• เรามีกัน ๗ คนพี่น้อง
ผมเป็นคนโต น้องคนรองอายุห่างจากผม ๕
ปี เพราะจริงๆ แล้ว
น้องสองคนถัดจากผมตายไป คนถัดจากผมเป็นผู้หญิง
ตายจากโรคคอตีบตอนอายุขวบกว่า
เมื่อเป็นหมอแล้วพ่อแม่เล่าให้ฟังผมเสียววาบ
ว่าผมรอดมาได้อย่างไรที่ไม่ติดโรคจากน้อง
นับได้ว่าผมเป็นคนเดนตายได้เหมือนกัน
• พูดเรื่องเดนตาย
ผมว่าคนเราทุกคนเดนตายทั้งนั้น แม่เล่าว่าผมคลอดโดย
“แม่ทาน” (หมอตำแย) ชื่อยายอุ่น
ยายอุ่นบอกว่าเด็กสายรกพันคอ
นี่ก็เดนตาย เพราะมีความผิดปกติ คือสายสะดือ
หรือสายรกยาวผิดปกติ และพันคอ หากรัดคอ
ก็ตาย หรือสมองไม่เติบโต ตอนผมอายุขวบเศษ
พ่อแม่หนีญี่ปุ่นไปอยู่บ้านนอกออกไปอีก
โดยอพยพทางเรือ ไปกัน ๓ คน คือพ่อ แม่
และผม เรือเป็นเรือแจว
พ่อแจวอยู่ข้างหลัง
แม่นั่งหน้าและช่วยพาย
ผมนอนอยู่บนเบาะบนตักแม่ เชือกแจวขาด
พ่อตกน้ำและเรือคว่ำ ทุกคนตกน้ำหมดรวมทั้งผม
ซึ่งจมน้ำลงไป
แม่เป็นผู้คว้าตัวขึ้นมา นี่ก็เดนตาย
• น้องคนที่ผมจำได้ว่าช่วยแม่เลี้ยง คือน้องคนที่สามถัดจากผม
อายุห่างจากผม ๗ ปี ผมช่วยแม่ชงนมให้กิน
จำได้ว่าเป็นนมผงยี่ห้อ คลิม (Klim)
คอยเช็ดเยี่ยวเช็ดขี้ น้องอยู่ในคอก
เราช่วยเล่นบ้าง อุ้มเวลาน้องร้องบ้าง
• เวลาน้องจะนอน ก็เอาขึ้นเปล
เขาเรียกเปลญวน พื้นเป็นไม้ ที่กั้นสี่ด้านเป็นเชือกถัก
มีเชือกโยงขึ้นไปแขวนกับขื่อบ้าน ที่พื้นเปลรองเบาะ
(เราเรียก เมาะ) บนเบาะมีผ้ายางรอง
แล้วจึงรองผ้าอ้อม ผมช่วยเอาน้องนอน ไกวเปล
และร้องเพลงกล่อม
พอน้องหลับก็หยุดกล่อมได้
แต่ต้องไกวเปลอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าหยุดไกว
น้องจะตื่น ตื่นเฉยๆ ไม่เป็นไร
แต่ถ้าตื่นและร้องผมก็จะถูกแม่ดุ ว่าขี้เกียจไกวเปล
(ซึ่งเป็นความจริง)
• การร้องเพลงกล่อมเด็กมีเพลงมาตรฐานคือเพลงเอ่เอ
เอ่เอ เด็กน้อยนอนเปล ลักข้าวเม่าเขากิน เขาจับตัวได้ - - -
ผมจำได้แค่นี้ จริงๆ
แล้วเพลงอะไรก็ได้ร้องไปเรื่อยๆ
เป็นการทำเสียงให้เด็กเพลิดเพลินและรู้สึกว่ามีเพื่อน
• พอน้องโตหน่อย เราก็ “กระเดียด” เอาน้อง “เข้าเอว”
ไปเที่ยว
คำเหล่านี้เป็นคำที่เราใช้กันในภาษาปักษ์ใต้
• น้องอายุได้สัก ๒ เดือนแม่จะทำข้าวบดให้กิน
เอาข้าวสวยมาใส่น้ำ ราดน้ำต้มหมูหรือไก่
บดจนละเอียดเป็นแป้ง
อาจคลุกไข่แดง ให้ผมป้อนน้อง
ตอนหลังผมทำเองได้ทั้งหมด
วิชานี้วันหลังเราเอามาใช้เลี้ยงลูกของเราเองได้ด้วย
ทำเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
• เวลาน้องเป็นหวัด จะมีขี้มูกไหล
ผมมีหน้าที่เช็ดขี้มูกให้น้อง
แต่น้องมักคอยปัดไม่ให้เราเช็ดเพราะรำคาญ
ถ้าเราเช็ดไม่ทัน
พอขี้มูกไหลลงมาค้างอยู่น้องจะเอามือป้ายเช็ดไปข้างแก้ม
ทำให้แก้มมีคราบขี้มูก
ซึ่งแสดงว่าผมไม่ได้คอยเช็ดให้
ก็จะโดนแม่ดุ เด็กๆ
แถวบ้านผมสองข้างแก้มมีคราบขี้มูกกันทั้งนั้น
ตอนเรียนชั้นมัธยมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเพ็ง ครูและเพื่อนๆ เรียก
“อ้ายขี้มูก”
คือเป็นปกติที่จะมีขี้มูกสีออกเขียวไหลย้อยลงมาจากรูจมูก
พอลงมาสักครึ่งทางของริมฝีปาก ก็สูดขึ้นไปทีหนึ่ง
เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด
เวลานี่ท่านอาจารย์เพ็งเป็นพระภิกษุเจ้าอาวาสวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย
ที่ชุมพร
• น้องคนรองจากผมชอบไปเที่ยวบ้าน แปะขุ้น (แปะแปลว่าลุง)
ซึ่งอยู่ในตลาด (ตลาดท่ายาง) ซึ่งอยู่ขนานไปกับคลอง
ผมมีหน้าที่พาน้องไป และตัวเองก็ได้เที่ยวด้วย
แปะขุ้นรักน้องคนนี้มาก พอไปถึงท่านก็เก็บ ย่าหมู (ฝรั่ง)
ให้กิน หน้าชมพู่เราก็ได้กินชมพู่
บ้านแปะขุ้นมีพื้นซีเมนต์ขัดมัน
ผมสงสัยมากว่าก้อนหินใหญ่โตขนาดนี้เอามาจากไหน
ถามแปะขุ้นท่านก็หัวเราะหึๆ และว่าเอามาจากเขา
เลยหน้าบ้านแปะขุ้นไปหน่อยเป็นป่าจาก
ถ้ามีลูกจากแปะขุ้นก็ไปตัดเอามาผ่าให้เรากิน
ผมชอบกินลูกจากมาก
• ตอนหลังน้องคนนี้ติดใจแปะขุ้นและไปอยู่บ้านแปะขุ้นครั้งละหลายๆ
วัน และไปได้นิสัย “ไชคอ”
มา
คือก่อนนอนต้องมีคนกอดและน้องต้องเอามือของน้องเกาคอคนที่นอนเป็นเพื่อน
จึงจะหลับ ผมก็มีหน้าที่นอนให้น้อง “ไชคอ”
อยู่ระยะหนึ่ง
วิจารณ์ พานิช
๑๙ พค. ๔๙
พัทลุง