ความหมายของการกระจายอำนาจ


การกระจายอำนาจ คืออะไร

ความหมายของการกระจายอำนาจ

  • การถ่ายโอนอำนาจการตัดสินใจ ทรัพยากร และภารกิจ จากภาครัฐส่วนกลาง ให้แก่องค์กรอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐส่วนภูมิภาค องค์กรอิสระ องค์กรท้องถิ่น องค์กรเอกชน โดยเฉพาะภาคประชาชน ไปดำเนินการแทน ซึ่งการถ่ายโอนดังกล่าว อาจจะมีลักษณะเป็นการถ่ายโอนเฉพาะภารกิจ ซึ่งเป็นการแบ่งภารกิจ ให้แก่องค์กรที่ได้รับการกระจายอำนาจดำเนินการ หรือ เป็นการถ่ายโอนโดยยึดพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งเป็นการแบ่งพื้นที่เป็นหน่วยงานย่อยในการดำเนินการ

แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการกระจาย

  • การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการบริหารจัดการบ้านเมืองของรัฐ ในระบบประชาธิปไตย โดยมุ่งลดบทบาทของรัฐส่วนกลาง(decentralize) ลงเหลือภารกิจหลักเท่าที่ต้องทำ เท่าที่จำเป็น และให้ประชาชนได้มีส่วนในการบริหารงานชุมชนท้องถิ่น ตามเจตนารมย์ของประชาชนมากขึ้น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จึงเป็นการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจ หน้าที่ใหม่ ระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์บ้านเมือง ที่เปลี่ยนแปลงไปในสภาวะที่สังคมมีกลุ่มที่หลากหลาย มีความต้องการ และความคาดหวังจากรัฐที่เพิ่มขึ้น และแตกต่างกัน ขัดแย้งกัน ในขณะที่รัฐเองก็มีขีดความสามารถ และทรัพยากรที่จำกัด ในการตอบสนองปัญหา ความต้องการ ที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่นได้ทันต่อเหตุการณ์ และตรงกับความต้องการของท้องถิ่น
  • การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เป็นการกระจายสิ่งต่อไปนี้ จากส่วนกลางให้กับท้องถิ่น
    • หน้าที่ เป็นการกระจายหน้าที่ ที่เป็นประโยชน์โดยตรงกับท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นรับผิดชอบดำเนินการเอง
    • อำนาจการตัดสินใจ เป็นการกระจายอำนาจการตัดสินใจดำเนินการ ตามหน้าที่ ที่ส่วนกลางกระจายไปให้ท้องถิ่นดำเนินการ
    • ทรัพยากรการบริหาร เป็นการกระจายบุคลากร งบประมาณ เทคโนโลยี ที่เหมาะสม ให้กับท้องถิ่น
    • ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นการกระจายความรับผิดชอบต่อภารกิจ หน้าที่ ที่รัฐกับผู้บริหารท้องถิ่น และประชาชน ร่วมกันรับผิดชอบ
    • ความพร้อม เป็นการกระจายความพร้อม ที่มีอยู่ในส่วนกลางให้กับท้องถิ่น เพื่อสร้างขีดความสามารถให้แก่ท้องถิ่น เป็นการทำให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

เป้าหมายของการกระจายอำนาจ

  • เพื่อให้บริการต่างๆ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีการถ่ายโอนภารกิจ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว รูปแบบการกระจายอำนาจ การจัดบริการสาธารณะ จึงไม่ควรจำกัดอยู่ที่การโอนภารกิจแต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับรูปแบบที่สามารถตอบสนอง ต่อวัตถุประสงค์ทั้งสองประการเป็นหลัก
  • พึงระลึกว่า " การกระจายอำนาจ" ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษ ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทุกปัญหาได้ เพราะ การกระจายอำนาจ อาจก่อให้เกิดปัญหา ความไม่เท่าเทียมกัน ที่เกิดจากระดับการพัฒนา ที่แตกต่างกัน ของแต่ละพื้นที่ การขาดผู้บริหารที่มีความสามารถเพียงพอ ที่จะรองรับระบบที่มีการกระจายอำนาจได้

ประเภทของการกระจายอำนาจ

  1. การมอบอำนาจการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการจากส่วนกลางสู่ภูมิภาค
  2. การมอบอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรกึ่งรัฐ ที่เป็นอิสระ ภายใต้การกำกับจากภาครัฐ
  3. การกระจายอำนาจการปกครองให้แก่รัฐบาลส่วนท้องถิ่น
  4. การมอบหน้าที่ให้แก่องค์กร หรือ หน่วยงานเอกชน
  5. การสร้างให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

ทำไมต้องมีการกระจายอำนาจ

  1. เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอนการดำเนินการ อันเนื่องจากการล่าช้าในการตัดสินใจจากส่วนกลาง
  2. เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง
  3. เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

 

การกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา

                                มาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ. 2545 บัญญัติให้กระทรวงศึกษาธิการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาทั้งด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไป ไปยังคณะกรรมการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง ทั้งนี้หลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง  จึงทำให้กระทรวงศึกษาธิการจำเป็นต้องออกกฎกระทรวง ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษา พ.ศ. 2550 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ต้องออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่อง การกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาของเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไปยังคณะกรรมการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 โดยมีการจัดอบรมครูไปเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมาในหลักสูตรผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจสำหรับครู ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารการศึกษา ขึ้น โดยกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดประเภทของสถานศึกษาโดยระยะแรกได้แบ่งสถานศึกษาที่รองรับการกระจายอำนาจเป็น 2 ประเภท

                สถานศึกษาประเภทที่ 1 จำนวน 609 แห่ง ได้แก่สถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป หรือโรงเรียนและศูนย์การศึกษาพิเศษและมีผลการประเมินคุณภาพการศึกษาได้มาตรฐานจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยหมายถึง สถานศึกษาได้มาตรฐานตามเกณฑ์การประเมินจาก สมศ. รอบแรก อยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยนของผลการประเมินทั้ง 14 มาตรฐาน มากกว่า 2.50 และไม่มีมาตรฐานใดอยู่ในระดับปรับปรุง หรือได้มาตรฐานรอบที่ 2 (พ.ศ. 2549-2553) ระดับดี หมายถึง มีค่าเฉลี่ยผลประเมินทั้ง 14 มาตรฐานมากกว่าหรือกับ 2.75 ขึ้นไป และได้มาตรฐานระดับดี 11 มาตรฐานขึ้นไป ไม่มีมาตรฐานใดอยู่ในระดับปรับปรุง ส่วนสถานศึกษาประเภทที่ 2 ได้แก่สถานศึกษาที่ไม่เข้าข่ายการเป็นสถานศึกษาประเภทที่ 1

                จากที่กล่าวมาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ได้จัดพิมพ์แนวทางการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาให้คณะกรรมการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ตามกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษา พ.ศ. 2550 ขึ้น โดยในส่วนของสถานศึกษานั้น มีเป้าหมาย(Goal) .ให้สถานศึกษาประเภทที่ 1 มีความเข้มแข็ง มีอิสระและคล่องตัวในการบริหารและจัดการศึกษา ตามกรอบภารกิจการกระจายอำนาจทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไปที่ได้รับมอบการกระจายอำนาจได้ด้วยตนเอง มีรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management : SBM) มุ่งเน้นคุณภาพผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมีระบบประกันคุณภาพภายในที่พร้อมรองรับการประเมินคุณภาพภายนอกและการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน ในส่วนของสถานศึกษาประเภทที่ 2 ต้องได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความพร้อมและความเหมาะสมในการบริหารและการจัดการศึกษาตามกรอบภารกิจการกระจายอำนาจทั้ง 4 ด้าน โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอาจเข้าไปช่วยเหลือหรือทำการแทนในบางเรื่องหรือประกาศจัดตั้งเป็นเครือข่ายสถานศึกษา

                นักศึกษาปริญญาโท สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา  ศูนย์ศาลายา ได้จัดเสวนาย่อยเกี่ยวกับการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาตามกฎกระทรวง โดยมี อาจารย์ ดร.เก็จกนก  เอื้อวงศ์ เป็นที่ปรึกษา ผลจากการเสวนาย่อยครั้งนี้ สรุปได้ว่าการกระจายอำนาจทั้ง 4 ด้านนั้น ด้านวิชาการ เป็นด้านที่โรงเรียนแต่ละแห่งสามารถทำได้อย่างดี

เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาวิชาชีพ จะมีปัญหาเฉพาะเรื่องการส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ ที่ครูมองว่าจะเป็นการจัดอบรมให้ความรู้ ซึ่งแนวทางแก้ไข คือ อาจใช้การส่งเสริมผ่านสื่ออิเลคทรอนิคส์หรือในรูปวารสาร จุลสารวิชาการ, ด้านการบริหารทั่วไป เป็นด้านที่โรงเรียนสามารถปฎิบัติดีรองจากด้านวิชาการ โดยปัญหาในด้านนี้ คือ การวิจัยเพื่อพัฒนานโยบายและแผน ที่ต้องใช้ผู้มีความรู้ความสามารถและมีเวลาและด้านการประสานการจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัยที่ครูกลัวว่าจะเพิ่มภาระงาน รวมถึงยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย, ส่วนด้านการบริหารงานบุคคล แม้จะเป็นภาระงานที่โรงเรียนทุกแห่งดำเนินการอยู่แล้ว  แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับอัตรากำลัง คือ การจัดสรรอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา แม้โรงเรียนจะทำได้แต่ถ้าขาดงบประมาณก็คงดำเนินการไม่ได้ รวมถึงอาจได้ครูไม่ตรงตามความต้องการ และด้านการสรรหาและบรรจุหากดำเนินการผ่านโรงเรียนอาจจะเกิดระบบเส้นสายขึ้นได้ ส่วนด้านที่ครูมองว่ามีปัญหาและอุปสรรคมากที่สุดคือ ด้านงบประมาณ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินและระเบียบ ซึ่งต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทาง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง รวมถึงการกำหนดรูปแบบรายการครุภัณฑ์หรือสิ่งก่อสร้าง ซึ่งต้องใช้ผู้มีความรู้

                การกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษานับเป็นเรื่องที่ดี แสดงให้เห็นถึงความมีวิสัยทัศน์ของผู้ใหญ่ในกระทรวง ที่ช่วยให้สถานศึกษา มีอิสระในการบริหารจัดการ  สามารถยืนบนขาของตัวเอง  แต่สิ่งที่เป็นห่วง คือ ผลพวงจากการกระจายอำนาจจะส่งผลให้สถานศึกษาที่มีชื่อเสียงหรือโรงเรียนดัง สามารถกำหนดค่าบำรุงการศึกษาและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้ สิ่งสำคัญเมื่อกระจายอำนาจแล้ว กระทรวงต้องให้อัตรากำลังเพื่อบรรจุบุคลากรทางการศึกษาเฉพาะทาง เพราะหากไม่มีอัตรากำลังให้โรงเรียนแล้ว คงกลายเป็นฝันค้างที่ไม่มีทางเป็นจริงแน่ทีเดียว

 

การกระจายอำนาจด้านสุขภาพ

  1. เพื่อเพิ่มคุณภาพบริการ
  2. เพื่อประสิทธิภาพของระบบบริการสาธารณสุข
  3. เพื่อตอบสนองความต้องการและการตรวจสอบจากชุมชน
  4. เพื่อความเสมอภาค
  5. เพื่อความยั่งยืนและการยอมรับ

แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ

  • การสาธารณสุขและการรักษาพยาบาล เป็นภารกิจที่มีความสำคัญ เกี่ยวข้องกับชีวิต เป็นบริการที่มีความสลับซับซ้อน และต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทางเทคนิควิชาการเฉพาะด้าน ต้องการความเป็นเอกภาพในการรักษาพยาบาล การส่งต่อผู้ป่วยทั้งจากระดับต้นสู่ระดับสูง หรือจากระดับสูงสู่การดูแลใกล้บ้าน หรือในชุมชน รวมทั้งระบบการเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มแข็ง มีความพร้อมตลอดเวลา สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงต้องมีการดำเนินการอย่างรอบครอบ โดยยึดแนวคิดดังนี้
  1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องสามารถตัดสินใจ และควบคุมทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ สามารถได้รับประโยชน์จากการแก้ปัญหา และการจัดบริการได้มากที่สุด มากกว่าการจำกัดเพียงการควบคุมกำกับ เพื่อให้เกิดการบริการในระดับใด ระดับหนึ่ง หรือจำกัดเพียงระดับต้นเท่านั้น
  2. การบริหารจัดการระบบบริการ ควรมีความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และใช้ทรัพยากร
  3. ทรัพยากรถูกใช้อย่างเหมาะสมในทุกด้าน ทั้งด้านส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพ ตลอดจน การดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม
  4. ประชาชนในพื้นที่ควรมีบทบาท และโอกาสในการร่วมตัดสินใจ หรือ ตรวจสอบผลการดำเนินงานของระบบ
  5. รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข จะต้องปรับเปลี่ยนบทบาท ไปเป็นผู้กำหนดมาตรฐาน ผู้กำกับดูแล และเสนอแนะ รวมทั้งให้บริการทางวิชาการ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เป้าหมายของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ

  1. ประชาชนในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย มีสุขภาพดีโดยเท่าเทียมกัน
  2. ปัญหาสาธารณสุขในพื้นที่ได้รับการแก้ไข สอดคล้องกับสภาพความต้องการที่เป็นจริงในพื้นที่
  3. ประชาชนในแต่ละพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการ และรับบริการที่มีคุณภาพเป็นที่พอใจ และมีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร เพื่อจัดบริการ
  4. ประชาชนในพื้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ในการใช้ทรัพยากรต่างๆ ในการแก้ปัญหาสาธารณสุข ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยุทธศาสตร์ในการดำเนินการ

  1. กระจายอำนาจในการวางแผน และจัดสรรการใช้ทรัพยากร เพื่อการแก้ปัญหาสาธารณสุข จากส่วนกลางไปยังแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม
  2. สร้างกลไกในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีศักยภาพและความสามารถ ในการวางแผน และจัดสรรทรัพยากร เพื่อให้เกิดการแก้ปัยหา ได้อย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ
  3. พัฒนาให้เกิดระบบบริการ ที่ท้องถิ่นสามารถกำกับดูแล และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ในแต่ละพื้นที่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นที่พอใจของประชาชน

แนวทางในการดำเนินการ

  • ด้วย พรบ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ปี2542 ได้มีการกำหนดว่า จะต้องมีการถ่ายโอนภารกิจของสถานพยาบาล หรือ ถ่ายโอนสถานบริการของรัฐ ระดับต่างๆ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละระดับ ( อบต. เทศบาล อบจ.) ทางส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองท้องถิ่น ได้มีการศึกษา และพิจารณาทางเลือกในการถ่ายโอนภารกิจด้านสุขภาพ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการศึกษาจากเอกสาร จากประสบการณ์ในประเทศ และจากการศึกษาดูงานในต่างประเทศ ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบใหญ่คือ
  1. รูปแบบที่ 1 สถานพยาบาลทุกระดับขึ้นกับ กระทรวงสาธารณสุข แต่ถ่ายโอนบางภารกิจที่เหมาะสมให้แก่ท้องถิ่น
  2. รูปแบบที่ 2 สถานพยาบาลแต่ละระดับขึ้นกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ละระดับ ภารกิจส่วนใหญ่โอนให้แก่ท้องถิ่น
  3. รูปแบบที่ 3 สถานพยาบาลทุกระดับขึ้นกับ คณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่ ภารกิจบางอย่างโอนให้แก่ท้องถิ่นดำเนินการเอง
  4. รูปแบบที่ 4 สถานพยาบาลทุกระดับ อยู่เป็นเครือข่ายในรูปแบบองค์การมหาชน ภารกิจบางอย่างโอนให้แก่ท้องถิ่นดำเนินการเอง
  • จากการพิจารณาดังกล่าว พบว่ารูปแบบที่ 3 น่าจะเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งในขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เสนอรูปแบบที่ 3 นี้ ต่อคณะกรรมการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรแกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีหลักการทั่วไปในการดำเนินการดังนี้
  1. จัดให้มีคณะกรรมการเฉพาะด้านในระดับจังหวัดขึ้น ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ดำเนินงาน กำหนดมาตรฐานในส่วนของจังหวัด การจัดสรรทรัพยากร การกำกับดูแลการดำเนินงานของสถานบริการในสังกัดท้องถิ่น รวมทั้งทำหน้าที่ประสานความร่วมมือ ระหว่างรัฐ กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตจังหวัด โดยคณะกรรมการประกอบด้วย ตัวแทนแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คือ ราชหารบริหารส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภท ผู้แทนฝ่ายวิชาชีพ ผู้ทรงคุณวุฒิในเขตจังหวัด โดยผู้แทนจากท้องถิ่นทำหน้าที่เลขานุการ
  2. การโอนหน่วยบริการสุขภาพ(สถานบริการสาธารณสุขสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเดิม) ไปสู่ส่วนท้องถิ่น ต้องไม่เป็นแบบแยกส่วน เพราะจะเกิดความยุ่งยากในการบริหารจัดการ ขาดความเชื่อมโยง และขาดเอกภาพในระบบบริการสาธารณสุข ที่สำคัญจะเป็นการลดประสิทธิภาพ ในการจัดการทรัพยากร ที่มีอยู่จำกัดในภาพรวมของประเทศลงไปอีก อีกทั้งเป็นการยากที่จะบริหารจัดการให้เกิดความเท่าเทียมกัน ในด้านสุ๘ภาพของประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ของระบบบริการสาธารณสุขอีกด้วย
  3. หน่วยบริการสุขภาพ ควรมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ทรัพยากร และงบประมาณ โดยมีการจัดทำงบประมาณแบบเน้นผลลัพธ์ เพื่อให้สามารถบริหารทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ติดอยู่กับกรอบ และระเบียบอันจำกัดของระบบราชการ แต่ทั้งนี้ต้องมีกลไก การตรวจสอบที่ชัดเจนด้วย
  4. ให้มีการบริหารงานบุคคล และกำหนดความก้าวหน้าสำหรับวิชาชีพเฉพาะ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน
  5. ในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หากองค์กรท้องถิ่นยังไม่พร้อมรับการถ่ายโอน ก็อาจร้องขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น หรือร้องขอให้รัฐดำเนินการแทนไปพลางก่อน หรือดำเนินการร่วมกับรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น หรืออาจ จัดซื้อ จัดจ้าง ให้องค์กรของรัฐ หรือภาคเอกชน ดำเนินการแทนได้ โดยให้รัฐดำเนินการเพิ่มขีดความสามารถ และความรู้ด้านเทคโนโลยี ด้านการบริหารจัดการ ด้านบุคลากร และความพร้อมด้านการคลัง ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆ จนกว่าสามารถรับการถ่ายโอนงาน หรือภารกิจได้ โดยให้มีความยืดหยุ่นในช่วงเปลี่ยนผ่าน
คำสำคัญ (Tags): #พรเจริญ4
หมายเลขบันทึก: 323219เขียนเมื่อ 26 ธันวาคม 2009 15:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 17:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

การกระจายอำนาจเป็นการแบ่งอำนาจให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออำนาจของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เพราะการกระจายอำนาจหรือการแบ่งอำนาจนั้นทำให้อำนาจของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเพิ่มขึ้นจนทำให้อำนาจของส่วนกลางอาจได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากการแข็งข้อของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอันเป็นผลมาจากการไม่ยอมรับอำนาจส่วนกลางโดยมองว่าตนมีอำนาจเพียงพอที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดได้เอง ดังนั้นการกระจายอำนาจหรือการแบ่งอำนาจจะส่งผลเสียต่อส่วนกลางในการตัดสินใจหรือการกระทำการต่างๆที่ส่วนกลางกล่าวอ้างขึ้นเพื่อเสนอนโยบาย ในการบริหารบั่นทอนลงได้

ไพบูลย์ สถาปนาวิสุทธิ์

การกระจายอำนาจการปกครอง หรือ อำนาจบริหาร Administrative Power เป็นมหันตภัยอันร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ภายใต้สภาวการณ์ของประเทศที่ยังแก้ปัญหาการเมืองไม่ตกนี้ ได้เกิด ปัญหาการเมืองขึ้นอีกปัญหาหนึ่ง ปัญหานี้นับว่ามีความสำคัญมาก สมควรที่จะต้องทำให้เกิดความ เข้าใจแก่พี่น้องประชาชน มิฉะนั้น จะเป็นมหันตภัยอันร้ายแรงต่อความมั่นคงของ ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ ปัญหานี้ก็คือ การกระจายอำนาจการปกครอง หรือ อำนาจบริหาร (Administrative Power)

โลกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ได้มีการรวมชาติรูปใหม่โดยรวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้าเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่า รัฐประชาชาติ (National State) (รัฐในประวัติศาสตร์สมัยกลาง เรียกว่า รัฐ เจ้านคร หรือ Feudal State) การรวมชาติเป็นประเทศในประวัติศาสตร์สมัยใหม่นี้ ทำให้มีประเทศเกิด ขึ้นเป็นรัฐ 2 แบบ คือ

1. รัฐเดียว (Unitary State) คือ การรวมชาติเป็นประเทศแบบรัฐเดียว เรียกว่า ราชอาณาจักร (Kingdom)

2. หลายรัฐ (Multi-State) คือ การรวมชาติเป็นประเทศในแบบหลายรัฐ ซึ่งโดยทั่วไป เรียกว่า สาธารณรัฐ (Republic)

ราชอาณาจักร คือ ประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

สาธารณรัฐคือประเทศที่มีประธานาธิบดีหรือสถาบันอื่นที่ไม่ใช่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ราชอาณาจักร หรือ ประเทศรัฐเดียว ใช้วิธีการตามหลักการ รวมอำนาจการปกครอง (Centralization of Administrative Power) ซึ่งหมายถึง ประเทศรัฐเดียว จะดำรงความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวของราชอาณาจักรไว้ได้นั้น ต้องรวมอำนาจการปกครองเท่านั้น จะกระจายอำนาจการปกครอง หรืออำนาจบริหารไม่ได้ ถ้ากระจายอำนาจการปกครองหรืออำนาจบริหาร ก็คือ การทำลายความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันของราชอาณาจักร ซึ่งหมายถึง การทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นเอง

ไพบูลย์ สถาปนาวิสุทธิ์

ประเทศหลายรัฐ ใช้วิธีการตามหลักการ การกระจายอำนาจการปกครอง (Decentralization of Administrative Power) แต่การกระจายอำนาจนั้น ก็เป็นการกระจายอำนาจการปกครองภายใต้การ รวมศูนย์อำนาจการปกครองอยู่นั่นเอง หลักการเหล่านี้ เป็นหลักวิชารัฐศาสตร์ ที่ยึดถือกันโดยทั่วไป ของประเทศทั้งหลายในประวัติศาสตร์สมัยใหม่

การรวมศูนย์อำนาจการปกครอง และการกระจายอำนาจการปกครอง ต่างก็เป็นวิธีรวมประเทศ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตามสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของแต่ละประเทศ บาง ประเทศสร้างเอกภาพด้วยการรวมศูนย์อำนาจการปกครอง บางประเทศสร้างเอกภาพด้วยการกระจาย อำนาจการปกครอง ซึ่งจะกำหนดเอาตามความต้องการของบุคคลไม่ได้ มิฉะนั้น จะเป็นการทำลาย เอกภาพ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศ และนำไปสู่มิคสัญญีกลียุค อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เป็นกฎที่แน่นอน

รัชกาลที่ 5 ด้วยพระปรีชาชาญอันยิ่งยวด ทรงรวมชาติในรูปรัฐเดียว เรียกว่า ราชอาณาจักร ทำนองเดียวกับประเทศทั้งหลายที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ของอังกฤษ เรียกว่า สหราชอาณาจักร (United Kingdom) และของญี่ปุ่นเรียกว่า จักรวรรดิ (Empire) มีรัฐต่างๆ รวมกัน คล้ายกับการรวมประเทศในรูปหลายรัฐ แต่ต่างกันที่รัฐของญี่ปุ่นมีลักษณะการปกครองของตนเอง ทางวัฒนธรรม (Cultural Autonomous) ไม่มีลักษณะการเมืองดังเช่นรัฐต่างๆ ของประเทศในรูปหลาย รัฐ เช่น สหรัฐ หรือ รัฐบาลสหพันธ์ (Federal Government) รัฐบาลแห่งรัฐ (State Government) หรือ รัฐบาลมลรัฐ

ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 1. บัญญัติว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่ง แยกมิได้ นั้น แท้จริงก็คือ บัญญัติขึ้นตามข้อเท็จจริงของหลักวิชาการในการรวมประเทศไทยให้ เป็น แบบรัฐเดียว ด้วยพระปรีชาญาณอันยิ่งยวดของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

นักวิชาการและนักการเมืองหลอกประชาชนว่า การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นการ กระจายอำนาจเพื่อสร้างประชาธิปไตย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่เห็นด้วยก็ถูกกล่าวหาว่าหวงอำนาจ เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก เคยตั้งปัญหาไว้ว่า การกระจายอำนาจคืออะไร? แต่ก็ยังไม่มีใครตอบปัญหานี้ได้

การกระจายอำนาจคืออะไร และมีความสำคัญกับระบบการปกครองหรือไม่อย่างไร

การกระจายอำนาจคืออะไร และมีคสามสำคัญกับระบบการปกครองหรือไม่อย่างไร

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท