องของเรา

  

§       ภาพที่พระองค์ท่าน ทรงนำแผนที่ กล้องถ่ายรูป และดินสอ จดบันทึกสิ่งที่ได้ยินจากราษฎร สิ่งที่ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ แสดงให้เห็นว่า พระองค์ท่านทรงมีการเตรียมพระองค์ เตรียมแผนงานเป็นอย่างดีพระองค์ทรงมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของท่าน สมควรที่ผู้นำควรเจริญตามฝ่าพระบาทฯ

 

 §       ภาพพระฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายภาพ ขณะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ  บ่งบอกให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับราษฎร เมื่อครั้งที่ท่านทรงมีปฐมบรมราชโองการว่า เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน  เป็นการยืนยันให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำที่มีคุณธรรม มีสัจจะ อยู่ในทศพิศราชธรรม   ทำให้เกิดบารมีแผ่ไปทั่ว พระองค์อ่านจึงเป็นที่รักและเคารพยิ่งต่อประชาชนชาวไทย และเป็นที่ยอมรับของสังคมโลก  คนเป็นหัวหน้างานเป็นผู้นำ จึงควรศึกษาและเจริญลอยตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  

       การที่ผมสอนหัวหน้างานเช่นนี้ เป็นการสอน การคิดนอกกรอบ  ให้หัวหน้างานได้เห็นภาพและจินตนาการ และคิดตามไปด้วย

       ผมสังเกตุเห็นหัวหน้าทุกคนมีความสุขที่ได้เห็นพระฉายาลักษณ์จำนวนมากของพระองค์ท่านซึ่งผมนำมาฉายให้ชมในห้องอบรม ด้วยความจงรักภักดี ที่ผมมีต่อพระองค์ท่าน ทำให้ผมคิดเรื่องนี้ และสอนออกไปจากใจ 

         พอถึงเวลา บ่ายสองสามโมงในวันนั้น(20 ก.ค.) ผมขั้นรายการด้วยการแจ้งผู้เข้ารับการอบรมว่าขณะนี้ พระองค์ท่านคงกำลังเสด็จพระราชดำเนินไปรับการถวายการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช ขอให้พวกหัวหน้างานตั้งจิต อธิฐานให้พระองค์ท่านทรงปลอดภัยจากการรับการถวายการผ่าตัดและทรงมีพระวรกายที่แข็งแรง ขอให้หัวหน้าทุกคนกลับไปบ้านคืนนี้ ชวนลูกหลานสวดมนต์ภาวนา ให้ในหลวงของเรา จงทรงพระเจริญ  หัวหน้างานทุกคนล้วนปิติยินดี กับภารกิจที่พระองค์ท่านทรงมีต่อราษฎร ครับ คนไทยโชคดีกว่าชาติใด ๆ ที่มีในหลวงผู้เป็นมิ่งขวัญของเราชาวไทย ครับ

ประโยคต่อมา ที่ ศ.ดร.จีระกล่าวว่า "คนไทยต้องมีข้อมูลที่ถูกต้อง คิดเป็น วิเคราะห์ เป็น จึงจะสกัดกั้นคนไม่ดีออกไป" ประโยคนี้ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง  ด้วยเหตุที่คนไทยอ่านหนังสือน้อย ไม่ค่อยรักการอ่าน เหมือนอย่างคนญี่ปุ่น ประกอบกับการสอนเด็กไทยมักจะเน้นการท่องจำ ทำให้เด็กเข็ด ไม่สนุกกับการเรียน โตขึ้นจึงกลายเป็นคนไม่รักการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความคิดไม่กว้างไกล  ขาดทุนทางปัญญา  การตัดสินใจที่ดี เป็นการตัดสินใจที่ต้อง Base on information and knowledge บางครั้งคนไทยเราตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ หรือตาม ๆ กันไป แต่ถ้าทรัพยากรมนุษย์ที่มีทุนมนุษย์ดีเป็นพื้นฐาน มีทุนตามทฤษฎี 8K’s ของอาจารย์ ผมคิดว่า ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นครับ   อนาคตเด็กไทย อนาคตชาติจึงฝากไว้ที่ครู อาจารย์ ด้วย หวังว่ารัฐจะหันมาให้ความสำคัญของการพัฒนา ส่งเสริมครูและคณาจารย์ ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น       

ผู้ใหญ่ที่ดี จะต้องสนับสนุนให้รุ่นเด็ก ได้โตแทน ผมเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ก็จะต้องทำบทบาทนี้มากขึ้น เช่น สนับสนุนให้อาจารย์ยม นาคสุข มีความ เก่งและดีเพิ่มขึ้นประโยคนี้ ผมได้สองเรื่อง คือ ความยิ่งใหญ่ของผู้ใหญ่หรือผู้นำ ดูที่การปฏิบัติต่อผู้น้อย ดูตัวอย่างที่ในหลวงของเรา ทรงปฏิบัติของปวงชนชาวไทย  เป็นต้น การจะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้นำที่มีคุณค่า คือการสร้างคนรุ่นใหม่ ให้เติบโตแทน  บทบาทหน้าที่ของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคือสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนที่มีคุณภาพและมีคุณค่าต่อประเทศชาติ   ประการต่อมา ผมทราบและซึ้งถึงความจริงใจ ได้กำลังใจจาก ศ.ดร.จีระ ท่านให้เกียรติผมมาก โดยไม่รังเกียจ ว่าจะเป็นลูกตาสีที่ไหน ผมได้ยินอาจารย์พูดว่า ผมต้องการให้โอกาสลูกศิษย์ทุกคน ผมประทับใจที่อาจารย์คิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา เหมือนอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ สอดคล้องกับกระแสพระราชดำรัสของในหลวงที่ทรงมีต่อผู้มาเข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ว่า ขอให้ทุกฝ่ายคิด พูด ทำ ด้วยความมีเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน   

ผมสังเกตเห็นว่า ศ.ดร.จีระ  ทำงานเป็นทีม มีวิธีการบริหารทีมงาน และลูกศิษย์ที่น่าสนใจ  สามารถนำไปบูรณาการในการบริหารปกครองทีมงานในองค์กรได้เป็นอย่างดี

ท่านมีวิธีการบริหารความรัก ความเชื่อ ความศรัทธา ในทีมงานได้ดีอยู่เสมอ เป็นแบบอย่างที่ดีมากครับ เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ใหญ่หรือผู้นำที่มีคุณภาพ ขอบคุณอาจารย์มาก ที่ให้เกียรติผมและมีความกรุณา คิดสนับสนุนผมให้เก่งและดีเพิ่มขึ้น        

กำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ยังเป็นรองชาติอื่น ๆ มาก ประโยคนี้ ผมมีความเห็นว่า ทรัพยากรมนุษย์ของไทย ทั้งปริมาณและคุณภาพ ยังเป็นรองชาติอื่นๆ หลายด้าน โดยเฉพาะด้านที่สำคัญ ๆ เช่น ด้านภาษาอังกฤษ ด้านคณิตศาสตร์ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฯ   เป็นสิ่งที่ผู้นำบ้านเมืองควร กำหนดเป็นยุทธ์ศาสตร์พัฒนาชาติในเรื่อง ทุนทางทรัพยากรมนุษย์ เพื่ออนาคตของประเทศในระยะยาว อย่างชัดเจนและมีตัวชี้วัด ความสำเร็จ ทั้งระยะสั้น ระยะปานกลางและระยะยาว  ส่งเสริมให้สถานบันการศึกษาและครู มีบทบาทในเรื่องนี้   การสร้างคนในสาขาที่สำคัญ ควรวางรากฐานการสร้างตั้งแต่ในครรภ์มารดา และเมื่อเป็นเด็กเล็ก 

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมหมู่บ้านโพธิ์ทอง ต.ภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผมเคยเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ และทำวิจัย เมื่อสมัยเป็นบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ผมได้แวะไปเยี่ยมกำนัน และชาวบ้านที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันในหมู่บ้านยากจนแห่งนี้  และได้แวะเข้าไปเยี่ยม โรงเรียนเคียงศิริ ซึ่งเป็นโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จย่าฯ  ซึ่งผมเคยเข้าไปช่วยสอนนักเรียนชั้น ป. 6 ผมดีใจที่เห็นโรงเรียนพัฒนาขึ้นด้วยอาคารเรียนหลายหลัง สามารถรับนักเรียนได้มากขึ้น แต่ที่น่าเศร้าใจคือ ห้อง Lap ที่มีไว้ให้นักเรียนได้เรียนวิทยาศาสตร์  แทบจะไม่มีอุปกรณ์ทำ Lapที่ทันสมัยให้นักเรียนได้ใช้เลย  แต่ก็ยังดีที่มีห้องคอมพิวเตอร์ให้นักเรียน ได้ฝึกใช้  ที่พบแล้วน่าคิดอีกเรื่องก็คือ  โรงเรียนมีคอกเป็นอาคารโปร่งเหมือนคอกวัว แต่ล้อมรอบด้วยไม้ระแนง จากพื้นถึงเพดาน มุงหลังคากระเบื้อง ขนาดเท่าบ้านขนาดเล็กชั้นเดียว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกำนันในหมู่บ้าน  สร้างไว้ใกล้อาคารเรียนที่สมเด็จย่าทรงโปรดประทานให้ที่หมู่บ้านฯ  คอกที่ว่านั้นใช้เป็นที่ให้เด็กอนุบาลได้เข้าไปเล่นเหมือนในห้าง  ภายในห้องมีพื้นทราย และมีล้อรถยนต์เก่า ๆ อยู่ ห้าถึงหกเส้น ผมทราบภายหลังว่า คือ เพราะเด็กชอบเล่นทราย ยางรถยนต์เก่า ๆ เป็นของเล่นที่แปลกสำหรับเด็กในชนบท 

ตรงนี้เป็นมุมมองหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายสาธารณะของรัฐ และวิสัยทัศน์ในการสร้างคนเพื่อสร้างชาติ ว่ายังไม่เข้มแข็งและจริงจังบ

รัฐยังไม่จริงจังกับการสร้างเด็กน้อยในชนบท ในขณะที่เด็กญี่ปุ่น อเมริกา สิงค์โปร์ มีสถานที่และของให้เด็ก ๆ เล่นเพื่อกระตุ้นความอยากรู้ อยากเรียน กระตุ้นทุนทางความรู้สติปัญญา ที่มีการวัดผลได้  

ที่เห็นแล้ว อดจะกล่าวถึงไม่ได้ ก็คือโรงเรียนเคียงศิริ ที่สมเด็จย่าทรงโปรดริเริ่มสร้างให้ไว้ เมื่อครั้งหมู่บ้านนี้มีปัญหาชายแดน เป็นพื้นที่สีชมพูมีผู้ก่อการร้ายนั้น เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว  อาคารนี้ยังใช้เป็นที่เรียนของเด็กเล็ก มีป้ายขนาดใหญ่ติดไว้หน้าอาคารเรียนว่า โรงเรียนอยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จย่า ทรุดโทรมไปมาก  ไม่มีงบประมาณในการบำรุงรักษา ชาวบ้านช่วยกันซ่อมตามมี ตามเกิด  เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะเป็นมรดกสำคัญที่สามารถใช้สร้างความรจงรักพักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้กับนักเรียนได้เป็นอย่างดี

ผมคิดว่า โรงเรียนที่สมเด็จย่าทรงโปรดสร้างไว้เช่นนี้ คงมีหลายแห่ง น่าจะมีหน่วยงานราชการเข้าไปตรวจสอบ บูรณะให้สมกับเป็นโรงเรียนที่สมเด็จย่าทรงสร้างไว้ให้เป็นมรดกแผ่นดิน ส่งเสริมให้เด็กไทยได้รู้ซึ้งถึงความมีพระหฤทัยเมตตาต่อปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านาน เป็นการปลูกฝังให้เด็กไทยรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  ผมขอฝากผู้เกี่ยวข้องในบ้านเมืองที่เกี่ยวข้อง ให้ตระหนักเรื่อง การสร้างเด็กในชนบทให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของชาติในอนาคต ผ่าน Bog ของ ศ.ดร.จีระ นี้ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จย่า ทรงมีต่อผู้ยากไร้ ผมคิดว่า จะทำอะไรสักอย่างเพื่อหาทุนไปร่วมกับชาวบ้านที่นั่น ทำการบูรณะโรงเรียนเคียงศิริ โรงเรียนที่สมเด็จย่า ทรงโปรดพระราชทานให้เป็นมรดกแก่คนไทย และหาทางสนับสนุนส่งเสริมให้ห้อง Lap ที่โรงเรียนดังกล่าว มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น       

ประโยคต่อมา ที่ ศ.ดร.จีระ เขียนว่า " มาเฟียก็เก่ง แต่เป้าหมายของเขาไม่ดี ขาด คุณธรรม จริยธรรม เห็นแก่ตัว ทำเพื่อพรรคพวก ผมจึงยึดถือว่า คนเก่ง กับคนดี มีคุณธรรมควรจะต้องคู่ กัน ดูได้จาก 8 K's และ คนเก่งอย่างเดียวจะต้องแพ้คนดี ทุนทางจริยธรรมในระยะยาว" 

ผมมีความเห็นว่า พวกมาเฟียมีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำอยู่บางประการคือ   

  • รู้จักครองงาน จึงมีเป้าหมายชัดเจน  มุ่งมั่นที่จะทำ มีการวางแผนอย่างรัดกุม ลงมือปฏิบัติอย่างรวดเร็ว 
  • รู้จักครองคน คือคนในทีม ซึ่งมาเฟียส่วนใหญ่ทำงานเป็นทีม มีการหารือและทำงานร่วมกันได้อย่างน่าสนใจ  
  • แต่มาเฟียอาจจะ ไม่รู้จักครองตน  ปล่อยให้ความไม่ดี มาครอบงำ ขาดความคิดดี  ขาดทุนทางความรู้ ทุนมนุษย์ ขาดทุนทางจริยธรรม สุดท้าย จะทำให้ไม่มีทุนทางความสุข พบกับชะตากรรมไม่ดี ในท้ายของชีวิต ครับ  

 ประโยคที่ว่า   อยู่รอดไปวัน ๆ เพื่อตัวเอง ไม่ได้ อยู่เพื่อประเทศหรือส่วนรวม

ผมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า คนไทยเรา ยังขาดทุนมนุษย์ อยู่หลายอย่าง เราไม่ค่อยได้สอนให้เด็กคุ้นเคยกับการมอง คิด ตั้งเป้าหมายชีวิตในระยะยาว จึงปล่อยเวลาให้ผ่านไป ทั้งที่มนุษย์มีเรื่องน่าเสียดาย 3 เรื่อง

  • วันนี้ผ่านไปโดยไร้ค่าน่าเสียดาย
  • ชาตินี้ไม่ได้ศึกษาแสวงหาความรู้น่าเสียดาย 
  • เกิดเป็นมนุษย์ทั้งทีเอาดีไม่ได้น่าเสียดาย ไม่ได้สร้างประโยชน์ หรือคุณค่าแก่คนรุ่นหลังหรือสังคมเลย น่าเสียดาย 

       ประโยคที่ ศ.ดร.จีระ เขียนว่า ผมโชคดีได้ทำงานท้าทาย และได้เรียนรู้ไปด้วย  ศ.ดร.จีระ ได้แสดงสิ่งที่น่าเอาอย่าง  ในความเห็นของผม คนที่เป็นเลิศ  มักมีคุณลักษณะตามทฤษฎี  6 ท. คือ  

  • ท.ท้าทาย  ทำงานที่ยากกว่า  
  • ท.ท่าทีที่ดี  มาจากความคิดที่ดีนำไปสู่การทำดี พฤติกรรมดี นิสัยและบุคลิกดี 
  • ท. เที่ยงธรรม มีคุณธรรม ความเที่ยงธรรมประจำใจ 
  • ท. ทน มีความอดทน อุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร  
  •   ท. ทำ  มุ่งมั่นทำงาน ในหน้าที่รับผิดชอบ ให้สำเร็จ  
  •  ท.ทบทวน   ผู้ใดหมั่นทบทวนตรึกตรอง สิ่งที่ได้เรียนรู้หมั่นทบทวน ก็จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ ทุนทางปัญญา มีความเป็นเลิศ ในการเรียนรู้

การที่ ศ.ดร.จีระ กล่าวว่า ผมโชคดีได้ทำงานท้าทาย และได้เรียนรู้ไปด้วย  แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ท่านมี ท.ท้าทาย ท.ทำ ท.ท่าทีที่ดี ท.อื่น ๆ อย่างครบถ้วน  นักศึกษา ลูกศิษย์ของ ศ.ดร.จีระ ควรที่จะเรียนรู้ และดำเนินลอยตาม      

ประโยคที่ว่า    ให้อาจารย์รับฟังลูกศิษย์แบบแลกเปลี่ยนความรู้ 2 ทางมากขึ้น ผมจะจัดให้ คณาจารย์ทุกเดือน ซึ่งครั้งหน้าจะเน้นคุณธรรม จริยธรรม ผมทำจริง หากใครเห็นว่าผมมีประโยชน์ก็บอก มาได้  ประโยคนี้ ผมได้ข้อคิดว่า การเรียนการสอน/การจัดการ/การเป็นผู้นำสมัยใหม่นี้ ต้องมี two ways communication และ มีการแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้ได้ทั้งการบริหารความรู้ ได้ทั้งการบริหารทัศคติ ความรัก และความศรัทธา  เป็นสิ่งที่ผู้เป็นบิดา มารดา สามารถนำไปใช้สอนการบ้านบุตรธิดาได้  เป็นสิ่งที่ครู อาจารย์ ตามโรงเรียนต่าง ๆ ควรนำไปใช้ในการเรียนการสอน เลิกเสียทีการสอนแบบท่องจำ อย่างเดียว

ศ.ดร.จีระ นำองค์ความรู้ เรื่อง 4L’s ไปให้อาจารย์ตามโรงเรียนต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์อย่างมากกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติ เป็นสิ่งที่ดี ที่ผู้นำทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ควรนำเอาหลักการเหล่านี้ไปบูรณาการ ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาองค์ความรู้ในองค์กร         

"no pain , no gain  ทฤษฎีเจ็บปวดก่อนและไปสู่ความสำเร็จ สอนว่า ทุกคนเจออุปสรรค แต่ใช้อุปสรรคเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จ การมีความ เจ็บปวด ไม่ใช่ของเลว แต่ต้องนำไปสู่ความสำเร็จให้ได้ ผมชอบเอาชนะความเจ็บปวด เพื่อให้เรา แข็งแกร่งขึ้น "

ประโยคนี้ ทำให้ผมตระหนักถึงคำว่า ลำบากเมื่อหนุ่ม ดีกว่ากลุ้มเมื่อแก่  ลำบากก่อน สบายทีหลัง   เมื่อสิ่งไม่ดีมาเยือน สิ่งดีมักจะตามมาภายหลัง  เป็นคำที่ผมเคยได้รับการสอน จากครูไทย และอาจารย์ต่างชาติ เมื่อสมัยผมเป็นนักศึกษาที่ บัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในโครงการของอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์   

ในชีวิตผมตอนเป็นเด็กคุณแม่ผมในเลี้ยงดูผมแบบชาวบ้าน ๆ เหมือนสมัยก่อนเก่า คือเอาผมไปฝากไว้กับพระ ให้อยู่วัด  ถ้าปิดเทอมนาน ๆ ท่านก็ออกอุบายให้ผมบวชเณร ให้มีโอกาสซึมซับในหลักธรรม พุทธศาสนา ให้เดินตามพระทุกเช้า กินข้าววัด นอนวัด ช่วยพระทำกิจประจำวัน รู้สึกลำบาก แต่อานิสงค์ที่ได้ คือผมได้เรียนรู้ชีวิตความลำบากและมีประสบการณ์ชีวิตที่ทรงคุณค่า

ผมได้มีโอกาสเห็นซากศพที่วัด ซึ่งก่อนเผาซากศพ  ผมเห็นคนมุงดูศพและกล่าวอาลัยเสียดาย อาลัยอาวรณ์ ว่าเป็นคนดีแท้ ไม่น่าจากไปเลย   แต่บางศพ มีคนมุ่งดูแล้วซ้ำเติมว่าสมควรตายแล้ว ไปเสียได้ก็ดี  อยู่ไปก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร หนักแผ่นดินเกิด  ทำให้ผมได้คิดว่า  ชีวิตมนุษย์ แท้ที่จริงคือคุณงามความดี  ชีวิตคือละคร เราเป็นผู้กำกับบทตัวเราเองว่า ตอนจบ จะให้ผู้ชมกล่าวถึงอย่างไร จะให้ผู้ที่มายืนดูศพเรา กล่าวถึงว่าเป็นคนดีน่าเสียดาย หรือเป็นคนร้ายสมควรตาย ตกนรกอเวจี และไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้ชาติบ้านเมือง ฟ้าลิขิตให้เราเกิด  แต่ชีวิตจากเกิดถึงตาย เราเป็นผู้กำหนด     

 ท่านผู้อ่านที่สนใจติดตามสาระน่ารู้ กับ ศ.ดร.จีระ ท่านสามารถติดตามได้จากรายการโทรทัศน์สู่ศตวรรษใหม่ทาง ช่อง 11 ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน เวลา 14.00-15.00 น. และออกอากาศอีกทีทาง UBC 7 ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเวลา 14.00-15.00 น. และรายการคิดเป็นก้าวเป็นกับดร.จีระ ทาง UBC 7 อาทิตย์ที่ 1,3 และ 5 ของเดือนเวลา 13.00-13.50 น. นอกจากนั้นยังมีรายการวิทยุ knowledge for people ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 – 19.00 น. ทางสถานีวิทยุ อสมท. F.M. 96.5 MHz Hz   คอลัมน์บทเรียนจากความจริงกับดร.จีระของหนังสือพิมพ์แนวหน้าทุกวันเสาร์หน้า   

ขอโชคดีจงมีแด่ผู้อ่านทุกท่าน  

สวัสดีครับ 

ยม 

น.ศ.ปริญญาเอก                    

หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ 

 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (กทม.2)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท