ในภาวะปัจจุบัน ทุก ๆ คนต่างให้ความสำคัญกับ "ทรัพย์สินทางปัญญา" ต่างคิดค้นและค้นคว้าความรู้ใหม่ ๆ ขึ้นมามากมายและหลากหลาย ทั้งที่ทำการประดิษฐ์ การทดลอง และ การลงมือกระทำเพื่อให้ได้มา หลังจากนั้นจึงนำไปจดลิขสิทธิ์ เป็นภูมิความรู้ที่แต่ละคน แต่ละกลุ่ม และแต่ละหน่วยงานแสดงความเป็นเจ้าของ
"การบันทึก" เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านพบช่วยทำให้มีการสื่อสารระหว่างกันได้ดีขึ้น อาจจะในลักษณะของการเขียน การถ่ายภาพ การบันทึกเสียง และผ่านบุคคลอื่นเป็นผู้เล่าให้ฟัง และอื่น ๆ อีกหลายรูปแบบ หรืออาจจะมีการพัฒนาขึ้นจากเดิมโดยใช้เทคนิค "การประสม" เช่น การเขียนประสมภาพถ่าย การใช้ VDO ซึ่งมีทั้งภาพ ข้อความ และเสียงประกอบ เป็นมัลติมีเดีย
"การพัฒนาตนเอง" จึงขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคล การจูงใจ และเป้าหมาย ซึ่งคงเช่นเดียวกับ การทำงานส่งเสริมการเกษตร ถ้าได้มีการบันทึกเรื่องราวและประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมาหรือสั่งสมมาเป็นระยะเวลานานย่อมทำให้เสริมคุณค่ากับ "ตัวเจ้าของชิ้นงาน" ที่เป็นผู้จัดทำขึ้น ไม่ใช่ทุกอย่างจะสายไปเสียแล้ว แต่ทุกอย่างสามารถเริ่มต้นขึ้นใหม่ได้ ถ้าเราคิดได้ว่า "เรามีทรัพย์สินทางปัญญา" ที่ติดตัวมา ติดมากับวิชาชีพของเราเอง
วันนี้ จึงอยากจะเล่าเรื่อง "คุณบันทึก" ให้ฟัง ซึ่งคุณบันทึกได้เริ่มจากการคิดที่จะเก็บงานต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อนำมาใช้ในการเรียนรู้และการถ่ายทอดสู่งานชิ้นอื่น ๆ ที่จะทำต่อเนื่อง "คุณบันทึก" จึงฝึกฝนตนเองจากการเขียนตามมีตามเกิด ที่เรียกว่า เขียนไร้รูปแบบ เขียนเสร็จแล้วนำไปให้คนอื่นอ่าน (อย่าอายตนเอง เพราะเราดีใจที่เราเริ่มต้นจับปากกาเขียน) เขียนแล้วอ่านเองบ้าง โดยหมั่นฝึกเขียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผสมความคิดของตนเอง หลังจากนั้นจึงฝึกเขียนจากข้อเท็จจริงที่เป็นการบรรยายความล้วน ๆ เช่น จากการฟังประชุม จากการเข้าอบรม จากการเข้าสัมมนา จากการฟังคนอื่นพูด และจากการอ่านแล้วเขียนสรุปความ หลังจากนั้นจึงเริ่มฝึกขั้นที่ 2 คือ เขียนเป็นConcept (ห้ามเขียนบรรยายความรู้) เพราะมีคนอ่านแล้วบอกว่าขี้เกียจอ่านมันยาวไป จึงต้องปรับเปลี่ยนเป็นเขียนแบบ Diagram เขียนเป็น Flow Chart เขียนเป็นก้างปลา เขียนเป็นตาราง เขียนเป็น Problem Tree และอื่น ๆ ที่สำคัญสุดคือ มีคนอ่านงานที่เราเขียนและเล่าเชื่อมโยงให้เราฟังด้วย (เป็นความทึ่ง) ตั้งแต่นั้นมาจึงเริ่มฝึกฝนตนเองมาเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่ 3 เขียนเป็นบทเรียนด้วยตนเอง โดยทดลองฝึกแกะงานและถอดบทเรียนจากการนั่งดูและการสังเกต ที่ถอดคำพูด เช่น คำถาม-คำตอบ-ผลสรุป และเครื่องมือ ออกมาให้เห็นเป็นลำดับขั้นตอนที่เกิดจากการจัดกระบวนการจริง ๆ ตามเรื่องราวหรือเนื้อหาสาระที่พูดคุยกัน เช่น บทเรียนของจังหวัดน่าน บทเรียนของจังหวัดเชียงราย และบทเรียนของจังหวัดชุมพร เรื่อง การจัดกระบวนการกลุ่มเพื่อจัดทำแผนชุมชน เพื่อฝึกการเรียนรู้โดยใช้สื่อบทเรียนด้วยคนเอง และการจัดทำเป็นศูนย์การเรียนรู้แบบ "ถาม-ตอบ" หลังจากนั้นเป็นขั้นตอนสุดท้าย คือ เขียนเป็นสรุปบทเรียนเชิงวิจัย ที่มาจากการไปปฏิบัติงานจริง โดยกำหนดกรอบการเขียนให้กับตนเอง เช่น ที่มาที่ไปของการทำงานที่ไปปฏิบัติ กระบวนการที่ทำมีอะไรบ้าง ตกลงแล้วสรุปเนื้อหาที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง แล้วข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิบัติหรือพัฒนาครั้งต่อไปมีอะไรบ้าง ตกลงแล้วการไปทำงานชิ้นนั้น ๆ ตัวเราเองเรียนรู้หรือพัฒนาอะไรขึ้นบ้าง (จากที่ลงมือทำ การสังเกตการณ์ การร่วมสัมมนาฯ ฯลฯ) และ งานที่จะดำเนินการต่อไปนั้นมีอะไรบ้าง
ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ "คุณบันทึก" ได้หมั่นฝึกฝนตนเองเพื่อหวังเพียงให้ตนเองเรียนรู้และมีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและได้ทดลองทำด้วยสองมือของตน เพราะเมื่อ "คุณบันทึก" ออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่ หรือกับบุคคลอื่นจะได้มี "ข้อมูล" ไปร่วมเสวนาและแลกเปลี่ยนได้อย่างผู้มีประสบการณ์จริง ซึ่งคุณบันทึกมีหลักคิดของตนเองว่า.....
"สิบปากว่า...ไม่เท่าตาเห็น"
"สิบตาเห็น...ไม่เท่ามือคลำ"
"สิบมือคลำ...ไม่เท่าทำเอง"
ดังนั้น เวลาคุณบันทึก ไปไหนมาไหน หรือไปทำอะไรกับใคร ก็จะเริ่มจากการฟังคนอื่นเขาพูดก่อน และฟังอย่างตั้งใจด้วย เพราะเมื่อฟังอย่างตั้งใจจริงจะทำให้เกิดสมาธิและสรุปเนื้อหาได้ ซึ่งเป็นเนื้อหาตอนต่อไปที่จะนำเรื่องราวของคุณบันทึกมาเล่าให้ฟังค่ะ.
ศิริวรรณ หวังดี
29 พฤษภาคม 2549
"สิบมือคลำ...ไม่เท่าทำเอง"
ไม่มีความเห็น