เศรษฐกิจพอเพียง ประเภทของเศรษฐกิจพอเพียงได้แบ่งออกไว้ตามลักษณะการจับต้องได้ และตามระดับพฤติกรรมแสดงออกของบุคคล ดังนี้ (สรฤทธ จันสุข. 2552 : 49-52)
1 เศรษฐกิจพอเพียงตามลักษณะการจับต้องได้ แยกออกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
1.1 ลักษณะเศรษฐกิจพอเพียงอย่างวัตถุวิสัย คือ ต้องมีกินมีใช้ มีตัวชี้วัดสี่เพียงพอ พอสมควรกับอัตภาพ ตรงกันกับการพึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ
1.2 เศรษฐกิจพอเพียงอย่างจิตวิสัย คือมีความรู้สึกเพียงพอ พอในความรู้สึก บางคนมีเป็นล้านก็ไม่พอบางคนมีนิดเดียวก็พอเป็นการพอเพียงทางจิตใช้ทรัพยากรเพื่อดำรงอยู่เท่านั้น
2 เศรษฐกิจพอเพียงตามระดับพฤติกรรมแสดงออกของบุคคล เป็นการจำแนกเศรษฐกิจพอเพียงตามระดับของผลที่แสดงออกจากพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งแยกออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
2.1 เศรษฐกิจพอเพียงระดับจิตสำนึก เกิดขึ้นจากการที่สมาชิกชุมชนแต่ละคนตระหนักถึงความสุขและความพอใจในการใช้ชีวิตอย่างพอดี รู้สึกถึงความพอเพียงในการดำเนินชีวิตอย่างสมถะประกอบสัมมาอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้อย่างถูกต้องไม่อดอยาก ไม่โลภที่ต้องตักตวง ไม่เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินความจำเป็น คิดเผื่อแผ่แบ่งปันยังสมาชิกคนอื่นๆ ในชุมชนด้วย อย่างไรก็ตามระดับความพอเพียงของสมาชิกแต่ละคนไม่เท่าเทียมกัน แต่สมาชิกทุกคนที่ดำเนินชีวิตตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียงเห็นสอดคล้องกันในการยึดมั่นในหลักการสำคัญ คือ หลักการใช้ชีวิตบนพื้นฐานของการรู้จักตนเอง รู้จักพัฒนาตนเองด้านการทำจิตใจให้ผ่องใสด้วยความเจริญใจและมีความเย็นใจอยู่เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง หลักการคิดพึ่งพาตนเองและพึ่งพากันและกันในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เมื่อมีปัญหาจากการดำเนินชีวิตก็สามารถใช้สติปัญญาไตร่ตรองหาสาเหตุของปัญหาและแก้ไขไปตามเหตุและตัวชี้วัดด้วยความสามารถและศักยภาพที่ชุมชนมีอยู่ ด้วยการปรึกษาหารือถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยเหลือซึ่งกันและกันในชุมชนก่อนคิดพึ่งพาอาศัยผู้อื่น และหลักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง รู้จักลดกิเลสความต้องการของตนเองลงเพื่อให้เหลือแรงกำลังและเวลาที่เพียงพอในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประโยชน์แก่ส่วนรวมให้มากขึ้น
2.2 เศรษฐกิจพอเพียงระดับปฏิบัติ เป็นการนำหลักการแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับสมาชิกในชุมชนโดยยึดหลักของการพึ่งตนเองให้ได้ในระดับครอบครัวก่อน มีการบริหารจัดการครอบครัวอย่างพอดี ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย โดยสมาชิกแต่ละคนต้องรู้จักตนเองโดยรู้ข้อมูลรายรับและรายจ่ายในครอบครัว รู้จักการรักษาระดับการใช้จ่ายของตนไม่ให้เป็นหนี้หรือเป็นหนี้ให้เกิดผลในการสร้างภูมิคุ้มกันโดยไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน รู้จักนำเอาศักยภาพที่มีอยู่ในตนเองออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด โดยเฉพาะความสามารถพึ่งตนเองในเรื่องปัจจัยสี่ เมื่อพึ่งตนเองด้านปัจจัยสี่ได้แล้วสมาชิกทุกคนควรพัฒนาตนเองให้สามารถอยู่ได้อย่างพอเพียง คือ ดำเนินชีวิตโดยยึดหลักทางสายกลาง ตามหลักมัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธศาสนาให้ตนเองอยู่ได้อย่างสมดุลมีความสุขที่แท้ โดยไม่รู้สึกขาดแคลนไม่คิดเบียดเบียนตนเองเบียดเบียนสิ่งแวดล้อม ดำเนินชีวิตให้มุ่งทำการเกษตรแบบพออยู่พอกิน ปลูกพืชไว้กินเองก่อนหากเหลือจึงขายและขยายพันธุ์ สนับสนุนให้มีกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกแทนการใช้เทคโนโลยี อยู่รวมกันอย่างเอื้ออาทร มีความคิดที่แจกจ่ายแบ่งปันไปให้ผู้อื่นซึ่งทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่ดี ลดความเห็นแก่ตัวและสร้างความพอเพียงให้เกิดขึ้นในจิตใจ สามารถทำให้สมาชิกมีทรัพยากรใช้หมุนเวียนได้ตลอดทั้งปีอย่างพอเพียง เก็บไว้เพื่อยังชีพ มีจิตใจคำนึงถึงการแบ่งปันกันให้เกิดการรวมกลุ่มทางสังคมสร้างเป็นเครือข่ายเชื่อมโยง ให้สมาชิกรู้จักพัฒนาตนเองโดยการเรียนรู้จากธรรมชาติและประสบการณ์ของตนหรือจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันให้เกิดเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่ทุกคนช่วยกันพัฒนาชีวิตของตนเองและชุมชนร่วมกัน มีการสืบทอดและเรียนรู้เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นสังคมที่ใช้คุณธรรมเป็นตัวนำในระดับปฏิบัติ มีกิจกรรมชุมชนที่สอดคล้องกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมที่ทำให้พื้นที่ชุมชนของตนเองมีความสอดคล้องกับแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถแยกกิจกรรมนำไปสู่ระดับปฏิบัติได้เป็น 3 กิจกรรม ได้แก่
2.2.1 กิจกรรมการผลิตภาคเกษตร ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมแต่ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนอย่างคุ้มค่าด้วยการหมุนเวียนทุนทรัพยากรธรรมชาติภายในพื้นที่ วิธีการทำเกษตรที่เน้นปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนก่อน ด้วยการกิจกรรมการทำปุ๋ยชีวภาพ การปลูกผักและข้าวที่ปลอดสารพิษ การทำสวนสมุนไพรของชุมชน การคิดค้นสารไล่แมลงสมุนไพร การทำถ่านชีวภาพ การแปรรูปผลผลิต และการทำการเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล
2.2.2 กิจกรรมการรวมกลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมร่วมกันของสมาชิกชุมชนด้วยทุนทางสังคมที่มีอยู่ ชุมชนได้รวมกลุ่มกันทำกิจกรรมต่อต้านยาเสพติด กิจกรรมนิมนต์พระให้มาช่วยสอนจริยธรรมและศีลธรรมในโรงเรียน การเรียนรู้ร่วมกันในชุมชนผ่านศูนย์การเรียนรู้หรือโรงเรียนเกษตรกรในพื้นที่ กิจกรรมวัฒนธรรมประเพณีชุมชน การจัดตั้งร้านค้าที่เป็นของชุมชน การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ การจัดทำแผนแม่บทชุมชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และกิจกรรมการผลิตของกลุ่มต่างๆ เพื่อค้าขายหรือผลิตแลกเปลี่ยนระหว่างกัน และขยายผลการพัฒนาไปยังเครือข่ายอื่นด้วย
2.2.3 กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจิตสำนึกท้องถิ่น ส่งเสริมวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเศรษฐกิจพอเพียง ริเริ่มกิจกรรมที่มุ่งปลูกฝังจริยธรรมความดีงามและจิตสำนึกรักท้องถิ่นให้เกิดขึ้นแก่สมาชิกของชุมชน ให้ชุมชนมีความเอื้ออาทรต่อกันมากกว่าคำนึงถึงตัวเงินหรือวัตถุเป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ ส่งเสริมให้สมาชิกทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างโปร่งใสและสุจริต กิจกรรมพัฒนาครูให้มีคุณภาพและมีจิตผูกพันกับท้องถิ่น รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมให้สมาชิกในชุมชนพึ่งตนเองก่อนขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
2.3 เศรษฐกิจพอเพียงระดับปฏิเวธ เป็นผลการปฏิบัติตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากประสบการณ์ที่แลกเปลี่ยนกันนั้นครอบคลุมถึงการวัดผลหลังการปฏิบัติ คือ สมาชิกชุมชนได้พัฒนาชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นโดยเริ่มจากการพัฒนาจิตใจให้เกิดความพอเพียงในทุกระดับของการดำเนินชีวิต ทั้งระดับครอบครัว ระดับชุมชน และระดับสังคม ได้แก่ ปฏิเวธระดับครอบครัว เป็นการที่สมาชิกในครอบครัวมีความเป็นอยู่ในลักษณะที่พึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุข ทั้งทางกายและทางใจ สามารถดำเนินชีวิตได้โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นรวมทั้งไม่เป็นหนี้หรือภาระผูกพันอนาคตของตนและครอบครัว แต่สามารถหาตัวชี้วัดสี่มาเลี้ยงตนเองได้โดยมีส่วนเหลือสำหรับออมในครอบครัวด้วย ปฏิเวธระดับชุมชน เกิดขึ้นจากการที่สมาชิกมีความพอเพียงในระดับครอบครัวก่อนและรู้จักรวมกลุ่มกันทำประโยชน์ส่วนรวมในการบริหารจัดการตัวชี้วัดทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมชุมชน จัดการกับภูมิปัญญาหรือศักยภาพของสมาชิกในท้องถิ่นให้สามารถนำไปใช้ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและสมดุลกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่พอเพียงของชุมชน และปฏิเวธระดับสังคม เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของชุมชนหลายแห่งที่มีผลปฏิบัติระดับชุมชนมารวมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ สืบทอดภูมิปัญญาและร่วมพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ให้เกิดเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างชุมชนและสังคมแห่งความพอเพียง
อ้างอิง: สรฤทธ จันสุข. การศึกษาตัวชี้วัดการพัฒนาชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง. วิทยานิพนธ์ ปร.ด. สขาวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม : มหาสารคาม, 2552.
ไม่มีความเห็น