ประโยคจีบสาวในภาษาอังกฤษ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
As she's leaving....Hey
aren't you forgetting something? She: What?
Me!
ขณะที่เธอกำลังออกไป
คุณ
: นี่
คุณกำลังลืมบางอย่างไปรึเปล่าครับ
สาว
: อะไรเหรอคะ
หนุ่ม
:
ผมไง
---------------------
Ask a
woman for the time. "10:30? So today is January 10,1999, at 10:30
PM,
thanks I just wanted to
be able to remember the exact moment that I met
you."
ถามเวลาสาว
และเมื่อเค้าบอกเวลาคุณแล้ว
"เวลา
(...............) ใช่มั้ย วันนี้เป็นวันที่ 10 มกราคม ปี 2009
สินะครับ
ขอบคุณนะ
ผมแค่อยากจะจดจำเวลาที่ถูกต้อง
ตอนที่ผมได้พบคุณ"
----------------------
Baby,
you must be a broom, cause you just swept me off my
feet.
คนสวย
คุณคงจะเป็นไม้กวาดแน่ๆ
เพราะคุณกวาดหัวใจผมไปหมดแล้ว
สำนวน
sweep somebody off their feet
หมายถึง ทำให้รู้สึกชอบหรือหลงรักขึ้นมา
เช่น
Jill’s been swept off her feet by
an older man
จิลหัวใจกระเจิดกระเจิงเพราะหนุ่มที่อายุมากกว่า
-----------------------
Can I
get your picture to prove to all my friends that angels really do
exist?
"ผมขอรูปคุณหน่อยได้มั้ย
ผมจะได้ไปพิสูจน์กับเพื่อนทุกคนว่า
นางฟ้ามีอยู่จริง"
------------
Can I
have directions? ["To where?"] To your heart.
"ผมขอถามทางหน่อยได้มั้ย" (ไปไหนคะ)
"ทางเข้าไปในหัวใจคุณ"
------------
Does
your watch have a second hand? I want to know how long it took for
me to fall in love with you.
นาฬิกาคุณมีเข็มบอกเวลาเป็นวินาทีมั้ยครับ
ผมแค่อยากจะรู้ว่า
ใช้เวลากี่วินาทีในการตกหลุมรักคุณ
คำว่า
hand
ใช้ในควาหมายว่าเข็มนาฬิกาด้วย hour hand
เข็มที่บอกเวลาชั่วโมง
minute
hand ก็เข็มบอกนาที Second hand
เป็นเข็มบอกวินาที
-----------------
Ever
since I met you, you've lived in my heart without paying any
rent.
ตั้งแต่ผมได้พบคุณ
คุณก็อยู่ในหัวใจผมโดยไม่จ่ายค่าเช่าเลย
หลัง
since ถ้าเป็นการบอกเวลา
ว่าตั้งแต่ มักจะใช้รูป past simple คือ s+
v2
หลังคำบุพบท
หรือ preposition ทุกประเภท
ถ้าต้องมี verb ตามหลังก็ต้องเติม ing คือ
ทำกริยาให้กลายเป็นนาม ที่เราเรียกว่า
gerund ค่ะ without เป็น
preposition ก็เลยใช้ pay + ing ทำให้กลายเป็น
gerund
คำว่า
rent ใช้เป็นกริยาก็ได้ หมายถึง
เช่า หรือ หมายถึง ค่าเช่า ก็ได้
เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
ถ้าหมายถึงคำนาม
ก็มักจะใช้คู่กับ คำกริยา pay
เช่น
I pay the rent at the beginning
of every month.
ฉันจ่ายค่าเช่าตอนต้นเดือนของทุกเดือน
High rent
ค่าเช่าราคาสูง
low rent
ค่าเช่าไม่แพง
reasonable rent
ค่าเช่าสมเหตุสมผล (ไม่แพงมาก ไม่ถูกเกินไป)
เช่น
Shop rents are extremely high
ค่าเช่าร้านแพงสุดๆ
-----------------------
Excuse me miss, I don't mean
to stare, but um I think you're really
Beautiful"
ขอโทษด้วยนะครับ
คุณผู้หญิง ผมไม่ได้ตั้งใจจะจ้องคุณนะ แต่ อืมม์ ผมคิดว่า
คุณสวยจริงๆเลย
(พูดตรงมาก)
1. คำว่า miss
เราใช้ในภาษาพูดแบบสุภาพในการพูดกับผู้หญิงสาวๆ ที่เราไม่รู้จักชื่อ
คล้ายๆกับการใช้ madam หรือ sir
2. โครงสร้าง
mean to v1 หมายความว่า
ตั้งใจ
เช่น
I didn’t mean to upset you
ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณหงุดหงิด
ถ้าใช้ว่า didn’t mean it หมายถึงว่า
ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้โกรธ หรือ ทำให้เคือง
I’m sure she didn’t
mean it
ชั้นแน่ใจว่าเธอคงจะไม่ตั้งใจทำให้โกรธหรอก
จริงๆการใช้ mean มีการใช้หลากหลายความหมายมากๆค่ะ
แต่ขอพูดเท่านี้ก่อน
3. กริยา stare ก็คือ
จ้องมอง ไม่ได้แค่มองธรรมดา มักใช้คู่กับ preposition
at
เช่น
what are you staring at?
จ้องอะไรอยู่
------------------------------
Excuse me, I'm looking for a
friend...do you want to be my friend?
ขอโทษะนะครับ
ผมกำลังมองหาเพื่อนอยู่
คุณอยากจะเป็นเพื่อนกับผมมั้ย
Look for
something ก็คือ มองหาสิ่งนั้นอยู่
จริงๆเป็นมุขเนียนๆ
ประมาณว่า คงจะนัดกับเพื่อนไว้ มองหาเพื่อนอยู่
แต่จู่ๆก็มาขอสาวเป็นแฟนซะได้
แต่ถ้าใช้สำนวน be looking for trouble
จะใช้ในสถานการณ์ที่เป็นไม่เป็นทางการ
หมายถึงการทำตัวที่อาจจะเกิดปัญหา หรือ
อาจจะมีเรื่องได้
They walked into a
bar looking for trouble
พวกนั้นเดินเข้าไปในบาร์
ไปหาเรื่อง
------------------
Grab
them in the butt and ask, "Pardon me, is this seat
taken?"
จับก้นแล้วถามว่า "ขอโทษนะ
ที่ตรงนี้มีคนจองแล้วหรือยัง"
(อันนี้ไม่รับประกันแน่นอน ว่าจะโดนตบหรือเปล่า
55555)
Grab เป็น กริยา
จับ
Butt เป็นนาม ก็คือ
ก้น แต่เป็นคำไม่เป็นทางการ อีกคำที่ใช้คือ
buttock
แต่สำนวน
get your butt in/out/ over
เป็นสำนวนการพูดแบบอเมริกัน
แต่จะใช้แบบไม่สุภาพนะคะ
หมายถึงเราสั่งให้คนบางคนที่ไม่ชอบหน้าออกไปซะ
Kevin, get your butt
over here
เควิน
ย้ายตูดแกออกไปซะ
ประโยค Is this seat taken
มักจะใช้ถามเวลาที่อยากจะรู้ว่า
ที่นั่งตรงนี้มีคนนั่งอยู่หรือเปล่า
----------
Guy:
Did I see u somewhere?
Girl:
No
Guy:
Then I must have seen you in my dreams!
ชายหนุ่ม
:
ผมเคยเห็นคุณที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า
สาว
:
ไม่นะคะ
ชายหนุ่ม
: งั้นผมคงจะเคยเห็นคุณในฝันผมแน่ๆ
(เป็นสาวในฝันของผมนั่นเอง)
Guy
เป็นคำนามเอกพจน์
เรียกผู้ชายแบบไม่เป็นทางการ
เหมือนคำว่า
bloke แต่ bloke เป็นคำศัพท์ไม่เป็นทางการของคนอังกฤษ เช่น He’s a
nice bloke เขาเป็นคนดีนะ
ตัวอย่างการใช้ guy
เช่น
He’s really a nice guy when you
get to know him
เขาเป็นคนดีจริงๆ
ถ้าคุณได้รู้จักเขา
แต่ถ้า
guys เติม s ลงไปจะหมายถึงกลุ่มคน
โดยรวมทั้งผู้หญิงก็ได้ ประมาณว่า
กลุ่มคนที่เราพูดด้วย
Hey you guys
where are you going ? นี่ พวกนาย
จะไปไหนกัน
การใช้
must have + v3 หมายถึงว่า
ความเป็นไปได้ว่า คงจะต้องเคยทำกริยาแบบนั้นแน่ๆ
ในอดีต
I must have
seen you in my dream
ผมคงจะต้องเคยเห็นคุณในความฝัน(ที่ผ่านมา)แน่ๆ
-------------------
Hey,
how did you do that? (What?) Look so good?
"นี่
คุณทำแบบนั้นได้ยังไง" (ทำอะไรเหรอคะ)
"ทำให้สวยได้ขนาดนี้"
------------------------
Hey,
I lost my phone number ... Can I have yours?
"นี่
ผมทำเบอร์โทรของผมหาย งั้นผมขอเบอร์คุณได้มั้ย"
(เราว่าอันนี้น่ารักดีนะ)
-----------------------
อันนี้เป็นมุขถึงเนื้อถึงตัว
Hey,
( กุ๊บกิ๊บ : ชอบชื่อนี่จังค่ะ ) ! (Big hug). I haven't
seen you forEVER!! (huge kiss)
Wow,
you've really changed! (I'm not Laura) What? Oh my God, you even
changed your name!
เดินเข้าไป
ทำหน้าดีใจ "เฮ้ กุ๊บกิ๊บ
(กอดแน่น) ชั้นไม่เคยเจอเธอเลยนะ
(จุ๊บแก้มฟอดใหญ่)
โห
เปลี่ยนไปมากจริงๆ (ชั้นไม่ใช่กุ๊บกิ๊บ)
อะไรนะ ตายล่ะ
นี่เปลี่ยนชื่อด้วยเหรอเนี่ย"
--------------
Hey,
somebody farted. Let's get out of here.
นี่ มีคนตดในห้องนี้
ออกไปจากที่นี่พร้อมกับผมเถอะ
คำว่า
fart เป็นกริยาค่ะ หมายถึง ผายลม
ก็คือ ตดนั่นเอง
คำที่ใช้ได้เหมือนกันคือ break wind
แต่สำนวนว่า fart about หรือ fart around หมายถึง
ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ
ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ไม่ได้แปลว่า
เดินไป ตดไปทั่วๆ บริเวณนั้นนะคะ (น่าเกลียดตายเลย)
Stop farting around
and get on with your work
เลิกนั่งเฉยๆ
แล้วไปทำงานได้แล้ว
-------------
Hi.
My name is {name}. I'm running for president in
2012.
And I
could sure use your vote. Here...write down your
number
and
I'll call you to discuss my platform.
สวัสดีครับ
ผมชื่อ ..........
กำลังจะลงสม้ครตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2012
นี้
และผมแน่ใจว่า
น่าจะได้คะแนนเสียงจากคุณบ้าง
ช่วยเขียนชื่อ เบอร์โทร
ให้ผมหน่อยได้มั้ย
ผมจะได้โทรไปคุยเรื่องนโยบายหาเสียง
Run for
ใช้ในความหมายว่า
ลงรับสมัครเพื่อได้รับการคัดเลือกในการเลือกตั้ง
คำว่า
platform
หมายถึงนโยบายที่พรรคการเมืองใช้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงก่อนการเลือกตั้ง
ปกติการใช้
กริยา discuss หมายถึง
ถกเถียง อภิปราย จะใช้ในโครงสร้าง discuss something with
somebody
เช่น
Pupils should be given time to
discuss the book with their classmate
ควรจะให้เวลานักเรียนเพื่ออภิปรายหนังสือกับเพื่อนร่วมชั้น
------------------------
I
don't know you, but I think I love you
already.
ผมไม่รู้จักคุณหรอก
แต่ผมคิดว่า ผมคงจะหลงรักคุณเข้าแล้ว
(ชัดเจน
ไม่มีอะไรต้องอธิบาย 5555555555)
---------------------------
I
have a cat. She would really like to meet you.
ผมมีแมวอยู่ตัวนึง
แมวผมอยากจะพบคุณมากเลยนะ
(ชวนไปบ้าน)
---------------------
I
have had a really bad day and it always makes me feel
better
to
see a pretty girl smile. So, would you smile for
me?
ผมเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่แย่ๆมา และทุกครั้ง
ถ้าได้เห็นรอยยิ้มของผู้หญิงน่ารักๆ
จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก
คุณช่วยยิ้มให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ
----------------
If
you know a person's name:
"Hi, [name]." How did
you know my name? "Isn't every beautiful girl named
that?"
ถ้าในกรณีที่เรารู้จักชื่อสาวคนนั้น
ก็ให้เรียกชื่อ "หวัดดี
ตามด้วยชื่อ เช่น ไอซ์
(คุณรู้จักชื่อชั้นได้ยังไง)
"ก็ผู้หญิงสวยๆชื่อนี้ทุกคนไม่ใช่เหรอ"
การใช้
every
จะใช้กับกริยาเอกพจน์เท่านั้น เค้าก็เลยใช้ is กับ every beautiful
girl
-----------------------------------
If
you were a tear in my eye I would not cry for fear of losing
you.
ถ้าคุณเป็นน้ำตาของผม ผมคงไม่กล้าจะร้องไห้
เพราะกลัวจะเสียคุณไป (ออกจะลิเก ไชยา
มิตรชัยมาก)
ประโยคเงื่อนไขมีประมาณ 3 ประเภทใหญ่ๆ
1.พูดถึงเรื่องเป็นไปได้ในปัจจุบัน
2. การสมมุติ
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในตอนพูด
3.
พูดกลับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในอดีต
ในกรณีนี้จะตรงกับเงื่อนไขแบบที่
2 จะมีโครงสร้าง If past simple, s
+ would + v1
บางทีเราคิดว่า
พูดเรื่องปัจจุบัน ทำไมใช้โครงสร้างในอดีต คือ ประโยค
conditional sentence
จะมีลักษณะพิเศษ
สามารถใช้ประโยค past สมมุติเหตุการณ์ในปัจจุบันได้ และมักจะใช้
กริยา were กับประธานได้ทุกตัว
เช่น
If I were a boy เพลงของ
Beyonce
ปกติ จะต้องใช้
was กับประธาน I
แต่ในกรณีของเงื่อนไขการสมมุติแบบที่ 2
นี้ มันเป็นไปไม่ได้
เพราะ
Beyonce เป็นสาวสวย
จึงสามารถใช้
were ได้ด้วย
เช่น
If I were his girlfriend, I would
be very happy
(ถ้าชั้นได้เป็นแฟนเขาคงจะมีความสุขมาก
ตอนพูดไม่ได้เป็น จินตนาการล้วนๆ)
---------------------
Man:"Girl, you are so
rude!"
Girl:"How am I being
rude?"
Man:"Because you're looking
so fine and not telling me you're name."
หนุ่ม
: คุณครับ
ทำไมหยาบคายจัง
สาว
: หยาบคายยังไง
หนุ่ม
: ก็คุณสวยแบบนี้
แต่ยังไม่ยอมบอกชื่อผมเลย
--------------------------------
Please don't go or else I
will have to make a report to the cops....u stole my
heart
"โปรดอย่าไปเลย
มิฉะนั้น ผมจะไปแจ้งความกับตำรวจ ว่า
คุณขโมยหัวใจผมไป"
การใช้
or else เป็นการเตือนว่า
อาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นก็ได้ ถ้าเค้าทำ หรือ
ไม่ทำเรื่องบางอย่าง
I had to defend
myself or else he'd have killed me.
ฉันจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง ไม่อย่างนั้น
เค้าอาจจะฆ่าชั้นได้
You ‘d better hand
over the money , or else
ส่งเงินมาดีกว่า
ไม่อย่างนั้น .........
(ใช้เวลาขู่ และละข้อความไว้ในฐานที่เข้าใจ
ว่าจะเกิดอันตรายขึ้น)
----------------------------------------
That's a nice watch [Thank
you]
Actually, that's a nice
dress. [Again, thank you]
Come
to think of it, everything is nice on you.
(คุยกับสาว)
นาฬิกาสวยนะ (ขอบคุณ) จริงๆแล้ว ชุดก็ดี
(ขอบคุณอีกครั้งค่ะ) คิดๆดูแล้ว
คุณใส่อะไรก็สวยทั้งนั้น
---------------------------------------------------------------
You
are so beautiful that I would marry your brother just to get into
your family.
คุณสวยมากเหลือเกิน ถ้าเป็นไปได้
ผมคงจะแต่งงานกับน้องชายคุณ
เพื่อจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณด้วย
(อยากจะเข้าไปใกล้ชิด)
-------------------------------------------------------------------
You
are so sweet...I'm getting a toothache just looking at
you...
คุณหวานมากจริงๆ
แค่มอง.....
ก็รู้สึกปวดฟันแล้ว (55555555555555)
----------------------------------------------------------------------
You
look beautiful today, just like every other
day.
วันนี้คุณสวยจัง ......สวยเหมือนกับทุกๆวัน...
----------------------------------------------------------------------
You're
like a dictionary - you add meaning to my life!
คุณเหมือนกับพจนานุกรม
เพราะคุณ่ทำให้ชีวิตผมมีความหมายมากขึ้น
------------------------------------------------------------------
I
lost my teddy bear, will you sleep with me?
ตุ๊กตาหมีผมหายไป
คุณมานอนกับผมแทนได้มั้ย (
55555555555555555)
----------------------------------------------------------------------
I
know somebody who likes you but if I weren't so shy, I'd tell you
who.
ผมรู้จักใครบางคนที่เค้าชอบคุณอยู่ แต่ว่า
ถ้าผมไม่อาย คงจะบอกคุณไปแล้วว่าเป็นใคร