ภาวะผู้นำ (Leadership)
ภาวะผู้นำเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับองค์กรทุกประเภทไม่ว่าองค์การของรัฐหรือเอกชน เพราะองค์การจะมีความเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำหรือไม่เพียงใดนั้น สาเหตุหนึ่งมาจากผู้บริหารในองค์การนั้นมีภาวะผู้นำเพียงพอที่โน้นน้าวให้บุคคลทำงานให้แก่องค์การตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่นั้นเอง
ความหมายของภาวะผู้นำ (Leadership)
เบอร์นาด แบส (Bernard Bass) ผู้ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมผลงานอันยิ่งใหญ่ของ Ralph Stogdill จนเสร็จในปี ค.ศ. 1981 พบว่า เขาได้ อ้างถึงงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำไว้ประมาณถึง 5,000 ชิ้น จากปริมาณความสนใจดังกล่าวจึงเกิดนิยามความหมายของภาวะผู้นำขึ้นมากมายแล้วแต่มุนมองนักวิชาการแต่ละท่าน เช่น
สต๊อกดิลล์ (Stogdill,1974) เห็นว่าภาวะผู้นำเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้อิทธิพล (influence) ได้กล่าวภาวะผู้นำไว้ว่า คือกระบวนการใช้อิทธิพลที่ผู้นำกระทำต่อกลุ่ม เพื่อให้งานของกลุ่มบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
เนตร์พัณณา ยาวิราช (2546,หน้า 1) ให้ความหมายว่า ภาวะผู้นำหมายถึง บุคคลที่มีความสามารถในการบังคับบัญชาบุคคลอื่น โดยได้รับการยอมรับและยกย่องจากบุคคลอื่นเป็นผู้ทำให้บุคคลอื่นไว้วางใจ และให้ความร่วมมือ ความเป็นผู้นำมีหน้าที่ในการอำนวยการหรือสั่งการ บังคับบัญชาประสานงานโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) เพื่อให้กิจกรรมงานบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการ
ดาฟท์ (Draft,2003,p.5) ให้ความหมายว่าภาวะผู้นำหมายถึง ความสัมพันธ์ที่มีอิทธิพลระหว่างผู้นำ (Leader) และผู้ตาม (Followers) ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกัน (Shared purposes)
เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ (2540) ให้ความหมายว่า ภาวะผู้นำคือ พฤติกรรมของบุคคลในการกำกับกิจกรรมาของกลุ่มไปสู่เป้าหมายร่วมกัน
จาการศึกษาผลงานภาวะผู้นำของบุคคลต่าง ๆ ในช่วงก่อน ค.ศ. 1985 ไบรแมน (Bryman,1996) ได้สรุปว่านิยามส่วนใหญ่สอดคล้องกับนิยามที่สต็อกติกล์ (Stogdil) สรุปไว้ซึ่งมาจากแนวคิดเรื่องคุณลักษณะ (traits) พฤติกรรม (behavior) การใช้อิทธิพล (influence) และรูปแบบการปฏิสัมพันธ์ (interaction patterns)
กระแสแนวคิดเกี่ยวกับนิยามภาวะผู้นำตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 ได้เปลี่ยนแปลงไปและเป็นที่มาของแนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำในปัจจุบัน รวมเรียกว่า แนวคิดภาวะผู้นำใหม่ (The New Leadership Approach) เช่น ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership) (Bass,1985;Tichy & Devanna, 1986) ภาวะผู้นำบารมี (charismatic leadership) (House,1971 ; Conger, 1989) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ (Visionary Leadership) (Westley & Mintzberg, 1989) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำ (Superleadership) (Manz & Sims,1991) ภาวะผู้นำตนเอง (Self – leadership) (Mang,1986) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ (Strategic leadership) (Finkelstein & Hambrick, 1996)
สรุปได้ว่า ภาวะผู้นำ หมายถึง กระบวนการและสถานการณ์ที่บุคคลหนึ่งได้เป็นที่ยอมรับให้เป็นผู้นำในกลุ่ม และมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของสมาชิกในกลุ่มบุคคลนั้น สมาชิกในกลุ่มเชื่อว่ามีความสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่กลุ่มเผชิญได้ โดยอาศัยอำนาจหน้าที่หรือการกระทำของผู้นำในการชักจูงหรือชี้นำบุคคลอื่นให้ปฏิบัติงานสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ความสำคัญของภาวะผู้นำ
ผู้บริหารขององค์การ ควรจะมีภาวะผู้นำ เพราะภาวะผู้นำของบริหารเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่มีส่วนในการกำหนดความอยู่รอดและความเจริญเติบโตขององค์การ โดยทั่วไปภาวะผู้นำมีความสำคัญต่อหน่วยงาน ดังนี้
ผู้นำกับผู้บริหาร (Leader and Administration)
การที่องค์การหรือหน่วยงานจะอยู่รอดหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับบุคคล 2 ประเภท คือ ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า ซึ่งเรียกว่าผู้นำ หรือผู้บริหาร โดยทำหน้าที่เป็นผู้บริหารองค์การหรือผู้นำองค์การ คนอีกประเภทหนึ่งได้แก่ ผู้ปฏิบัติ ส่วนผู้นำกับผู้บริหารอาจเป็นคนเดียวกันก็ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมที่แสดงออก ความแตกต่างของผู้นำกับผู้บริหารสามารถแยกได้คือ ผู้นำเป็นผู้มีพลังอำนาจสามารถโน้มน้าวจิตใจคนอื่นให้ทำตามโดยอาศัยคุณงามความดี เรียกว่า “พระคุณ” โดยไม่ต้องมีตำแหน่งเหมือนผู้บริหาร ส่วนผู้บริหารเป็นผู้มีตำแหน่ง และมีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็นผู้มี “พระเดช” ถ้าบุคคลใดมีทั้งพระคุณและพระเดชแล้ว ผู้นำกับผู้บริหารจึงเป็นคนเดียวกัน จะเห็นได้ว่า ผู้บริหารไม่ใช่ผู้นำ ผู้นำไม่ใช่ผู้บริหาร แต่ถ้าผู้บริหารประพฤติตนเป็นผู้นำ ผู้บริหารก็จะเป็นผู้นำ
ผู้บริหารที่ไม่ใช้ผู้นำ ผู้นำไม่ใช้ผู้บริหาร
ผู้บริหาร |
ผู้นำ |
ต้องมีตำแหน่งเหมือนผู้เรียกว่า "นำกับผู้บริหารสามารถแยกได้คือ ผู้นำเป็นผู้าวะที่อาจกระทบถึงความอยู่ประสงค์ที่วางไว้
ผู้บริหารเป็นผู้นำ
เบนนิส (Bennis, 1989, p. 7) กล่าวว่าการที่จะทำให้องค์การอยู่รอดได้จำเป็นจะต้องมีผู้นำรุ่นใหม่ และได้ชี้ให้เห็นว่าผู้นำกับผู้บริหารมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้
ผู้บริหาร |
ผู้นำ |
|
องค์ประกอบของภาวะผู้นำ (Leadership Components)
เกียมแมทเทียว (Giammatteo, 1981, pp. 1-2) ชี้ให้เห็นว่าพลังในตัวบุคคลที่ก่อให้เกิดภาวะผู้นำมีองค์ประกอบ คือ
เฮอร์เซย์ และแบลนชาร์ด (Hersey and Blanchard, 1993, p. 94) มีความเห็นสอดกันคือ องค์
ประกอบที่จะทำให้เกิดภาวะผู้นำขึ้นได้นั้นมี 3 ประการ คือ ตัวผู้นำเอง (Leader) ผู้ตาม (Foll0wers) และสถานการณ์ (situations) ดังสมการต่อไปนี้
L = f(lfs)
L แทน Leadership คือ ภาวะผู้นำ
F แทน function คือ องค์ประกอบ
l แทน leader คือ ตัวผู้นำเอง
f แทน followers คือ ผู้ตาม
s แทน situation คือ สถานการณ์/สิ่งแวดล้อม
จากสมการดังกล่าว ชี้ให้เห็นองค์ประกอบของพฤติกรรมจะมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบตัวผู้นำ คือ คุณลักษณะเฉพาะของผู้นำ เช่น ความรู้ความสามารถ ทักษะประสบการณ์ การฝึกอบรมพื้นฐาน การอบรมเลี้ยงดูแต่เยาว์วัย เป็นต้น ลักษณะเหล่านี้จะหลอมรวมเข้าเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวรวมทั้งเจตคติต่อตัวเอง ต่อคนอื่น และต่องานอาชีพส่วนตัว ผู้ตามหรือผู้ร่วมงาน
แหล่งที่มาของอำนาจผู้กับผู้บริหาร
แหล่งที่มาของอำนาจ (Power) และการเสริมพลังอำนาจ (Empowerment)
อำนาจ (Power) หมายถึง ความสามารถในการสร้างอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลอื่น ให้บุคคลอื่นทำในสิ่งที่ตนเองต้องการเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มหรือต่อองค์การ
อำนาจของผู้บริหาร เป็นอำนาจที่ได้มาจากตำแหน่งหน้าที่ที่ครองอยู่และถูกกำหนดโดยโครงสร้างขององค์การ เป็นอำนาจที่สร้างความมั่นคงให้กับผู้บริหาร ทำให้ผู้บริหารสามารถออกคำสั่งและตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ในขณะที่อำนาจของผู้นำมาจากคุณลักษณะส่วนตัวเป็นอำนาจที่นำไปสู่วิสัยทัศน์ (Vision) ความคิดสร้างสรรค์และการเปลี่ยนแปลงในองค์การ
เฟรนและราเวน (French & Raven,1959) สรุปแหล่งที่มาของอำนาจ ได้แก่
1. อำนาจจากการให้รางวัล (Reward Power) เป็นความสามารถในการสร้างอำนาจผ่านการให้รางวัลหรือคุณค่าบางอย่างที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอื่นได้
2. อำนาจจากการลงโทษ (Coercive Power) เป็นความสามารถในการสร้างอิทธิพลผ่านการลงโทษที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอื่นได้
3. อำนาจจากความขอบธรรม (Legitimate Power) เป็นความสามารถในการสร้างอำนาจผ่านอำนาจหน้าที่ (authority) หรือสิทธิในการควบคุมและสั่งการที่เกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่หรือสถานะที่เป็นทางการอย่างใดอย่างหนึ่งในองค์การเป็นอำนาจที่ได้มาจากอำนาจหน้าที่
4. อำนาจจากความเชี่ยวชาญ (Expert Power) เป็นความสามารถในการสร้างอิทธิพลผ่านความเชี่ยวชาญพิเศษ ความรู้ความเข้าใจ ทักษะตลอดจนการเป็นผู้รู้ข่าวสารข้อมูลในเรื่องนั้นเป็นอย่างดี
5. อำนาจจากการอ้างอิง (Referent Power) เป็นความสามารถในการสร้างอิทธิพลผ่านตัวตน และคุณลักษณะของผู้นำเองทำให้ผู้อื่นเคารพนับถือ ชื่นชมศรัทธา และจะต้องสร้างความสัมพันธ์ หรือยึดถือเป็นแบบอย่าง
จากแหล่งที่มาของอำนาจดังกล่าว สามารถจำแนกแหล่งที่มาได้ 2 แหล่ง
1. อำนาจที่มาจากตำแหน่งหน้าที่ (Position Power) ประกอบด้วยอำนาจการให้รางวัล(Reward Power) อำนาจจากการลงโทษ (Coercive Power) อำนาจจากความขอบธรรม (Legitimate Power)
2. อำนาจที่มาจากตัวบุคคล (Personal Power) อำนาจจากความเชี่ยวชาญ (Expert Power) อำนาจจากการอ้างอิง (Referent Power)
ดังนั้น ผู้บริหารที่จะประสบผลสำเร็จ จึงต้องมีความสามารถที่จะได้มาซึ่งอำนาจทั้งสองลักษณะและใช้อำนาจเหล่านั้นอย่างเหมาะสม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่พึ่งประสงค์ อย่างไรก็ตามอำนาจจากแต่ละแหล่งจะสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ผู้บริหารที่ใช้อำนาจบนพื้นฐานของการให้รางวัลและความชอบธรรมของตำแหน่งหน้าที่จะพบว่า การยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชาจะมีอยู่เพียงระยะสั้น ตราบใดที่ยังมีการให้รางวัล หรือยังคงมีตำแหน่งอยู่เช่นเดียวกับอำนาจบนพื้นฐานของการลงโทษ หากผู้บริหารหมดโอกาสที่ใช้อำนาจเพื่อการลงโทษแล้ว การยอมรับก็จะหมดไป หรือจะนำมาซึ่งการต่อต้านด้วยซ้ำไป แต่การใช้อำนาจนี้เกิดจากความเชี่ยวชาญและอำนาจจากการอ้างอิงจะสร้างอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้อื่นได้ยาวนาน สามารถสร้างความผูกพัน (commitment) ยั่งยืน เนื่องจากเป็นอำนาจที่สร้างความเชื่อถือและความศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการสร้าง “บารมี” เหนือความรู้สึกของคนอื่น ดังนั้น ผู้บริหารควรตระหนัก ได้แก่ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ การเป็นที่ยอมรับของคน ความทุ่มเททำงาน การทำงานเป็นแบบอย่างที่ดี
การเสริมสร้างอำนาจ (Empowerment)
การเสริมสร้างอำนาจหรือการใช้อำนาจ หมายถึง กระบวนการที่ผู้บริหารช่วยทำให้บุคคลอื่นมีอำนาจเพื่อที่จะสร้างอิทธิพลต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งในองค์การ ผู้บริหารที่ดีจะต้องรู้จักให้อำนาจแก่บุคคลอื่นๆ ในหลาย ๆ วิธี เช่น การใช้ข้อมูลข่าวสาร ให้ความรับผิดชอบ ให้อำนาจหน้าที่และความไว้วางใจ (trust) ในการตัดสินใจและดำเนินการได้เป็นอย่างมีอิสระในเรื่องที่เป็นความชำนาญของบุคคลนั้นๆ เป็นต้น
เชอร์เมอร์ฮอร์น (Schermerhorn, 2002, p.342) ได้สรุปวิธีการเสริมสร้างอำนาจแก่บุคลากร ดังนี้
ทฤษฎีภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำ เป็นหัวข้อที่ผู้สนใจศึกษามานานแล้วแต่สมัยกรีก (ก่อนคริสต์ศักราช) จนถึงปัจจุบัน จะพบได้ว่านักปราชญ์คนสำคัญในอดีต เช่น เพลโต ซีซาร์ ได้มีการพูดถึงผู้นำในอุดมคติกันมาแล้ว การศึกษาเกี่ยวกับภาวะผู้นำในองค์การตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แบ่งออกได้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ แต่ละกลุ่มต่างมีจุดเน้น หรือทฤษฎีที่โดดเด่น ดังนี้
คุณลักษณะต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้นำ เช่น สติปัญญา ความรับผิดชอบ เน้นผู้นำคือใคร มีคุณลักษณะอย่างไร
เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้นำที่แสดงออกมา เน้นผู้นำมีพฤติกรรมอย่างไร
เน้นศึกษาสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับภาวะผู้นำ กลุ่มนี้พยายามตอบคำถามว่า ผู้นำจะต้องเรียนรู้สถานการณ์อะไรบ้างเพื่อที่จะนำคนอื่นได้
ทฤษฎีทั้งสามมีการพัฒนาการต่อเนื่องมา โดยกลุ่มแรกเป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นก่อนซึ่ง
สามารถนับย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยกรีกจนถึงช่วงทศวรรษที่ 1940 กลุ่มที่สองเกิดขึ้นในช่วงประมาณปลายทศวรรษที่ 1940 ถึงช่วงทศวรรษที่ 1960 และกลุ่มสุดท้ายเกิดขึ้นในช่วงประมาณปลายทศวรรษที่ 1
ทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ ปลายทศวรรษ 1940-ทศวรรษ 1960 พยายามแสวงหาว่าผู้นำมีพฤติกรรมอย่างไร |
ทฤษฎีด้านสถานการณ์ ปลายทศวรรษ 1960 – ปัจจุบัน พยายามแสวงหาว่าผู้นำต้องเรียนรู้สถานการณ์อะไรบ้าง |
ทฤษฎีคุณลักษณะผู้นำ 450 BC-ทศวรรษ 1940 พยายามแสวงหาคุณลักษณะพิเศษของผู้ นำ |
นักวิชาการกลุ่มนี้พยายามศึกษาและค้นหาคุณลักษณะพิเศษของผู้นำ เช่น ความ
สูง น้ำหนัก สติปัญญาความรับผิดชอบ ฯลฯ เพราะมีความเชื่อว่าผู้นำมีลักษณะพิเศษบางอย่างที่แตกต่างจากผู้ตาม และคุณสมบัติดังกล่าวติดตัวมาตั้งแต่เกิด (Leader are born not made) กลุ่มนี้ยกตัวอย่างผู้นำสำคัญๆ ของโลก เช่น วินสตันเซอร์ซิล อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ หรือ ไอเชนฮาวร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เพราะเกิดมาพร้อมกับคุณลักษณะพิเศษบางอย่างที่จะนำคนอื่น สต็อกดิลล์ (Stogdill, 1984) ได้ทำการสำรวจงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้นำจำนวน 287 ชิ้น ที่ทำขึ้นระหว่างปี 1940-1970 เพื่อรวบรวมคุณลักษณะของผู้นำที่มักค้นพบในงานศึกษาวิจัยเหล่านั้น ผลการสำรวจเขาได้พบว่า ผู้นำมักจะมีคุณลักษณะ ของที่ดีกว่าหรือมากกว่าผู้ตามในด้านต่าง ๆ เหล่านี้
ข้อวิจารณ์ทฤษฎีคุณลักษณะผู้นำ
ต้องใช้คุณลักษณะอย่างหนึ่งในการนำ แต่พอเข้าไปอยู่ในอีกสถานการณ์หนึ่งผู้นำ อาจต้องใช้คุณลักษณะอีกอย่างหนึ่ง
2. ทฤษฎีนี้มุ่งศึกษาเฉพาะคุณลักษณะผู้นำเฉพาะตัวตามลำพัง โดยไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงผู้นำไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสมาชิกคนอื่นๆ ภายในหน่วยงาน
3. ทฤษฎีนี้ให้ความสนใจเฉพาะคุณลักษณะภายในตัวผู้นำ แต่ไม่ได้สนใจสิ่งที่ผู้นำได้กระทำหรือแสดงออกมาจริงๆ
การประยุกต์ใช้
นำไปประยุกต์ใช้ในงานด้านจัดการทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการคัดเลือกบุคลากร นอกจากจะดูความรู้ความสามารถและประสบการณ์แล้ว ผู้คัดเลือกยังพิจารณาลักษณะภาวะผู้นำของผู้สมัครด้วย เช่น ความมั่นใจในตนเอง การปรับตัว ความมั่นคงทางอารมณ์ เป็นต้น
2. ทฤษฏีพฤติกรรมผู้นำ
เนื่องจากทฤษฎีคุณลักษณะผู้นำมีปัญหาบางประการ ทำให้นักวิชาการในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 เริ่มเบนความสนใจมาศึกษาพฤติกรรมผู้นำ นั่นคือศึกษาผู้นำทำ หรือแสดงพฤติกรรมอะไรออกมาจริงๆ นักวิชาการในกลุ่มพฤติกรรมผู้นำในหน่วยงานต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเบื้องต้น 2 ประการ คือ
1) พยายามค้นหาว่ามีพฤติกรรมกี่แบบ (Style)
2) พฤติกรรมแบบไหนมีประสิทธิผลดีที่สุด คือ ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความ
พอใจและแสดงผลงานทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพมากที่สุด ในกลุ่มนี้ต่างมีจุดมุ่งหมายทั้งสองข้อดังกล่าวรวมอยู่ด้วย
เพื่อประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจเบื้องต้น จึงขอยกตัวอย่างทฤษฎีที่เกี่ยวข้องพอเข้าใจ ดังนี้
2.1 การศึกษาของโอไฮสเตท (Ohio State University Stueies) : ทฤษฎีภาวะผู้นำ 2 มิติ
ในราวปี ค.ศ. 1945 กลุ่มนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท ในมลรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ ฟลิสซ์แมน สตอกดิล และชาร์ทเทิล (Fleishman, Stogdill and Shartle) ได้เริ่มต้นทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้นำโดยใช้แบบสอบถาม คณะนักวิจัยได้สร้างแบบสอบถามขึ้นสองชุด ชุดที่หนึ่งใช้สอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้นำ อีกชุดหนึ่งใช้ตรวจสอบพฤติกรรมผู้นำตามความคิดเห็นของผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา ผลการศึกษาพอสรุปได้ว่า
1) พบแบบพฤติกรรมผู้นำพื้นฐาน 2 แบบ คือ แบบเน้นโครงสร้างการทำงาน (Initiating Structure) และแบบเน้นมิตรสัมพันธ์ (Consideration)
แบบเน้นโครงสร้างการทำงาน หรือพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงาน หมายถึง พฤติกรรมผู้นำที่กำหนดให้ผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน วิธีการทำงานแลเป้าหมายที่ผู้กำหนดไว้ ผู้นำจะกำหนดมาตรฐานการทำงานไว้สูง และเน้นความสำเร็จของงานมากกว่าความรู้สึกหรือความต้องการของผู้ปฏิบัติงาน
แบบเน้นมิตรสัมพันธ์ หรือพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งคน หมายถึง พฤติกรรมของผู้นำในด้านเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคัญบัญชา ผู้นำจะเน้นขวัญกำลังใจความรู้สึก และความต้องการของผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่าเน้นให้พวกเขาทำงานให้สำเร็จมากๆ
2) พฤติกรรมผู้นำทั้ง 2 แบบเป็นมิติ 2 มิติที่แยกออกจากอกันอิสระ (two-demensional view) ถ้าเอาพฤติกรรมทั้งสองไปวาดลงบนกราฟแล้ว พฤติกรรมหนึ่ง (แบบมุ่งงาน) จะอยู่บนแกน X พฤติกรรมอีกแบบหนึ่ง (แบบมุ่งคน) จะอยู่บนแกน Y คือแยกกันอยู่
สูง Y
มุ่งคน
ต่ำ X |
มุ่งงาน |
จากภาพ จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงาน และมุ่งคนจะแยกกันอยู่คนละแกนโดยแบบมุ่งงานจะอยู่บนแกน X แบบมุ่งคนจะอยู่บนแกน Y จากการที่คณะผู้วิจัยพบแบบพฤติกรรมผู้นำพื้นฐานสองแบบแยกจากกันเป็นอิสระอยู่บนแกนคนละแกน ผลก็คือสามารถเขียนพฤติกรรมผู้นำออกได้เป็น 4 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
มุ่งคน และ มุ่งงาน |
มุ่งงานสูง และ มุ่งคนสูง |
สูง |
ต่ำ |
มุ่งคน |
สูง |
ต่ำ |
มุ่งคน |
มุ่งงานต่ำ และ มุ่งคนต่ำ |
มุ่งงานสูง และ มุ่งคนต่ำ |
โดยสรุปก็คือ คณะผู้วิจัย ของโอไฮโอเสตท เห็นว่าพฤติกรรมผู้นำเป็นผลจากการผสมผสานระหว่างแบบพฤติกรรมพื้นฐานสองแบบที่เป็นอิสระจากกันจนเกิดเป็นพฤติกรรมผู้นำแบบต่างๆ ตามปริมาณมากน้อยของพฤติกรรมพื้นฐานแต่ละแบบ แต่ในเวลาต่อมาคณะผู้วิจัยได้สรุปว่าไม่มีพฤติกรรมผู้นำแบบใดมีประสิทธิผลดีที่สุดในทุกสถานการณ์
2.2 การศึกษาของมิชิแกน (The Michigan University Studies) : ทฤษฎีภาวะผู้นำมิติเดียว ในขณะที่กลุ่มวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท กำลังศึกษาอยู่นั้น ในเวลาไล่เลี่ยกันนั่นเอง กล่าวคือในปี 1947 คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในมลรัฐมิชิแกนภายใต้การนำของเรนซิส ลิเคร์ท ก็ได้เริ่มทำการศึกษาพฤติกรรมผู้นำเช่นเดียวกัน คณะผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลโดยสร้างแบบสอบถามให้ผู้บริหารตอบและทำการสัมภาษณ์รายละเอียดอีกที่หนึ่ง ผลการศึกษาพอสรุปได้ดังนี้
1) พบแบบพฤติกรรมผู้นำพื้นฐาน 2 แบบ เช่นเดียวกัน โดยพฤติกรรมผู้นำพื้นฐานสองแบบที่กลุ่มนี้พบมีลักษณะคล้าย ๆ กับพฤติกรรมผู้นำสองแบบของกลุ่มแรกเพียงแต่มีชื่อเรียกแตกต่างกัน กลุ่มคือพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงานนั้น กลุ่มมิชิแกนเรียกว่า “แบบมุ่งตัวงาน” (job-centered) ซึ่งหมายถึง พฤติกรรมของผู้นำที่เน้นการทำงานและความสำเร็จของงานเป็นหลัก ผู้นำจะไม่ค่อยคำนึงถึงความรู้สึกหรือสภาพจิตใจของผู้ปฏิบัติงานมากนัก ส่วนพฤติกรรมแบบมุ่งคนนั้น กลุ่มมิชิแกนเรียกว่า “แบบมุ่งตัวคน” (employee-centered) ซึงหมายถึงพฤติกรรมผู้นำที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้ปฎิบัติงาน ผู้นำจะคำนึงสภาพจิตใจทุกข์สุขและสวัสดิการของลูกน้อง เป็นต้น
2) พฤติกรรมผู้นำทั้ง 2 แบบเป็นมิติเดียวที่ไม่ได้แยกออกจากกันเป็นอิสระซึ่งหมายความว่าพฤติกรรมมุ่งงานและมุ่งคนละข้างของเส้นของตรงเดียวกัน สามารถเขียนแสดงพฤติกรรมผู้นำ 2 แบบที่เป็นมิติเดียวไม่ได้แยกกันอย่างอิสระ ได้ดังนี้
มุ่งคน มุ่งงาน
จุดนี้เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญข้อแรก ระหว่างกลุ่มมิชิแกนกับกลุ่มโอไฮโอสเตท กล่าวคือ พฤติกรรมมุ่งานและมุ่งคนของกลุ่มโอไฮโอสเตทมีความสัมพันธ์กัน แบบแยกจากกันเป็นอิสระอยู่คนละแกน แต่พฤติกรรมมุ่งงานและมุ่งคนของกลุ่มมิชิแกนมีความสัมพันธ์เหมือนฝาแฝดติดกัน คือ ไม่ได้แยกออกจากกันอยู่คนละแกน
ผลจากการที่พฤติกรรมมุ่งงานและมุ่งคนแต่อยู่ปลายคนละด้านของเส้นตรงหรืแกนๆ เดียวนี้ ทำให้แบบพฤติกรรมผู้นำของกลุ่มมิชิแกนมี 2 แบบใหญ่ๆ เท่านั้น คือ มุ่งงานสูงและมุ่งคนต่ำกับมุ่งคนสูงและมุ่งงานต่ำ
จุดแตกต่างข้อที่ 2 ระหว่างกลุ่มมิชิแกนกับกลุ่มโอโฮโอสเตท กล่าวคือ ในขณะที่กลุ่มโอไฮโอสเตท พบแบบผู้นำ 4 แบบใหญ่ๆ กลุ่มมิชิแกนพบแบบผู้นำ 2 แบ
สวัสดีค่ะเป็นเนื้อหาที่ดีมากและนำไปใช้ได้ค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์แวะเข้ามาทักทาย และได้อ่าน เป็นเนื้อหาดีน่าสนใจมากเลยค่ะ
สวัสดีค่ะเป็นเนื้อหาที่ดีค่ะและสามารถนำไปใช้
สวัสดีค่ะอาจารย์ที่รักและเคารพเข้ามาทักทายค่ะอ่านแล้วก็ดีค่ะเนื้อหามากมายชอบค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์เนื้อหาในเรื่องนี้นำไปใช้ในการเป็นผู้นำได้ค่ะ
ก็ดีนะคะ
อ่านแล้วมีความรู้เพิ่มขึ้น
สวัดีค่ะ เนื้อหาดีค่ะ สามารถนำไปศึกษาเพื่อเป็นผู้นำได้ค่ะ
เนื้อหาเหมาะแก่การศึกษาทางด้านการเป็นผู้นำดีค่ะ
ค่ะได้อ่านแล้วก็ดีมากๆ
สำหรับเนื้อหาที่อาจารย์นำมาเผยแพร่นี้ มีประโยชน์มากค่ะ กับคนอื่นๆ ที่จะศึกษาหาความรู้ภาวะผู้นำ
เนื้อหาน่าสนใจดีค่ะและมีประโยชน์อย่างมากในการศึกษาหาความรู้
อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีแต่ทำยาก เป็นข้อมูลที่ดีมากขอบคุณมากครับผม เด็กพิษโลก
สมกับเป็นผู้นำครอบครัวจริงๆน้อง
เนื้อหาน่าสนใจดีค่ะ มีประโยชน์กับผู้อ่านเป็นอย่างมาก
เนื้อหาดีค่ะ มีประโยนชน์อย่างมากแก่การศึกษาหาความรู้
มีประโยชน์แก่การศึกษาหาความรู้ดีค่ะ
อ่านเป็นเนื้อหาที่ดีค่ะ
เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจดีค่ะ
อ่านแล้วก็สามารถแยกแยะผู้นำกับผู้บริหารได้เป็นอย่างดีครับ
อ่านแล้วแยกแยะผู้นำได้อย่างดีๆๆๆๆๆค่ะ