การทำนาข้าว
ในประเทศไทย มีพื้นที่เพื่อการทำนามากกว่าการทำเกษตรชนิด อื่นๆ โดยเฉพาะในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกบางส่วน ภาคเหนือตอนล่าง ภาคใต้บางพื้นที่ แม้แต่บนเขาในภาคเหนือก็มีการปลูกข้าว จึงทำให้ เห็นว่าผลผลิตข้าวในประเทศไทยจะมีปริมาณสูง เป็นเรื่องที่น่าจะยินดี แต่การผลิตข้าวในประเทศไทยใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารพิษสารเคมีในการกำจัดและปราบศัตรูพืช รวมถึงการแก้ปัญหาโรคข้าวและการปราบหญ้ากันมาก ทำให้ข้าวไทยไม่เหมาะแก่การบริโภคมากนัก จึงทำให้เกรงว่าในปีต่อๆ ไป ข้าวไทยจะมีปัญหาเรื่องการตลาดอย่างหนัก เพราะตลาดโลกเข้มงวดกับผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นเกษตรเคมี ประกอบกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น ลาว เวียดนาม กำลังส่งเสริมการผลิตข้าวที่ไม่ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และงดการใช้สารพิษสารเคมีทั้งปวง โดยใช้เทคนิคเกษตรธรรมชาติ ซึ่งมีจุลินทรีย์ EM เป็นหลัก
การทำนาโดยใช้จุลินทรีย์ชีวภาพ มีดังนี้
1. การเตรียมแปลงเพาะกล้าและการเพาะกล้า
มีข้อควรคำนึงในการเพาะกล้าบ้างเล็กน้อย คือ
- อย่าเพาะให้กล้าแคระแกร็นหรืออวบเกินไป
- ก่อนเพาะกล้าเลือกเมล็ดลีบหรือครึ่งลีบออกให้หมด
- อย่าใส่ปุ๋ยแห้งก่อนไถ หรือก่อนคราด จะทำให้กล้ารากลึก ทำให้ถอนยาก
- ควรใส่ปุ๋ยแห้งหลังจากเตรียมพื้นที่เรียบร้อยแล้วโรยโบกาฉิ ให้ทั่วแล้วใช้ไม้ยาวๆ เกลี่ยปุ๋ยให้ทั่วพื้นดินก่อนทอดกล้า
- การเพาะกล้าจะใช้วิธีใดก็ได้ แต่ขอเสนอวิธีที่เป็นแนวทางได้ดังนี้
- แยกเมล็ดลีบ โดยการนำไข่สด 2 ฟอง ใส่ในน้ำที่ใช้ คัดเมล็ดลีบ เติมเกลือจนกระทั่งไข่ทั้ง 2 ฟองลอย แช่พันธุ์ข้าวลงไปจะมีเมล็ดจมและลอย
- แยกเมล็ดลีบที่ลอยให้หมด นำเมล็ดพันธุ์ข้าวไปล้างน้ำให้หายเค็ม
- นำเมล็ดข้าวไปแช่น้ำ EM (EM + น้ำ 500 เท่า) ไว้ 6 ชม. จึงนำมาอบ หรือผึ่งในภาชนะที่ระเหยน้ำได้
- รดน้ำผสม EM ทุกวันจนกระทั่งเมล็ดข้าวมีจุดขาวที่จมูกข้าว แสดงว่ารากเริ่มงอก
- นำไปผึ่งลมให้แห้ง แล้วนำไปหว่านในแปลงเพาะกล้าได้ อย่าปล่อยให้รากยาว
- เพิ่มน้ำในแปลงเพาะกล้าตามความจำเป็น อย่าให้ลึก เกินไป ต้นกล้าจะผอม2. การเตรียมแปลงนาดำ
ควร ใส่ปุ๋ยแห้งประมาณ 250-300 กก. / ไร่ ก่อนไถหรือก่อนคราด ฉีดพ่น EM ขยายให้ทั่วด้วย หลังจากคราดแล้วหมักไว้ 15 วัน หากมีหญ้างอกให้ฉีดพ่น EM ขยาย และไถคราดอีกครั้งเพื่อปราบหญ้า
- ลงมือปักดำได้
- ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรใส่ปุ๋ยแห้งอีก
หากจำเป็นให้ใส่หลังปักดำไม่ต่ำกว่า 1 เดือน
เพราะช่วงนี้ต้นข้าวอยู่ระหว่างการเจริญเติบโต
หากใส่ปุ๋ยแห้งรากจะลอยทำให้ต้นข้าวล้ม
หากใส่ปุ๋ยแห้งก่อนไถหรือก่อนคราด รากข้าวจะหากินลึก
ไม่ทำให้ต้นข้าวล้ม และการเพิ่มปุ๋ยแห้งบ่อยทำให้ข้าวงาม
มีใบเยอะเช่นกัน และ มีจำนวนเมล็ดน้อยลงด้วย
การใส่ปุ๋ยแห้ง ควรพิจารณาดังนี้
- ใส่หลังเก็บเกี่ยว ฉีดพ่น EM ขยายแล้วไถกลบ หรือ
- ใส่ก่อนการไถดำอีกครั้งถ้าจำเป็น หรือไม่ใส่ก็ได้
แต่ต้องไถปราบหญ้าที่เกิดขึ้นให้กลายเป็นปุ๋ยด้วยการฉีดพ่นด้วย EM
ขยายอย่างเดียวก็ได้
3. การเตรียมแปลงนาหว่าน
เหมือน การทำนาดำ คือ ควรใส่ปุ๋ยแห้งหลังการเก็บเกี่ยวแล้วไถกลบ ฟางไว้ หากจะทำนาปรังต่อ หลังไถกลบแล้วคราดด้วย หมักไว้ 15 วัน เพื่อดูการงอกของวัชพืช หากมีฉีดพ่น EM ขยาย ไถ คราด อีกครั้ง จึงลงมือเพาะปลูก4. การดูแลรักษาต้นข้าว
- ฉีด EM ขยาย เดือนละ 1 ครั้ง
- หากมีศัตรูพืข ฉีดพ่นสุโตจูสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
- เมื่อข้าวออกรวงแล้ว จะฉีดพ่น EM ต้องใช้ EM ไม่ผสมกากน้ำตาล หากใช้ EM ขยายจะทำให้เมล็ดข้าวไม่สวย
- ฉีดพ่นสารสกัดจากยอดพืชด้วยเสมอๆ ก็จะให้ผลผลิตและต้นข้าวแข็งแรงดี
5. การเก็บเกี่ยว
เนื่องจากข้าวธรรมชาติจะไม่แห้งหากพื้นนายังชื้นอยู่ จึงควรดูอายุของข้าวว่าควรเก็บเกี่ยวเมื่อใด ก็ดำเนินการตามนั้น6. การปรับปรุงดินต่อเนื่อง
หมาย ถึงว่า หากจะให้พื้นที่นาดีขึ้นๆ หลังเก็บเกี่ยวควรใส่ปุ๋ยแห้ง พ่น EM แล้วไถกลบเลยทีเดียว จนกว่าฝนจะตกมา จึงไถดำหรือหว่าน จะได้ฟางไว้เป็นปุ๋ย และดินได้มีโอกาสปรับปรุงให้ดีขึ้น พยายามให้นามีอินทรีย์วัตถุมากๆ เช่น ให้มีฟาง (ไม่ควรเผา) ให้มีหญ้าเพื่อใช้เป็นปุ๋ยธรรมชาติต่อไป งดใช้ยาฆ่าหญ้าโดยเด็ดขาด หากอินทรีย์วัตถุน้อย ควรหามาเพิ่มจะเป็นมูลสัตว์ด้วยก็จะดีมาก ครั้งแรกใส่ปุ๋ยแห้งมากๆ ปีต่อไปก็ลดลงได้7. ผลดีของการใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์ชีวภาพ
- ปกติข้าวธรรมชาติปลูกด้วย EM จะไม่ล้มอยู่แล้ว
- การฉีดพ่น EM ควรฉีดพ่นให้ทั่ว หากให้ EM ด้วยการหยดไหลไปกับน้ำข้าวที่อยู่ห่างไกลจะมีความสมบูรณ์น้อย
- นาธรรมชาติ ข้าวที่ปลูกในร่มรำไรจะไม่มีเมล็ดลีบเหมือนปลูกด้วยปุ๋ยวิทยาศาสตร์
- ข้าวมีรสชาติอร่อย กลิ่นหอม หุงต้มแล้วบูดช้ากว่าปกติ