ก่อนการปฐมนิเทศผู้นำค่ายภาคปลายฝนต้นหนาว
เมื่อเดือนตุลาคมจะเริ่มขึ้น ผมใช้เวลาสองถึงสามวันนั่งถอดบทเรียนเกี่ยวกับแนวคิดการทำงานในวิถี “ค่ายอาสา” ของตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยหวังที่จะนำหลักคิดดังกล่าวมาเป็นโจทย์เสวนา
กับผู้นำค่าย อันเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความรู้
สู่ผู้นำค่ายในครั้งนั้น
กระทั่งที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็มาลงตัวที่ ๙ ข้อคิดที่ประกอบด้วย รู้ตัวตนโครงการ ทุกหมู่บ้านมีเรื่องเล่า เราไม่ใช่นัก “เสก-สร้าง” ทุกเส้นทางมีปัญหา คลังปัญญาชุมชน เราคือคนต้นแบบ อย่าแยกส่วนการเรียนรู้ หันกลับไปดู “บ้านเกิด” ก่อเกิดองค์ความรู้
อย่างไรก็ดี สำหรับแนวคิดทั้ง ๙ ข้อนั้น เรียกได้ว่าเป็นการถอดบทเรียนจากประสบการณ์ตรงของตัวเองแบบล้วนๆ เลยก็ไม่ผิด เนื่องเพราะส่วนใหญ่แทบไม่ต้องพลิกค้นตำราจากเล่มใดมาประกอบเลยก็ว่าได้ เพราะผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า “เรื่องของเรา-เราก็ควรต้องบอกเล่าด้วยวิถีของเราเอง” และการที่จะสื่อสารกับนิสิตนั้น หากเอาความเป็นวิชาการมาใช้แบบแข็งๆ เสียทั้งหมด มีหวังนิสิตคงออกอาการเบื่อเมาและสำลักทฤษฎีเป็นแน่แท้ ซ้ำร้ายยังอาจบั่นทอนจินตนาการในการทำค่ายไปโดยปริยายด้วยก็เป็นได้
และด้วยข้อจำกัดของความสั้นยาวแห่งบันทึกนี้ ผมคงไม่อาจเขียน หรือเล่าถึงเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างละเอียด แต่จะขอหยิบยกเพียงสั้นๆ ในแต่ละข้อคิดตามมุมมองของผม ดังว่า
......................................ฯลฯ.................................................
ครับ ทั้งปวงนั้น ผมขอยืนยันว่า มันคือสิ่งที่ผมพยายามสื่อสารแบบกว้างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารในแบบ “ตื้นๆ” กับนิสิตชาวค่าย หรือผู้นำค่ายในแบบฉบับของผมเอง โดยการไม่ย้ำลึกในทางเนื้อหา แต่พยายามให้เขาคิดและหาคำตอบด้วยวิธีการของเขาเองเป็นสำคัญ
แวะมาเรียนรู้สิ่งดีๆ..และมาทักทายค่ะ
มีความสุขในทุกก้าวย่าง นะคะ
น่าสนใจในหลายเรื่องมากครับอาจารย์ เห็นการผสมผสานข้อดีของหลายวิธีการซึ่งล้วนเป็นวิธีการที่เน้นความบูรณาการและความเป็นองค์รวมของการพัฒนาการเรียนรู้ครับ คือ
(๑) Field expose ซึ่งทำให้นักศึกษาได้การเรียนรู้ทั้งในโลกความเป็นจริงของสังคม นอกและในห้องเรียน การเตรียมประสบการณ์ภาคสนามให้กับผู้เรียน มีความเป็นศิลปะแห่งการเรียนรู้มากอย่างยิ่งครับ (๒) Community-Based Approach ปัจเจกและกลุ่มก้อน มีบทบาททั้งเพื่อกระบวนการเรียนรู้และการจัดการอย่างมีส่วนร่วม เพื่ออยู่ในสถานการณ์ของความเป็นชุมชนและกลุ่มก้อนเพื่อเรียนรู้ผ่านการทำงานและการปฏิบัติการเชิงสังคม กระบวนการเรียนรู้ในลักษณะนี้ มีอิทธิพลต่อการกระตุ้นการเรียนรู้จากภายใน หรือเป็นปัจจัยแวดล้อมที่ Inspired ให้ปัจเจกนำเอาประสบการณ์กับความรู้ชนิด Tacit knowledge และปัญญาชนิดที่มีบริบท ซึ่งเป็นพลังการเรียนรู้ที่นอนนิ่งอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว ออกมาใช้ สามารถเข้าถึงการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงระดับวิธีคิด และในทางสังคม ก็ทำให้เกิดการจัดวางตนเองเป็นกลุ่มซึ่งทำให้ความเป็นกลุ่มและชุมชนแห่งการเรียนรู้ เกิดการปรับเปลี่ยนและพัฒนาเชิงโครงสร้างเพื่อการอยู่ร่วมกันที่ลงตัวในสถานการณ์ต่างๆ
(๓) Community Learning การเรียนรู้ชุมชนและการเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตของผู้คนที่เป็นชาวบ้าน เป็นการเดินเข้าไปอ่านตำราที่มีชีวิตผ่านประสบการณ์เชิงสัมผัส เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและแยบคาย บทบาทและการปฏิสัมพันธ์กันของผู้คนในโครงสร้างใหม่ จะทำให้ชุมชนและนักศึกษาต่างได้สถานะเป็นครูและผู้ก่อให้เกิดการเรียนรู้ของกันและกัน เป็นการปฏิบัติการเชิงสังคมและการเรียนรู้ในแนวราบ ชุมชนก็ได้กำลังและความแข็งแรงเพิ่มขึ้น และนักศึกษาก็ได้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่เข้มข้น (๔) Uniqueness of Learning Unit ในทาง Process of learning design ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษาเรียนรู้ และ Instructional design ของการพัฒนาหลักสูตรและการสอนนั้น ต้องนับว่าการจัดกิจกรรมค่าย เป็นการออกแบบและจัดหน่วยประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้อย่างบูรณาการที่มีประสิทธิภาพมาก เป็น Goal oriented learning process ที่วางแผนและกำกับให้บรรลุจุดหมายที่ต้องการได้อย่างค่อยข้างแน่นอน เรียกว่าเชื่อได้ว่าจะเกิดผลดี ทว่า การจะทำให้เป็นรูปแบบ Close system โดยเน้นวัตุประสงค์กับกิจกรรมที่ตายตัว หรือ Open system โดยเน้นกระบวนการและการก่อเกbดเป้ายหมายแบบร่วมกันสร้างขึ้นได้ หรืออย่างไรนั้น ก็แล้วแต่ฝีมือ ความสร้างสรรค์ ลูกเล่น และความกล้าเล่นของ Facilitator แต่โดยทั่วไปนั้น นักกิจกรรมก็ไม่ค่อยมีหลักเกณฑ์เชิงทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม วางไว้อยู่เบื้องหลังกันสักเท่าไหร่ ของอาจารย์นี่ทำงานความคิดในแง่นี้ลึกซึ้งมากครับ (๕) Inspired and empowerment learning practice resources ชอบหนังสือพิมพ์ผนังที่นักศึกษาทำขึ้นมากครับอาจารย์ จะขอยืมรูปแบบและแนวคิดไปทดลองใช้เมื่อมีโอกาสบ้าง สื่อที่ทุกคนได้ลงมือทำอย่างเรียบง่ายและวิธีการอย่างนี้ มีพลังการสร้างบรรยากาศการทำงานและเรียนรู้เป็นกลุ่มได้ดีมากครับ ผมมักใช้กระดาษปิดบอร์ดและให้ผู้เรียน ผู้เข้าอบรม ได้ขีดเขียน เหมือนกับเป็น dialogue board ก็จะเป็นพื้นที่การแสดงความสร้างสรรค์และการเป็นกลไกจัดการการสื่อสารที่สร้างพลังการเรียนรู้ของกลุ่มอย่างมีความสุขได้อยู่เสมอ เป็น Communication practice for learning and empowering the group ที่ผมมัก Document สะสมไปบนกระบวนการทำงานได้อยู่เรื่อยๆ แต่วิธีที่เด็กๆของอาจารย์ทำนี้สร้างสรรค์กว่ามากครับ
เราอาสา...พัฒนา...ใจเริงร่าและสามัคคี...เราร่วมจิตอุทิศชิวิตพลี...ทำความดีเพื่อพี่น้องผองไทย
แม้ห่างไกลไม่ท้อถอย...ถึงยอดดอยสูงเยี่ยมเทียมฟ้า...เราบากบั่นฝ่าฟันเข้าไปหา...ร่วมพัฒนาด้วยเมตตาอารี
สายลมหนาวเคล้าลมฝน...ในกมลเราแสนเยือกเย็น...แสนอบอุ่นในบุญที่บำเพ็ญ...ความลำเค็ญก็มลายหายไป
ชาวค่ายอาสาสมัคร...เรารักงานกิจการสังคม...เรานิยม...มุ่งกระทำกันแต่ความดี
เรามาจากแดนไกล...มีน้ำใจสามัคคี...เราต่างมีใจมั่นร่วมกันทำงาน
ร่วมงานชาวบ้าน...ร่วมการกินอยู่...เราร่วมเชิดชูไม่ว่างานไหนๆ...เรารวมกันอยู่...เราทำกันไป
เสร็จงานเมื่อไหร่สบายใจเฮฮา...
ยิ้มเถิด ยิ้มเถิด...มายิ้ม...ยิ้มแย้มแจ่มใส...ยิ้มสนุกสุขใจ...ขอให้สวัสดี
จากอดีตนิสิตอาสา มหาวิทยาลัยบูรพาครับ
มาเยี่ยม มาชม คุณแผ่นดินและบันทึกดีดี
และส.ค.ส.ปี 2553
อ่านเอาไปประสานความรู้ตัวเองค่ะ
ขอบคุณมากๆๆๆ
สวัสดีปีใหม่อุทัยรุ่ง
ชีวิตมุ่งหมายสร้างทางสดใส
จบพบสิ่งมิ่งมงคลดลโชคชัย
ขอพรให้ผู้อ่านสราญรมย์
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน.. ได้ข้อคิ..วิธีการที่ดีค่ะ..มาอวยพรปีใหม่ค่ะ
สวัสดีค่ะ