อย่าริเป็น NGO ใน GO อันตราย!


คำเตือนด้วยความโอบอ้อมอารีย์ จากข้าราชการอาวุโสที่ปัจจุบันกษียณอายุราชการไปแล้วท่านหนึ่ง

     ถ้อยคำนี้เป็นเป็นคำเตือนด้วยความโอบอ้อมอารีย์ จากข้าราชการอาวุโสที่ปัจจุบันกษียณอายุราชการไปแล้วท่านหนึ่ง ท่านเตือนสติผมไว้เมื่อคราวหลังเลิกประชุมของหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ซึ่งผมไปเข้าประชุมแทนหัวหน้า ในครั้งนั้นผมพูดเชิงเห็นด้วยกับแนวคิดท่านนายอำเภอหนุ่ม ที่บอกให้เราพยายามทำความเข้าใจกับกลุ่มนักพัฒนาที่ไม่ใช่ข้าราชการ หรือที่เราเองชอบเรียกเขาว่า “NGOs” ผมกล่าวสนับสนุนในทำนองว่ายุคนี้ ใครก็แล้วแต่ที่เข้ามาในชุมชนเพื่อพัฒนา เราต้องให้ความร่วมมือ และร่วมกันตั้งแต่ต้น โดยให้เกียรติกัน ภายใต้เป้าหมายปลายทางเดียวกัน แม้จะมีวิธีการเดินเรื่องที่แตกต่างกัน ก็อย่างมองเห็นกันเชิงเป็นปฏิปักษ์ ให้เห็นช่องทางที่สอดคล้องไปด้วยกันได้ แล้วเลือกเดินไปในทางนั้นด้วยกัน

     วันนั้นสำหรับผมแล้วผมรู้สึกไม่ดีนักที่โดนทักท้วง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพูดอย่างนั้น ก็เห็นท่านรักและเอ็นดูผมดีนี่ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะมองว่าเจตนาที่ท่านหวังดีเป็นแน่ย่อมมาก่อน อย่างอื่นเก็บมาไตร่ตรองเอาเองว่าทำไมท่านถึงได้ทักท้วง เพื่อให้สติผมเช่นนั้น ในตอนนั้นก็ได้บทสรุปว่าท่านคงกลัวเราไปขัดแย้งกับเพื่อน ๆ “NGOs” ด้วยเพราะธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกัน ความเป็นอิสระที่ยากจะเหมือนกันได้

     มาวันนี้ผมได้เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงได้ทักท้วงผมเช่นนั้น แท้ที่จริงแล้ว ท่านคงไม่ได้กลัวว่าเราจะไปขัดแย้งกับเพื่อน ๆ “NGOs” อะไรไหรอก แต่คงกลัวว่าเราจะแปลกแยกไปจากคนส่วนใหญ่ขององค์กร เมื่อเราอยู่ในองค์กรที่ใหญ่ขึ้น แต่ที่มาเขียนบันทึกนี่เพราะนึกคำของท่านขึ้นในใจตอนที่เข้าประชุมกลุ่มงานในวันนี้เพื่อเคลียร์บทบาทหน้าที่กันใหม่เท่านั้น แล้วก็พบข้อเท็จจริงว่าเป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นในกลุ่ม GO ที่มองอย่างไม่ไว้ใจ NGO ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากเมื่อให้เหตุและผลเชิงปัญญามาว่ากัน ก็จบลงได้อย่างลงตัว แม้จะเหนื่อยคิดว่าเกือบจะไม่ได้เดินเรื่อง “ไตรภาคีฯ” แบบ GO เสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่เตรียมไว้ว่า ไม่ได้เดินแบบ GO ก็ยังจะเดินแบบ NGO ต่อไปครับ

     ผมชอบกลอนบทนี้ที่ คุณสิงห์ป่าสัก ไปทิ้งความเห็นแบบให้กำลังใจกับผมไว้ที่บันทึก “เมื่อต้องเผชิญลมพายุแห่งชีวิต (อีกครั้ง)” ขอนำมาฝากไว้ให้เป็นกำลังใจกับคนทำงานคนอื่น ๆ นะครับ

"ก้าวไปเถิด  เพื่อนยา  ผู้กล้าแกร่ง
จงก้าวไป  ด้วยแรง  แข็งขยัน
ทางข้างหน้า  แม้พงป่า  หรือผาชัน
จงฝ่าฟัน  จนกว่า  จะได้ชัย.."

 

หมายเลขบันทึก: 31066เขียนเมื่อ 26 พฤษภาคม 2006 19:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

ข้าราชการเมื่อทำอะไรเกินหน้าที่...

มักจะโดนเขม่น...จากข้าราชการด้วยกัน

ดังนั้น...ข้าราชการส่วนใหญ่

จึงมักทำงานแบบเช้าหนึ่งชามเย็นหนึ่งชาม

เพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่...ที่จะต้องทำ

ดังนั้น...ข้าราชการไทยจึงมักไม่ค่อยมี

การสร้างสรรค์ในงาน...เท่าที่ควร

เพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่...

 

นอกจากดดนเขม่น ยังโดนหาว่าก้าวร้าวเพียงเพราะพูดเรื่องจริงมากไปด้วย

Dr.Ka-poom

     ผมว่าเพราะเราเข้าใจคำว่าหน้าที่ของข้าราชการผิดไปไหมครับ จึงทำให้เป็นเช่นนั้น

        GO  หางด้วนมีมากมายหลากหลายนัก

ความประพฤติมักเจ้าเล่ห์และฉ้อฉล

ละทิ้งเกียรติศักดิ์สวามิภักดิ์ทุรชน

ยอมกายขายวิญญานตนหลงมนต์แห่งอบาย

         NGO   ความหมายจริงๆไม่แน่ชัด

อยู่ที่ปฏิบัติสำเร็จผลสู่เป้าหมาย

ทำอะไร เพื่ออะไร พร้อมใจกาย

เกิดความหมายประโยชน์ยิ่งสิ่งจำเริญ   ฯฯฯฯฯฯฯ

คุณวันเพ็ญ... ก้าวร้าวเพราะเพียงไม่พูดและทำเอาใจ ก็ขอเป็นคนก้าวร้าว, การทำราชการให้เสียหายแม้ถูกใจเจ้านายก็เป็นสิ่งไม่ควร เพราะนายที่แท้จริงคือประชาชน

คุณวันเพ็ญ

     ก้าวร้าวเพราะเพียงไม่พูดและทำเอาใจ ก็ขอเป็นคนก้าวร้าว
     การทำราชการให้เสียหายแม้ถูกใจเจ้านายก็เป็นสิ่งไม่ควร เพราะนายที่แท้จริงคือประชาชน

คุณ "ฟ้า"

     ชัดเจนมากยิ่งขึ้นแต่เป็นไปตามมุมมองของแต่ละคนนะครับ GO และ NGO ความเหมือนคือ ทำเพื่อคนอื่น หากเป็นไปโดยเจตนาแท้ ๆ

ชาวบ้านชอบ NGOs เพราะอิสระไม่บิดกั้น ส่วน GOs ชอบบังคับขีดไปให้เสร็จว่าต้องทำอะไร ทำอย่างไร
ชาวบ้านชอบ NGOs เพราะอิสระไม่บิดกั้น ส่วน GOs ชอบบังคับขีดไปให้เสร็จว่าต้องทำอะไร ทำอย่างไร

คนเกษียณแล้ว อืม แสดงว่า ผ่านประสบการณ์มาอย่างน้อย สามสมัยคือ

สมัยที่การเป็นข้าราชการยากส์ กว่าจะสอบได้ เป็นยุคที่ใช้การเขียนแทนการพิมพ์ และเริ่มยุคพิมพ์โรเนียว จะหาหนังสืออ่านสักเล่มยาก กระดาษสักแผ่นก็ใช้แบบถนอม สา'สุขคือ แก้ท้องร่วง ท้องเสีย ฉีดวัคซีนเด็กตามโรงเรียนให้เด็กหนีกันกระจองอแง เข็มฉีดยาต้องต้มแล้ว ฝนอีก

สมัยที่สอง ยุคคอมพิวเตอร์เริ่มมี ใครพิมพ์ได้เท่ห์ระเบิด คนเป็นครูยังหิ้วพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วพิมพ์ข้อสอบเอง โรงพยาบาลเริ่มใช้เครื่องพวก Disposible ยุคที่คำว่า NGO เริ่มมี และออกจะแปลกแยก เป็นพวกชอบตั้งคำถามแปลกๆ แต่มีเงินใช้

สมัยก่อนเกษียณ โอ้โห IT เฟื่อง พิมพ์ปริ้นทิ้งขว้างให้เสียดาย โปสเตอร์ของ สา'สุขสวยสะเด็ด อาร์ตอาบมัน แต่ไข้เลือดออกไม่หาย ท้องร่วงมีอยู่ คนก็ยังกินผิดๆถูกๆตามบุญตามกรรม  มีอะไรบูมมาทีอัดงบอะไรก็ได้ดังใจ เหมือน NGO จนคนใน GO ก็อยากเป็น NGO ให้รู้แล้วรู้แรด คืออยากให้ทุกเรื่องที่ทำมันบูมมั่ง ของบฉลุย

สรุป NGO เลยอาจเป็นแค่ภาพหนึ่ง ที่มองอย่างไง คนใน GO ที่ทำอะไรขอรองบก่อน ยังหาทุนเองไม่เป็น เขียนผลงานให้เร้าใจไม่ถนัด ...ก็เป็น NGO บ่ได้เด้อนาย

 

DN เอ

     เห็นด้วยนะครับกับน้อง DN เอ

คุณไร้นาม

     คห.ที่บันทึกนี้ดูซีเรียสจังเลย แต่ก็สะท้อนอะไร ๆ ออกมาตรง ๆ อย่างกับเป็นคนในสา'สุข (หรือว่าเป็น ทายว่าเป็นอาจารย์ทางด้านสุขภาพ...นิ) ขอบคุณนะครับที่เติมเต็มให้เสมอ

เปล่าอ่ะ ไม่ได้เป็นคนสา'สุข แต่เคยวิ่งจู๊ดๆ ไปซ่อนในป่าช้าเวลาหมออนามัยชุดสีฟ้ามาฉีดยาที่โรงเรียน

ไร้นามชอบวิเคราะห์ประวัติศาสตร์อะคับและแต่จะพูดหรือไม่ขึ้นอยู่กับบันทึกเร้าอารมณ์หรือเปล่า

ไร้นามเป็นคนตรงอยู่แล้น เวลาพูดจะต้องหันหน้าไปทางซ้ายบิดคอเล็กน้อย ให้ปากกับใจตรงกันไง ...ก๊าก

  • สู้ตายครับ NGOs ดีๆมีมากนะครับ
  • ขอให้มีความสุขกับการทำงานครับ

ตัวเองเป็นข้าราชการที่เคยทำงานสนิทสนมกับ NGOs ปัจจุบันเพื่อนที่สนิทและยังคบหากันอยู่ทั้งอดีตและปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเพื่อนจากNGOs  เพื่อนแท้ที่เติมเต็มคุณค่าให้กับเราในการทำงาน GO ค่ะ

NGO อาจคือ GO นั่นคือ GO ที่หลุดกรอบทำงานสร้างสรรค์มากกว่าการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม

เก็บมาฝากจาก "เวทีนวัตกรรมหุ้นส่วนการพัฒนาในพื้นที่" เมื่อวานนี้   หวังว่าพอช่วยเพิ่ม   "กำลังภายใน"  ให้คุณชายขอบได้บ้าง

คุณเพลินใจ  เลิศลักขณวงศ์   จากโครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะท้องถิ่นน่าอยู่   แม่สอด  จ.ตาก    ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการ     เป็นทีมในหอการค้า    และทำธุรกิจส่วนตัว  เป็นแกนนำประชาคมตาก     กล่าวไว้ตอนหนึ่งไว้น่าสนใจมาก  ประมาณว่า   "การทำงานในพื้นที่นั้น  ระลึกตัวเองอยู่เสมอว่าตนคือ  "พลเมือง"  ของพื้นที่นั้น   คำว่าพลเมือง   มันเหมือนกับเมืองที่มีพลัง    สิ่งที่ทำ  ก็ทำเพราะจากข้างในตัวเราที่คอยบอกเราว่า  เราเป็นส่วนหนึ่งของเมือง      แต่หากเราไปคิดว่า  เราคือ   "ราชการ"  (ที่จริง "ข้าราชการ"  หรือ ผู้รับใช้บ้านเมือง)   เราก็มักจะทำเพราะคำสั่ง   นโยบายจากเบื้องบน มากกว่าความปราถนาจริงๆของเมือง (ที่จริงน่าจะเรียกว่า  "ข้า(หัวหน้าส่วน) ราชการ"  มากกว่าเนาะ!) 

ผมเชื่อว่า  คุณชายขอบ  ทำเพราะอินว่า  ตัวเอง คือ  พลเมือง ของเมืองพัทลุง   หรือกว้างขึ้นก็เป็น  พลเมืองของเมืองไทย   มากกว่าใส่สัญชาติให้ตัวเองว่าเป็น   GO  หรือ NGO's

เก็บมาฝากจาก "เวทีนวัตกรรมหุ้นส่วนการพัฒนาในพื้นที่" เมื่อวานนี้   หวังว่าพอช่วยเพิ่ม   "กำลังภายใน"  ให้คุณชายขอบได้บ้าง

คุณเพลินใจ  เลิศลักขณวงศ์   จากโครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะท้องถิ่นน่าอยู่   แม่สอด  จ.ตาก    ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการ     เป็นทีมในหอการค้า    และทำธุรกิจส่วนตัว  เป็นแกนนำประชาคมตาก     กล่าวไว้ตอนหนึ่งไว้น่าสนใจมาก  ประมาณว่า   "การทำงานในพื้นที่นั้น  ระลึกตัวเองอยู่เสมอว่าตนคือ  "พลเมือง"  ของพื้นที่นั้น   คำว่าพลเมือง   มันเหมือนกับเมืองที่มีพลัง    สิ่งที่ทำ  ก็ทำเพราะจากข้างในตัวเราที่คอยบอกเราว่า  เราเป็นส่วนหนึ่งของเมือง      แต่หากเราไปคิดว่า  เราคือ   "ราชการ"  (ที่จริง "ข้าราชการ"  หรือ ผู้รับใช้บ้านเมือง)   เราก็มักจะทำเพราะคำสั่ง   นโยบายจากเบื้องบน มากกว่าความปราถนาจริงๆของเมือง (ที่จริงน่าจะเรียกว่า  "ข้า(หัวหน้าส่วน) ราชการ"  มากกว่าเนาะ!) 

ผมเชื่อว่า  คุณชายขอบ  ทำเพราะอินว่า  ตัวเอง คือ  พลเมือง ของเมืองพัทลุง   หรือกว้างขึ้นก็เป็น  พลเมืองของเมืองไทย   มากกว่าใส่สัญชาติให้ตัวเองว่าเป็น   GO  หรือ NGO's

แบบนี้ต้องเชิญให้บล๊อกนี้เข้ามาร่วมชุมชน ศูนย์รวมความรู้องค์พัฒนาเอกชน ซะแล้วครับ..

ผมว่าสำคัญสุดมันอยู่ที่วิธีคิด วิธีการมอง ของแต่ละคน ว่าจะมุ่งพัฒนาตัวเองไปตลอดชีวิตหรือไม่ เท่านั่นเอง ราชการบางคนหยุดการพัฒนาตนเองเมื่อได้ ซี7 ซี8 รอวันเกษียรอายุ เอ็นจีโอบางคนก็หยุดการพัฒนาตัวเองเมื่อมองหาทางไปต่อไม่เห็น.. เน้นว่า "บางคน" นะครับ

ผมเสียดายเวลาช่วงวัยหนุ่มสาวที่เริ่มก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ของบรรดาหนุ่มสาวที่ออกมาสู้ชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะข้าราชการ เพราะเพิ่งเริ่มเข้างานใหม่ มีไฟในการทำงาน แต่เชื้อเพลิงคือรายได้มันน้อยนิด การกระตุ้น เสริมแรงจากผู้ที่ทำงานมาอยู่ก่อนก็ดูเหมือนจะอ่อนล้า เลยทำให้เห็นสภาพอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จะทำงานเกินตัว มันก็เกินเงินเดือนที่ได้รับ คนเก่าเงินเดือนมากกว่าบางทียังทำงานน้อยกว่าเด็กเข้างานใหม่ มันน่าท้อมั้ยครับ ในที่สุดก็ถูกระบบมันกลืนกินเข้าไป คนไหนรับสภาพได้ ไม่คิดอะไรมากก็อยู่ไปเรื่อยๆ เสมอตัว คนไหนทนไม่ไหวก็ลาออกมา ก็มันเป็นกันเสียอย่างนี้ อยากให้ปรับฐานการให้เงินเดือนกันใหม่ เป็นใครทำงานมากได้มาก ทำงานน้อยได้น้อย ตรงนี้ผมขอมองเงินเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งมันจะผิดก็ได้...

แต่ที่สำคัญมากกว่าเงินก็คือ ใจ เพราะว่าถ้าใจเข้าใจในหน้าที่ของตนเองที่มีต่อการทำงานแล้ว เงินจะเป็นแค่ปัจจัยเสริมเท่านั่น เพราะเรารู้เราเองแล้วว่าเราทำงานเพื่องาน งานที่ทำเป็นงานเพื่อแผ่นดินเกิด เพื่อเพื่อนร่วมชาติ ร่วมโลกใบเดียวกันนี้ เราก็จะทำงานอย่างมีความสุข และรู้สึกดีมากๆ กับงานที่ตนเองทำ

ถึงแม้จะเป็นแค่คนล้างส้วมก็รู้สึกภูมิใจได้เพราะ คนที่เข้ามาปลดทุกข์จะรู้สึกดีที่ได้เห็นส้วมที่สะอาด มีน้ำเต็ม ไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์ และพร้อมใช้งานเสมอ รอยยิ้มก็จะเกิดแก่ผู้ที่เข้ามาปลดทุกข์ ไม่มีเสียงว่านินทา มีแต่จะชมว่าห้องน้ำนี้สะอาดน่าเข้ามาใช้งานอีกในโอกาสที่ตนเองเกิดทุกข์หนักเบา ถ้าเป็นในทางกลับกันเราคงพอเดาได้ว่าผลจะเป็นเช่นไร..

ถ้าเราคิดเพื่อคนที่เรารักอย่างไร ก็อยากให้คิดเพื่อเพื่อนร่วมสังคมอย่างนั่น.. แล้วเส้นแบ่งระหว่าง GO กับ NGOs ก็จะเป็นแค่สมมติเท่านั่นเอง...

โม้มากไปหน่อย ขอโทษทีครับ..

NGOs ใน GO

 

คือ กบฏแห่ง กติกา ของสังคม

 

สนับสนุน ให้กบฏทางความคิด เพื่อ ปฏิรูประบบ ให้เคลื่อน ครับ

     ขอบคุณทุกท่านครับ เป็นพลังจากภายในที่เพิ่มพูน แล้วจะมาตอบทุก คห.นะครับ เมื่อการเดินทางข้ามภาคคราวนี้เรียบร้อยแล้ว ท่านใดไป มข.ก็จะเจอกันนะครับ
ยังอยากอ่านความเห็นคุณชายขอบค่ะ
ชายไทยไม่ทราบชื่อ

NGO -GO-IN-GO=พชม. ว.2

  • มองต่างมุมในชื่อเรื่อง
  • ถ้า GO อันตราย ก็อย่าเป็น NGO
  • ถ้า GO ไม่อันตราย ก็เป็น NGO ได้
  • ด้วยความโอบอ้อม อารี ครับ

มุมมอง Go  และ NGO เป็นแค่ตัวแยก  องค์กร  ซึ่งทุกองค์กร ก็มีคนทุกประเภท ทุกเกรด ขึ้นอยู่กับแนวคิด และทัศนคติ พร้อมกับความสามารถของแต่ละคน เพียง แต่  NGO ได้เปรียบกว่าที่กฏข้อบังคับที่น้อยกว่า ทำงานได้ง่ายกว่า  อันตรายของ go ก็คือระเบียบที่จะมาเล่นงานเอาหากเราติดนิสัย ความง่ายของ NGO มาใช้  แต่เชื่อว่า หากเรามีความตั้งใจดี  คิดดี และทำดี ระวังในตัวระเบียบบ้าง ทุกคนคงเข้าใจ และปลอดภัยจากอันตรายนั้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท