น่าสนุกจังครับคุณจตุพร หลายพื้นที่แตกต่างกันมากคิดว่าน่าจะใช้เทคนิคนี้บ้างนะครับหากพัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์นำมาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ ที่อีสานเรื่องการสื่อสารกับชาวบ้านไม่มีปัญหาเรื่องความหลากหลายมีปัญหาเพียงการปรับตัวตามสถานการณ์กลุ่มเป้าหมายของวิทยากร
มีวิทยากรทำงานด้านเด็กหลายท่าน มักจะบ่นเรื่องการสื่อสารที่ใช้ภาษาถิ่น(ภาษาลาว)กับเด็ก เพราะบางพื้นที่ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย เพราะเด็ก ๆ ถูกสอนให้ทำกิจกรรม ฟัง พูด เขียนด้วยภาษากลาง ดังนั้นบางครั้งต้องภาษากลางนะครับ กิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ วิทยากรต้องปรับตัวให้ทันท่วงที แต่บางพื้นที่ถ้าวิทยากรพูดภาษากลางอาจจะทำให้เด็กเขินอายไม่กล้าพูดกับเราได้
คุณออต
ก็กำลังร่างโครงการ และพิจารณารายละเอียดของหลักสูตรที่จะพัฒนาศักยภาพคนกลุ่มนี้อยู่ครับ - - โอกาสดีแบบนี้ ผมเองก็อาจถือโอกาสเป็นนักเรียนกับทีมวิทยากรชนเผ่าด้วยครับ
- -การสื่อสารที่พูดภาษาชนเผ่านอกจากจะเข้าใจดีแล้ว ยังช่วยให้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยครับ
ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนครับ
จริงๆแล้ว มีการสร้างวิทยากรชุมชนที่พัฒนามาจากชนกลุ่มน้อยกันมานานแล้วครับ
แต่ในการสร้างคนดังกล่าว คำถามก็คือใครเป็นคนสร้าง สร้างอย่างไรและสร้างเพื่อใคร
แน่ล่ะครับ ส่วนใหญ่ รัฐ องค์กรเอกชนหรือแหล่งทุนเป็นผู้สร้างหลัก (อาจจะมีผู้ร่วมสร้างหลายคน)
ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ จึงตกอยู่ที่ผู้อำนวยการสร้าง (ไม่อยากใช้คำว่า “ผู้กำกับ”)
ผมรู้สึกว่าการสร้างแบบนี้ มันมีอะไรบางอย่างที่น่าเกรงว่าจะไปคล้ายคลึงกับสถาบันอุดมศึกษา
นั่นคือ สร้างคนออกไปรับใช้ราชการ รับใช้ระบบทุนอุตสาหกรรม
มิใช่เน้นรับใช้อุดมการณ์ รับใช้ประชาชนคนจน
อันนี้สำคัญมากนะครับ
ผมมีเพื่อนชาวเขาบางคน ที่พอถูกรัฐเสกสรรปั้นแต่งให้เป็นแกนนำขึ้น แล้วก็กลายเป็นคนของรัฐไป
กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จำนวนไม่น้อย ถูกล้างสมอง หลอกล่อด้วยแบบฟอร์ม ยศถาบรรดาศักดิ์
เหมือนนกป่า ถูกเอามาใส่กรงทอง ฝึกร้องจุ้กกรู้ๆแล้วก็จะได้อาหารมาป้อนถึงปาก
จนลืมไปแล้วว่า อิสรภาพนอกกรงและเพื่อนพ้องที่อยู่ข้างนอกมีค่าเพียงใด
วันดี คืนดี ถูกปล่อยออกจากกรง ก็หากินไม่เป็นเสียแล้ว
ที่กล่าวมานี้ มิใช่จะยุยงส่งเสริมให้เกลียดชังคนของรัฐ ความเกลียดชังมิใช่มรรคสู่การพัฒนาไม่ว่าจะในเรื่องใดๆ มีแต่จะสร้าง สั่งสมความรุนแรง
และอีกประการก็คือ เราจะอยู่ลอยๆโดยไร้ปฏิบัติการจากรัฐคงไม่ได้
เพียงแค่อยากจากสะกิด ให้เราตั้งคำถามในเรื่องความชอบธรรม ความเท่าเทียม เพื่อให้เราสามารถทำงานร่วมกันกับรัฐอย่าง “รู้เท่าทันระบบ” (อาจารย์พุทธทาสใช้คำว่า “เหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงู ไม่โดนพิษงู” ได้ดีขึ้น และสามารถดึงเอาจุดแข็งของรัฐมาเพื่อรับใช้มวลชนได้อย่างแท้จริง มิใช่เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยบางกลุ่มบางพวก
ผมคิดว่าจตุพรก็คงมีประสบการณ์พบเห็นเช่นเดียวกัน
ฉะนี้ ในฐานะที่เราสองคน ต่างร่วมลงเรือลำเดียวกัน ในการพัฒนาโครงการดังกล่าว
แน่นอนว่า เราคงจะพูดเรื่องเหล่านี้ให้ “คนมีสี”ฟังลำบาก แต่ผมคิดว่าเราต้องทบทวนข้อผิดพลาดจากประวัติศาสตร์การสร้างวิทยากรชุมชนท้องถิ่นผ่านรัฐด้วย
ซึ่งผมเองก็รับปากไม่ได้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน แต่ผมจะพยายามก้าวผ่านปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ไม่มากก็น้อย
ผมไม่ทราบว่า มีใครคนอื่นเคยพานพบประสบการณ์อย่างนี้มาบ้าง และมีวิธีจัดการอย่างไร
ฝากไว้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยนะครับ
พี่ยอดดอย
ผมตระหนักดี และผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า กลุ่มที่คิดงานพัฒนาใหม่ๆ เรามีกระบวนการที่แตกต่างจากครั้งในอดีต ผมไม่ได้กังวลว่าจะต้องไปเป็นเครื่องมือให้ใคร เขาทำประโยชน์ให้ใครก็ได้
ประเด็น "วิทยากรชนเผ่า" ผมมองแบบนี้ครับ ผมมองว่า ตัววิทยากรเองที่สมัครใจเข้ามาพัฒนาศักยภาพตนเอง สิ่งที่ได้ฉับพลันคือ "ทักษะ" และ ต่อมาก็มีการปฏิบัติจนกลายเป็น "ศักยภาพ" ของบุคคล
หากปัจเจกได้รับการพัฒนา แม้เพียงหนึ่ง ผมก็พอจะมองเห็นความสำเร็จ
เราคิดคล้ายๆกันครับ ประเด็นที่พี่เป็นห่วง ผมก็คิดเช่นเดียวกัน
ช่วยกันครับ