“ชายขอบ” หายไปไหน เป็นรอยความเห็นที่หลาย ๆ ท่านได้ทิ้งกันไว้ในหลาย ๆ บันทึก ทุกครั้งที่อ่านเจอ รู้สึกมีคุณค่าและเป็นกำลังใจยิ่งสำหรับคนตัวเล็ก ๆ ดำ ๆ อย่าง “ชายขอบ” นามของผมนี้มีที่มาที่ไปเพื่อให้นึกถึงกำพืดตนเอง และให้นึกถึง “คนชายขอบ” ของสังคมอีกหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หรืออาจจะอีกหลายแสน แม้แต่เป็นล้านก็ได้ หากได้ใช้ประเด็นต่างกันมาจับว่า “คนชายขอบ” เป็นเยี่ยงใด คนชายขอบในความหมายของผมคือ ขอบ ๆ ริม ๆ ของโอกาสต่าง ๆ ตามสิทธิที่พึงมีพึงได้ ในความทัดเทียมกัน หาใช่เพื่อความเท่ากันไม่ ฉะนั้นหากเมื่อคนชายขอบคนใดสามารถหลุดเข้าไปได้แล้วในบางสถานการณ์ของโอกาส คนชายขอบคนนั้นน่าจะเข้าใจและช่วยกันดึงให้คนชายขอบอื่น ๆ ได้มีพื้นที่สำหรับยืนบ้างในโอกาสนั้น ๆ หากเมื่อได้ช่วยกันดึงแล้ว วันหนึ่งความเท่าเทียมกันจะไม่ใช่สิ่งที่ร้องหาอีกต่อไป เน้นย้ำว่าความพยายามสู่ความ “เท่าเทียม” กันนั้นมีความเป็นไปได้จริง ไม่ใช่การเสวงหาความ “เท่ากัน” ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย
ความพยายามดังข้างต้นใช่ว่าจะปูด้วยพรมอย่างดี แล้วโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ผู้คนมากหน้าหลายตาที่สามารถเข้าไปยืนในพื้นที่แห่งโอกาสนั้นได้แล้ว ย่อมรู้สึกอึดอัด รู้สึกเหมือนถูกเบียดแย่ง หรืออาจจะมองผู้มาใหม่แบบแปลกแยก แถมผู้มาใหม่ก็ได้หาพินอบพิเทา เอาใจ ผู้อยู่เก่าไม่ หรือไม่แม้จะสนใจให้เกินค่าความเป็นคนด้วยกัน แต่กลับส่งสายตามองไปยังพี่ ๆ น้อง ๆ คนชายขอบ พร้อม ๆ กับยื่นมือ ยื่นรยางค์ออกไปให้จับฉวย ออกแรงดึงเพื่อรั้งให้เข้ามาบ้างให้ได้ เพื่ออะไรก็หวังเพื่อจะได้ช่วยกันยื่นรยางค์ที่ตนมีออกไปอีกบ้าง ไม่ช้าไม่นาน “คนชายขอบ” ก็จะได้มีพื้นที่ยืนขึ้นบ้างในสังคมแห่งโอกาส แต่ก็มีมากมายเช่นกันที่เมื่อยึดที่ยืนได้แล้ว ก็กลัวจะถูกผลักออกไป และได้เลือกที่จะไม่ทำตามที่ควรจะได้ทำในฐานะความจริงแห่งตัวตนว่าเป็นคนชายขอบมาก่อน
พื้นที่แห่งโอกาสมักจะมีลมพัดหวนพอที่จะเย็นตัว สบายใจ นาน ๆ ครั้งก็มีบ้างเหมือนกันที่ก่อตัวขึ้นเป็นพายุพัดหมุนดูดเอาคนชายขอบที่หลุดลอดเข้ามา เพื่อจะพาไปทิ้งยังที่เก่าที่เราเคยอยู่ แต่หลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมาไม่สำเร็จ ดูดไปได้ หมุนวนให้พอเวียนหัว ก็กลับมาวางที่เดิมอีกเสมอ ครั้งนี้พายุเริ่มก่อตัวมาเนิ่นนาน ลูกเล็ก ๆ สลายไป แต่ไม่ไปไหนกลับรวมกันเป็นลูกใหญ่ และยิ่งใหญ่ขึ้น ดีนะที่รับรู้อยู่ตลอดเวลา จึงได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อยู่ได้เสมอ หากแต่ลูกใหญ่ในวันพรุ่ง จะเป็นลูกเดียวที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะพัดเอาแรงขนาดไหน ตอนนี้ก็พร้อมแล้วที่จะทำตัวลู่ลมไป ให้พัดผ่าน แต่จะไม่ยอมสลายตัวตนตามลมพายุแห่งชีวิต ธรรมชาติสอนให้ต้นไม้ริดตนเองเมื่อต้องเผชิญ สิ่งที่ยังต้องคงอยู่คือต้นและราก หากเมื่อพายุลมสงบ ฟ้าใส ค่อย ๆ ผลิใบแตกยอดต่อไป วันพรุ่งจึงต้องผ่านให้ได้ เพื่อแตกยอดผลิใบต่อไป
รากครับ ดินครับ พรุ่งนี้จงช่วยกันอย่างเข้มแข็งเพื่อพยุงต้นไว้ให้ได้นะครับ หากแต่อยากขอโทษใบและกิ่งที่ต้องสลัดทิ้ง เพื่อทำตัวให้ลู่ลม แต่จะทิ้งเมื่อประเมินแล้วว่าจำเป็น สัญญาว่าจะต้านไม่ตาม เพราะเชื่อว่าลมพายุเขาก็ต้องทำตามหน้าที่เขาที่เป็นหน้าที่ชีวิตของพายุ จะทำไงได้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ในมุมมองต่อหน้าที่ที่แตกต่างกัน และสัญญาว่าทันทีที่ลมพายุชีวิตสงบแล้ว จะเร่งแตกยอดผลิใบใหม่ให้ทันการณ์ ขอโทษนะ! หากจะต้องทำร้ายกันบ้าง ก็เพื่อป่าแห่งโอกาสจะได้สมบูรณ์ต่อไป ขอให้เชื่อกัน ไว้ใจกัน
ต้องผ่านไปจนได้เหมือนที่เคย ๆ ผ่าน ยอมรับว่าลมพายุแห่งชีวิตในครั้งนี้สาหัสนัก แต่จะไม่ผ่านได้อย่างไร ในเมื่อผ่านมาได้ตลอด และครั้งนี้มีต้นทุนแห่งโอกาสสะสมอยู่มากทีเดียว ความดีที่ทำให้ผืนป่าเขียวชอุ่มมาตลอดคงช่วยหนุนนำให้ผ่านไปได้ในวันรุ่ง...ดังเช่นวันวานที่ผ่านมา ไตรภาคีฯ ต้องเดินหน้า เพราะพิสูจน์แล้วว่า ชุมชนจะพัฒนาสุขภาพกันเองได้อย่างยั่งยืน ด้วยพื้นที่แห่งโอกาสของเราเอง
ขอบคุณ...ในกำลังใจที่ตนมีให้ตน..เสมอ..
พายุไม่เคยอยู่กับเรานาน
แสงสว่าง...ก็ใช่จะสว่าง...ตลอด
ความมืดก็ยังคือความมืด...
ชีวิตก็คือชีวิต...
แม้บางอย่าง...สูญสลาย..
หากแต่ตำนาน...อุดมการณ์..ยังกึกก้องให้..."คน"...รับรู้
คือกำลังใจ...ที่ไม่มีน้อยลง...
ให้คน..มนุษย์...และชีวิต
เพื่อเดินต่อ...บนเส้นทาง...แห่งความดีที่มุ่งมั่น...
ขอบคุณ Dr.Ka-poom ที่แวะเวียนเข้ามาเติมเต็มให้เสมอ ทั้งในวงวิชาการ การเรียนรู้ และจิตวิญญาณ
ขอบคุณสำหรับพี่โอ๋ครับ ยอมรับเหตุการณ์ของ "คุณครูจูหลิง" ทำให้ผมเขียนบันทึกไม่ออก ขาดพลัง เพราะมองว่าทำไมนะคนเราไม่เลือกให้แรงใจกันตั้งแต่ตอนไม่เกิดความร้ายแรงขึ้น สังคมจะได้สงบสุข "คุณครูจูหลิง" น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญ เหมือนหลาย ๆ ท่านที่ประสบเคราะห์กรรมในเหตุการณ์ความไม่สงบสำหรับการปรองดองในสังคมนี้
สำหรับ "คุณครูจูหลิง" ทางทีมงานเครือข่ายไตรภาคีฯ กำลังคิดกันและตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรร่วมกันเพื่อให้กำลังใจ ขอภารกิจการประชุมเพื่อรวมพลคนพิการ เป็น สภาคนพิการทุกประเภทจังหวัดพัทลุง ผ่านไปได้ในวันที่ 30 พ.ค.49 นี้ ก็จะลงมือครับ ที่ต้องรอไปอีกนิดเพราะหน้าที่ชีวิตครับ ต้องทำตรงนี้ก่อน คนพิการอีกหลายท่านกำลังรอให้เกิดเวทีเพื่อสภาคนพิการทุกประเภทขึ้น เป็นการกำหนดแผนไว้ล่วงหน้า และต้องเตรียมในหลาย ๆ ส่วนทีเดียว
ผมคอยแต่ให้แรงใจไปยัง "คุณครูจูหลิง" และคณะผู้ดูแล ผ่านบันทึกที่คนอื่นเขียน บอกตรง ๆ ว่าเขียนไม่ออกเลยครับ เศร้าเสียจนไม่คิดว่ามีขึ้นได้ในโลกนี้สำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เชื่อว่าความดีที่คุณครูทำไว้ อีกทั้งพลังภาวนาของเราทุกคน จะต้องส่งผลเป็นปาฏิหารย์ให้เกิดกับ "คุณครูจูหลิง" ครับ เชื่อเช่นนั้นครับ
10.00 น. ผมกำลังเดินเข้าไปในพายุที่ว่า (ห้องประชุม) แต่ก็รู้สึกสบายใจจากกำลังใจที่ได้รับ ขอบคุณทุกท่านครับ แน่นอนจะเดินกลับออกมาอย่างสวยสดงดงาม ด้วยปัญญาเท่าที่มีอยู่
เป็นกำลังใจให้อีกคนครับ
"ก้าวไปเถิด เพื่อนยา ผู้กล้าแกร่ง
จงก้าวไป ด้วยแรง แข็งขยัน
ทางข้างหน้า แม้พงป่า หรือผาชัน
จงฝ่าฟัน จนกว่า จะได้ชัย.."
ผมจำกลอนบทนี้จนขึ้นใจมาเกือบ 20 ปี เพื่อนครูอาสาท่านหนึ่งเขียนติดไว้บนกระดานดำ ไม่รู้ว่าใครแต่ง แต่เมื่อได้นึกทวน..ทำให้มีกำลังใจ ขอมอบไว้เป็นกำลังใจสำหรับคุณชายขอบและคนชายขอบทุกๆ ท่านต่อไปนะครับ
นิ่ง เย็นยะเยียบ
ไม่เปิดเผย ซ่อนเร้น
นอนบนกองฟืน ชิมดีสัตว์
พายุ ลมฝนสงบ ธัญพืชผลิใบ
พี่ขจิต ผู้พร้อมไปด้วยมิตภาพ
ขอบคุณพี่มากครับ สำหรับกำลังใจที่มีให้ไม่เสื่อมคลาย
พี่เม่ย
ตามไปอ่านบันทึกที่พี่เขียนและมอบให้ แล้วตั้งแต่ตอนนั้น ขอบคุณพี่สาวที่แสนดีมากครับ
พี่ธวัช และ คุณแวะมา
ขอบคุณครับ
พี่ธวัช และ คุณแวะมา
ขอบคุณครับ
เมื่อพายุพัดผ่านไป ฟ้าจะแจ่มใสขึ้นค่ะ
^___^