นอกจากอาจารย์จะทุ่มเทเวลา ถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ และเอกสารสื่อการสอน ทั้ง Hardware/ Softwareให้อย่างเกินคุ้มแล้ว อาจารย์ยังได้สร้างเครือข่ายไว้ให้พวกเราให้เข้าสู่ยุทธจักรการฝึกอบรมและการเรียนรู้ด้านอื่นๆอีกด้วย
อ. ไชยยศ ปั้นสกุลไชย เป็นคนที่กำลัง
Hot ในวงการฝึกอบรม
ท่านเป็นนักฝึกอบรมที่ไม่อิงอยู่ในกรอบรูปแบบกฎเกณฑ์ใดๆ
ใช้กลยุทธ์การฝึกอบรมแบบง่ายๆ สบายๆ เหมาะกับสังคมไทย จนได้ฉายา
“วิทยากรนอกกรอบ : Innovative
Trainer” ผมได้ยินกิตติศัพท์ท่านมานานแล้ว
และได้เคยเขียนบันทึกเรื่องของอาจารย์ไว้ในเรื่อง HR TALK SHOW : Go
Training Talk ศักยภาพคนไร้ขีดจำกัด ตอนที่ 6 ที่ http://gotoknow.org/blog/attawutc/251525
แต่เพิ่งได้เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ เมื่อไม่นานมานี้เอง
ทางบริษัทได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาวิทยากรให้หลากหลายและครบเครื่อง
จึงได้เชิญอาจารย์มาสอนให้กับวิทยากรและผู้ชำนาญการฝึกอบรมของส่วนฝึกอบรมที่ผมสังกัดอยู่
จำนวน 10 คน เมื่อวันที่ 21-22 ธันวาคม 2552 ที่มาผ่านมานี้
ก่อนการฝึกอบรมประมาณ 2 สัปดาห์
อาจารย์ได้ทำการบ้านโดยเข้ามาหาข้อมูลก่อน
โดยเข้ามาพูดคุยกับพวกเราประมาณ 2 ชั่วโมง ว่า
ใครรับผิดชอบการสอนอะไร และอยากได้อะไรเพิ่มเติมจากการอบรมครั้งนี้
ความคิดเห็นของผมของผมคิดว่าน่าจะ ให้ผู้เข้าอบรมแต่ละคนส่งประวัติ
ประสบการณ์ ปัญหาต่างๆ ความคาดหวังในการฝึกอบรม
และสิ่งอื่นๆที่คิดว่าน่าจะเป็น Training Need ให้เบื้องต้นก่อน
แล้วค่อยนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ พิจารณา คุยกัน
ก่อนที่ไปออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมต่อไปครับ
(จ้างมาแล้วกะเอาให้คุ้ม)
ก่อนการอบรม 1 สัปดาห์
อาจารย์ได้ส่ง Mail มาหาพวกเราเพื่อให้ศึกษาข้อมูลจากเนื้อหาใน Blog
ของอาจารย์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเพื่อเตรียมตัวสำหรับการทำ
Pre-Test ก่อนการอบรม จำนวน 4 เรื่อง คือ
1.
เมื่อครูจับได้ว่า.......ลูกศิษย์มีสัมพันธ์ลึกซึ้งในห้องเรียน (โพสต์
20 พ.ย.52)
2.
รู้ทัน....สันดานการเรียนรู้ของคน !!! (โพสต์ 15 ต.ค.52)
3. วิทยากรฝึกอบรมยุคใหม่ที่ HR
สมัยใหม่ต้องการ (โพสต์ 19 เม.ย.51)
4. เหตุเกิดที่ห้องฝึกอบรม
SMART Trainer ของเซเว่นอีเลฟเว่น รุ่น 1 (โพสต์ 11 ส.ค.52)
ในช่วงนั้นผมเพิ่งได้รับตารางเวลาการอบรม อย่างคร่าวๆ
ที่พอจะเดาได้ว่าทุกคนต้องเตรียมการสอนมาเพื่อฝึกและรับการ Feed Back
แต่อาจารย์ไม่ได้บอกให้แต่ละเตรียมการสอนไว้ เพียงแต่เกริ่นๆ
ไว้เท่านั้นว่าจะมีการฝึกคนละ15 นาที และ Feed Back คนละ 15 นาที
ผมเลยกันเหนียวไว้โดยนำการสอนที่ผมเคยทำให้กับพนักงานควบคุมรถไฟฟ้าเรื่อง
Safety & Service Mind โดยใช้ Music VDO คาราโอเกะ
ตามที่ผมได้เคยบันทึกไว้ก่อนหน้านี้มาใช้ในการนี้(http://gotoknow.org/blog/attawutc/320250)
แต่ต้องมีการปรับแต่งเรื่องเวลาให้เหมาะกับการฝึกที่กำหนดไว้แค่คนละ
15 นาที
การอบรมของวันแรก อ. เปิดตัวด้วย
การบริหารสมองเพื่อเตรียมความพร้อมในการอบรม
โดยให้บวกเลขตามลำดับอย่างรวดเร็ว
แล้วเชื่อมโยงไปสู่เนื้อหาการอบรมต่อไป
ซึ่งก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ
โดยเน้นไปยังเรื่องการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=134422 และ
http://www.oknation.net/blog/chaiyospun/2009/05/24/entry-1)
และลักษณะความแตกต่างของคนในวัยต่าง (Baby Boomer, Gen X, Gen Y)
หลังจากนั้นอาจารย์ได้ใช้กิจกรรม เกมการวิเคราะห์ จับคู่
แล้วนำเสนอเป็นกลุ่ม
แต่ละกลุ่มต้องพยายามโน้มน้าวให้คนเชื่อและคล้อยตามให้ได้
ซึ่งกิจกรรมนี้จะสอนให้คนที่เป็น Trainer
ให้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการโน้มน้าวให้คนเชื่อและศรัทธา
ซึ่งเป็นประตูแรกสุดที่จะทำให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้
ทั้งนี้อาจารย์ได้ให้หลักการสอนเพื่อนโน้มน้าวเป็น Keyword
ง่ายๆ ไว้เป็น “PAJES”
(http://www.oknation.net/blog/print.php?id=291459)
P-Personal
Experience คือ
การใช้ประสบการณ์ที่เราเคยทำมาด้วยตนเองมาโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อ
A-Analogy
คือ
การใช้อุปมาอุปมัยเปรียบเทียบมาโน้มน้าวชักจูงให้เชื่อ
J-Judgment of
Expert คือ ใช้การอ้างอิงผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ
หรือสถาบันที่เป็นที่ยอมรับ มาอ้างอิง โน้มน้าวให้น่าเชื่อถือ
E-Example คือ
การยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องจริงของคน
หรือเหตุการณ์จริงก็ได้ มาโน้มน้าวชักจูงให้เชื่อ
S-Statistics คือ
การโน้มน้าวให้เชื่อโดยการใช้ข้อมูล ตัวเลข สถิติ ผลการทดลอง
หรือผลการวิจัย
หลังจากนั้น
ก็ให้แต่ละคนได้มีการฝึกสอนกันคนละประมาณ 15 นาที ช่วงที่มีการ Feed
back อาจารย์ ก็จะเสริมเชื่อมโยงเนื้อหาเข้าไป เช่น การใช้ Tone เสียง
การ Action และ หลักการสอนแบบ "SAVE" (http://www.oknation.net/blog/chaiyospun/2009/11/06/entry-1)
1.
Simplicity :
ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ความเรียบง่าย ของเนื้อหา
เทคนิคที่ใช้ คำพูดและการนำเสนอ ทำทุกอย่างให้ดูง่าย
2. Actions : วิทยากรต้องมีระสบการณ์ตรง
เคยลงมือทำในเรื่องที่จะสอนมาก่อน
และต้องให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
3. Variety : วิทยากรที่เก่ง ๆ
ต้องรู้จักใช้เทคนิคการฝึกอบรมที่หลากหลาย ให้มีความน่าสนใจ
ไม่น่าเบื่อ อย่าใช้เทคนิคเดียวตลอดเวลา
4. Egoless :
วิทยากรที่ดีต้องลดอีโก้ให้ได้มากที่สุด ไม่ถือตัว
ถ้าไม่มีอีโก้ได้ยิ่งดี
อย่าเผลอนึกว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง เก่งอยู่คนเดียว
เดี๋ยวลูกศิษย์จะเข้าใจผิดคิดว่าวิทยากรเป็นเทวดา เขาก็จะไม่กล้า
ไม่อยากเรียนด้วย
วันแรกผมได้มีโอกาสฝึกสอนเป็นคนที่ 2
ซึ่งเริ่มต้นในช่วงบ่าย ผมพกความมั่นใจมาเต็มที่ แต่หลังจากสอนเสร็จ
ทำเอาผมเสียความมั่นใจไปเยอะพอสมควร
ผมปลอบใจตัวเองว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องของความไม่สมจริงของการสอน
เรื่องเวลา และสิ่งแวดล้อม ที่เราคาดไม่ถึง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมต้องยอมรับว่า
สิ่งที่อาจารย์และเพื่อนร่วมห้องได้ Comment
มานั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบอกวัตถุประสงค์
การใช้ภาษา ตำแหน่งการยืน และการเลือกเพลงที่เหมาะสมกับผู้เข้าอบรม
วันแรกกว่าทุกคนจะได้ฝึกกันหมดก็ประมาณ 6 โมงเย็นพอดี
ภาพจาก (http://www.se-ed.com/eShop/(A(otXS1wOcyQEkAAAAYjI3OWY3MGMtNGUxZC00MDcxLTk1NjgtOTY0N2U4NTlmOTQ1kNUZqWQ6s-DmKQcjFf8TxTCxjYM1))/Products/image.axd?picture=2223530000199L.gif&Type=Large)
วันที่สองอาจารย์เริ่มต้นด้วยการทำกิจกรรมแบ่งกลุ่มเล่นเกม
“จราจรอัฉริยะ”
นำรถออกจากจุดจอด แล้วเชื่อมโยงเนื้อหาไปใว้ในการฝึกอบรมว่า
ได้อะไรจากเกมนี้
จะนำไปใช้เชื่อมโยงเนื้อหาไปยังการฝึกอบรมอย่างไรได้บ้าง
จากนั้นอาจารย์ก็เชื่อมโยงต่อไปยังเรื่องของการใช้สื่อเพื่อจุดประกายเชื่อมโยงความรู้ไปยังเนื้อหาที่เราต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ภาพ เนื้อหาจากข่าว ภาพประทับใจ Clip VDO
ของภาพยนต์ รายการโทรทัศน์ โฆษณา เพลง คอนเสิร์ต ฯลฯ
นอกจากนี้อาจารย์ยังได้แนะนำ
วิทยากรที่มีค่าตัวแพงที่สุดในเมืองไทยไว้ด้วย คือ
คุณศุภกิจ รุ่งโรจน์ (http://www.wh2.co.th/main.html)
เจ้าของ Concept “Power of
Change” เพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจในการทำหน้าที่เป็นTrainer
ต่อไป
หลังจากพักกาแฟช่วงเช้าแล้ว
ก็เริ่มฝึกสอนต่อในครั้งที่ 2 ผมก็เจอคิวที่ 2 เหมือนเดิม
คราวนี้หนักใจกว่าครั้งแรกมาก เพราะไม่ได้เตรียมเรื่องมาเลย
ตอนแรกกะว่าจะใช้เรื่องเกี่ยวกับรถไฟฟ้าที่มีเนื้อหาด้านเทคนิคมาสอน
จนมาถึงนาทีสุดท้าย อาจารย์ได้พูดสะกิดใจผมว่าพวกเราชอบสอนแบบเดิมๆ
ทื่อๆ ซื่อๆ
และประจวบเหมาะกับวันนั้นพวกเราเพิ่งไปอวยพรผู้ใหญ่ในบริษัทมา
และผู้ใหญ่ท่านนั้นก็ให้โอวาทข้อคิดเกี่ยวกับทัศนคติในการทำงาน
ผมก็เลยตัดสินใจโหนกระแสนี้สอนเรื่อง
จะทำงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข
โดยใช้มุกเดิมคือใช้เพลง ตื่นเถิดจอมยุทธ์ ของ P2WARSHIP
มาเป็นสื่อ(http://gotoknow.org/blog/attawutc/313048)
เพื่อจุดประกายการเรียนรู้ ซึ่งไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย เพียงแต่นำ
Comment ที่ได้รับไปเมื่อวานนี้มาปรับปรุงเท่านั้นเอง
ก็เอาตัวรอดไปได้ แบบเฉียดฉิว อาจารย์ ได้ให้แนวคิดว่า
มุกนี้อย่าใช้ซ้ำ เพราะผู้เรียนจะจับทางได้
ควรหาอะไรที่ทำให้ผู้เรียนตามมุกเราไม่ทันไว้อยู่เสมอ
การสอนในรอบนี้ผมพยายามใช้หลัก PAJES โดยเฉพาะตัว J (J-Judgment of
Expert : การอ้างอิงผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ) ตอนนั้นผมอ้างอิงไปยัง Peter
Senge
ปรมจารย์ด้านองค์เรียนรู้ ซึ่งมาทราบภายหลังว่าคนให้ห้องไม่มีใครคุ้นชื่อนี้เลย
อาจารย์จึงได้ให้ข้อคิดเรื่องการอ้างอิงไว้ 3 ข้อง่ายๆ คือ CEP :
Competence, Ethic, Popularity (http://www.oknation.net/blog/chaiyospun/2009/12/21/entry-1)
1. บุคคลที่เรานำมาอ้างอิงนั้นควรเป็นคนที่เก่งเป็นพิเศษในด้านนั้น
ๆ (Competence) ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังนำเสนอ)
2. เป็นคนดีมีจริยธรรม ซื่อสัตย์
สุจริต น่าเชื่อถือ ไว้วางใจได้ (Ethics)
3. ควรเป็นคนที่กลุ่มผู้ฟังกลุ่มนั้น
ยอมรับ ชื่นชม ชื่นชอบ (Popularity) เป็นพิเศษ
การฝึกอบรมในวันที่ 2
ดำเนินไปอย่างเข้มข้นกว่าจะเลิกก็กินเวลาเลิกงานไปจนถึง 1 ทุ่ม
ผมคิดว่าการอบรมครั้งนื้คุ้มค่ามาก
ที่ได้อาจารย์ท่านนี้มาเป็นวิทยากรให้ เพราะนอกจากอาจารย์จะทุ่มเทเวลา
ถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ และเอกสารสื่อการสอน ทั้ง Hardware/
Softwareให้อย่างเกินคุ้มแล้ว
อาจารย์ยังได้สร้างเครือข่ายไว้ให้พวกเราให้เข้าสู่ยุทธจักรการฝึกอบรมและการเรียนรู้ด้านอื่นๆอีกด้วย
นั่นคือ Blog ของ oknation นั้นเอง (http://www.oknation.net/blog/attawutc)