การกระจายอำนาจ คืออะไร
ความหมายของการกระจายอำนาจ
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการกระจาย
เป้าหมายของการกระจายอำนาจ
ประเภทของการกระจายอำนาจ
ทำไมต้องมีการกระจายอำนาจ
การกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา
มาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2545 บัญญัติให้กระทรวงศึกษาธิการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาทั้งด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไป ไปยังคณะกรรมการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง ทั้งนี้หลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงทำให้กระทรวงศึกษาธิการจำเป็นต้องออกกฎกระทรวง ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษา พ.ศ. 2550 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่อง การกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาของเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไปยังคณะกรรมการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 โดยมีการจัดอบรมครูไปเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมาในหลักสูตรผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจสำหรับครู ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารการศึกษา ขึ้น โดยกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดประเภทของสถานศึกษาโดยระยะแรกได้แบ่งสถานศึกษาที่รองรับการกระจายอำนาจเป็น 2 ประเภท
สถานศึกษาประเภทที่ 1 จำนวน 609 แห่ง ได้แก่สถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป หรือโรงเรียนและศูนย์การศึกษาพิเศษและมีผลการประเมินคุณภาพการศึกษาได้มาตรฐานจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยหมายถึง สถานศึกษาได้มาตรฐานตามเกณฑ์การประเมินจาก สมศ. รอบแรก อยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยนของผลการประเมินทั้ง 14 มาตรฐาน มากกว่า 2.50 และไม่มีมาตรฐานใดอยู่ในระดับปรับปรุง หรือได้มาตรฐานรอบที่ 2 (พ.ศ. 2549-2553) ระดับดี หมายถึง มีค่าเฉลี่ยผลประเมินทั้ง 14 มาตรฐานมากกว่าหรือกับ 2.75 ขึ้นไป และได้มาตรฐานระดับดี 11 มาตรฐานขึ้นไป ไม่มีมาตรฐานใดอยู่ในระดับปรับปรุง ส่วนสถานศึกษาประเภทที่ 2 ได้แก่สถานศึกษาที่ไม่เข้าข่ายการเป็นสถานศึกษาประเภทที่ 1
จากที่กล่าวมาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้จัดพิมพ์แนวทางการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาให้คณะกรรมการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ตามกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษา พ.ศ. 2550 ขึ้น โดยในส่วนของสถานศึกษานั้น มีเป้าหมาย(Goal) .ให้สถานศึกษาประเภทที่ 1 มีความเข้มแข็ง มีอิสระและคล่องตัวในการบริหารและจัดการศึกษา ตามกรอบภารกิจการกระจายอำนาจทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไปที่ได้รับมอบการกระจายอำนาจได้ด้วยตนเอง มีรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management : SBM) มุ่งเน้นคุณภาพผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมีระบบประกันคุณภาพภายในที่พร้อมรองรับการประเมินคุณภาพภายนอกและการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน ในส่วนของสถานศึกษาประเภทที่ 2 ต้องได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความพร้อมและความเหมาะสมในการบริหารและการจัดการศึกษาตามกรอบภารกิจการกระจายอำนาจทั้ง 4 ด้าน โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอาจเข้าไปช่วยเหลือหรือทำการแทนในบางเรื่องหรือประกาศจัดตั้งเป็นเครือข่ายสถานศึกษา
นักศึกษาปริญญาโท สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ศูนย์ศาลายา ได้จัดเสวนาย่อยเกี่ยวกับการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาตามกฎกระทรวง โดยมี อาจารย์ ดร.เก็จกนก เอื้อวงศ์ เป็นที่ปรึกษา ผลจากการเสวนาย่อยครั้งนี้ สรุปได้ว่าการกระจายอำนาจทั้ง 4 ด้านนั้น ด้านวิชาการ เป็นด้านที่โรงเรียนแต่ละแห่งสามารถทำได้อย่างดี
เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาวิชาชีพ จะมีปัญหาเฉพาะเรื่องการส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ ที่ครูมองว่าจะเป็นการจัดอบรมให้ความรู้ ซึ่งแนวทางแก้ไข คือ อาจใช้การส่งเสริมผ่านสื่ออิเลคทรอนิคส์หรือในรูปวารสาร จุลสารวิชาการ, ด้านการบริหารทั่วไป เป็นด้านที่โรงเรียนสามารถปฎิบัติดีรองจากด้านวิชาการ โดยปัญหาในด้านนี้ คือ การวิจัยเพื่อพัฒนานโยบายและแผน ที่ต้องใช้ผู้มีความรู้ความสามารถและมีเวลาและด้านการประสานการจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัยที่ครูกลัวว่าจะเพิ่มภาระงาน รวมถึงยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย, ส่วนด้านการบริหารงานบุคคล แม้จะเป็นภาระงานที่โรงเรียนทุกแห่งดำเนินการอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับอัตรากำลัง คือ การจัดสรรอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา แม้โรงเรียนจะทำได้แต่ถ้าขาดงบประมาณก็คงดำเนินการไม่ได้ รวมถึงอาจได้ครูไม่ตรงตามความต้องการ และด้านการสรรหาและบรรจุหากดำเนินการผ่านโรงเรียนอาจจะเกิดระบบเส้นสายขึ้นได้ ส่วนด้านที่ครูมองว่ามีปัญหาและอุปสรรคมากที่สุดคือ ด้านงบประมาณ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินและระเบียบ ซึ่งต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทาง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง รวมถึงการกำหนดรูปแบบรายการครุภัณฑ์หรือสิ่งก่อสร้าง ซึ่งต้องใช้ผู้มีความรู้
การกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษานับเป็นเรื่องที่ดี แสดงให้เห็นถึงความมีวิสัยทัศน์ของผู้ใหญ่ในกระทรวง ที่ช่วยให้สถานศึกษา มีอิสระในการบริหารจัดการ สามารถยืนบนขาของตัวเอง แต่สิ่งที่เป็นห่วง คือ ผลพวงจากการกระจายอำนาจจะส่งผลให้สถานศึกษาที่มีชื่อเสียงหรือโรงเรียนดัง สามารถกำหนดค่าบำรุงการศึกษาและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้ สิ่งสำคัญเมื่อกระจายอำนาจแล้ว กระทรวงต้องให้อัตรากำลังเพื่อบรรจุบุคลากรทางการศึกษาเฉพาะทาง เพราะหากไม่มีอัตรากำลังให้โรงเรียนแล้ว คงกลายเป็นฝันค้างที่ไม่มีทางเป็นจริงแน่ทีเดียว
การกระจายอำนาจด้านสุขภาพ
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ
เป้าหมายของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ
ยุทธศาสตร์ในการดำเนินการ
แนวทางในการดำเนินการ
การกระจายอำนาจเป็นการแบ่งอำนาจให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออำนาจของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เพราะการกระจายอำนาจหรือการแบ่งอำนาจนั้นทำให้อำนาจของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเพิ่มขึ้นจนทำให้อำนาจของส่วนกลางอาจได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากการแข็งข้อของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอันเป็นผลมาจากการไม่ยอมรับอำนาจส่วนกลางโดยมองว่าตนมีอำนาจเพียงพอที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดได้เอง ดังนั้นการกระจายอำนาจหรือการแบ่งอำนาจจะส่งผลเสียต่อส่วนกลางในการตัดสินใจหรือการกระทำการต่างๆที่ส่วนกลางกล่าวอ้างขึ้นเพื่อเสนอนโยบาย ในการบริหารบั่นทอนลงได้
การกระจายอำนาจการปกครอง หรือ อำนาจบริหาร Administrative Power เป็นมหันตภัยอันร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ภายใต้สภาวการณ์ของประเทศที่ยังแก้ปัญหาการเมืองไม่ตกนี้ ได้เกิด ปัญหาการเมืองขึ้นอีกปัญหาหนึ่ง ปัญหานี้นับว่ามีความสำคัญมาก สมควรที่จะต้องทำให้เกิดความ เข้าใจแก่พี่น้องประชาชน มิฉะนั้น จะเป็นมหันตภัยอันร้ายแรงต่อความมั่นคงของ ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ ปัญหานี้ก็คือ การกระจายอำนาจการปกครอง หรือ อำนาจบริหาร (Administrative Power)
โลกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ได้มีการรวมชาติรูปใหม่โดยรวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้าเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่า รัฐประชาชาติ (National State) (รัฐในประวัติศาสตร์สมัยกลาง เรียกว่า รัฐ เจ้านคร หรือ Feudal State) การรวมชาติเป็นประเทศในประวัติศาสตร์สมัยใหม่นี้ ทำให้มีประเทศเกิด ขึ้นเป็นรัฐ 2 แบบ คือ
1. รัฐเดียว (Unitary State) คือ การรวมชาติเป็นประเทศแบบรัฐเดียว เรียกว่า ราชอาณาจักร (Kingdom)
2. หลายรัฐ (Multi-State) คือ การรวมชาติเป็นประเทศในแบบหลายรัฐ ซึ่งโดยทั่วไป เรียกว่า สาธารณรัฐ (Republic)
ราชอาณาจักร คือ ประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
สาธารณรัฐคือประเทศที่มีประธานาธิบดีหรือสถาบันอื่นที่ไม่ใช่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ราชอาณาจักร หรือ ประเทศรัฐเดียว ใช้วิธีการตามหลักการ รวมอำนาจการปกครอง (Centralization of Administrative Power) ซึ่งหมายถึง ประเทศรัฐเดียว จะดำรงความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวของราชอาณาจักรไว้ได้นั้น ต้องรวมอำนาจการปกครองเท่านั้น จะกระจายอำนาจการปกครอง หรืออำนาจบริหารไม่ได้ ถ้ากระจายอำนาจการปกครองหรืออำนาจบริหาร ก็คือ การทำลายความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันของราชอาณาจักร ซึ่งหมายถึง การทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นเอง
ประเทศหลายรัฐ ใช้วิธีการตามหลักการ การกระจายอำนาจการปกครอง (Decentralization of Administrative Power) แต่การกระจายอำนาจนั้น ก็เป็นการกระจายอำนาจการปกครองภายใต้การ รวมศูนย์อำนาจการปกครองอยู่นั่นเอง หลักการเหล่านี้ เป็นหลักวิชารัฐศาสตร์ ที่ยึดถือกันโดยทั่วไป ของประเทศทั้งหลายในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
การรวมศูนย์อำนาจการปกครอง และการกระจายอำนาจการปกครอง ต่างก็เป็นวิธีรวมประเทศ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตามสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของแต่ละประเทศ บาง ประเทศสร้างเอกภาพด้วยการรวมศูนย์อำนาจการปกครอง บางประเทศสร้างเอกภาพด้วยการกระจาย อำนาจการปกครอง ซึ่งจะกำหนดเอาตามความต้องการของบุคคลไม่ได้ มิฉะนั้น จะเป็นการทำลาย เอกภาพ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศ และนำไปสู่มิคสัญญีกลียุค อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เป็นกฎที่แน่นอน
รัชกาลที่ 5 ด้วยพระปรีชาชาญอันยิ่งยวด ทรงรวมชาติในรูปรัฐเดียว เรียกว่า ราชอาณาจักร ทำนองเดียวกับประเทศทั้งหลายที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ของอังกฤษ เรียกว่า สหราชอาณาจักร (United Kingdom) และของญี่ปุ่นเรียกว่า จักรวรรดิ (Empire) มีรัฐต่างๆ รวมกัน คล้ายกับการรวมประเทศในรูปหลายรัฐ แต่ต่างกันที่รัฐของญี่ปุ่นมีลักษณะการปกครองของตนเอง ทางวัฒนธรรม (Cultural Autonomous) ไม่มีลักษณะการเมืองดังเช่นรัฐต่างๆ ของประเทศในรูปหลาย รัฐ เช่น สหรัฐ หรือ รัฐบาลสหพันธ์ (Federal Government) รัฐบาลแห่งรัฐ (State Government) หรือ รัฐบาลมลรัฐ
ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 1. บัญญัติว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่ง แยกมิได้ นั้น แท้จริงก็คือ บัญญัติขึ้นตามข้อเท็จจริงของหลักวิชาการในการรวมประเทศไทยให้ เป็น แบบรัฐเดียว ด้วยพระปรีชาญาณอันยิ่งยวดของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นักวิชาการและนักการเมืองหลอกประชาชนว่า การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นการ กระจายอำนาจเพื่อสร้างประชาธิปไตย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่เห็นด้วยก็ถูกกล่าวหาว่าหวงอำนาจ เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก เคยตั้งปัญหาไว้ว่า การกระจายอำนาจคืออะไร? แต่ก็ยังไม่มีใครตอบปัญหานี้ได้
การกระจายอำนาจคืออะไร และมีความสำคัญกับระบบการปกครองหรือไม่อย่างไร
การกระจายอำนาจคืออะไร และมีคสามสำคัญกับระบบการปกครองหรือไม่อย่างไร