ชีวิตที่พอเพียง : 25. เลี้ยงน้อง


• เรามีกัน ๗ คนพี่น้อง     ผมเป็นคนโต    น้องคนรองอายุห่างจากผม ๕ ปี    เพราะจริงๆ แล้ว น้องสองคนถัดจากผมตายไป    คนถัดจากผมเป็นผู้หญิง ตายจากโรคคอตีบตอนอายุขวบกว่า    เมื่อเป็นหมอแล้วพ่อแม่เล่าให้ฟังผมเสียววาบ    ว่าผมรอดมาได้อย่างไรที่ไม่ติดโรคจากน้อง     นับได้ว่าผมเป็นคนเดนตายได้เหมือนกัน
• พูดเรื่องเดนตาย     ผมว่าคนเราทุกคนเดนตายทั้งนั้น    แม่เล่าว่าผมคลอดโดย “แม่ทาน” (หมอตำแย) ชื่อยายอุ่น    ยายอุ่นบอกว่าเด็กสายรกพันคอ    นี่ก็เดนตาย    เพราะมีความผิดปกติ คือสายสะดือ หรือสายรกยาวผิดปกติ    และพันคอ   หากรัดคอ ก็ตาย หรือสมองไม่เติบโต    ตอนผมอายุขวบเศษ พ่อแม่หนีญี่ปุ่นไปอยู่บ้านนอกออกไปอีก    โดยอพยพทางเรือ   ไปกัน ๓ คน คือพ่อ แม่ และผม    เรือเป็นเรือแจว    พ่อแจวอยู่ข้างหลัง    แม่นั่งหน้าและช่วยพาย    ผมนอนอยู่บนเบาะบนตักแม่    เชือกแจวขาด พ่อตกน้ำและเรือคว่ำ     ทุกคนตกน้ำหมดรวมทั้งผม ซึ่งจมน้ำลงไป    แม่เป็นผู้คว้าตัวขึ้นมา    นี่ก็เดนตาย
• น้องคนที่ผมจำได้ว่าช่วยแม่เลี้ยง คือน้องคนที่สามถัดจากผม อายุห่างจากผม ๗ ปี     ผมช่วยแม่ชงนมให้กิน จำได้ว่าเป็นนมผงยี่ห้อ คลิม (Klim)   คอยเช็ดเยี่ยวเช็ดขี้    น้องอยู่ในคอก เราช่วยเล่นบ้าง   อุ้มเวลาน้องร้องบ้าง
• เวลาน้องจะนอน ก็เอาขึ้นเปล   เขาเรียกเปลญวน   พื้นเป็นไม้ ที่กั้นสี่ด้านเป็นเชือกถัก มีเชือกโยงขึ้นไปแขวนกับขื่อบ้าน   ที่พื้นเปลรองเบาะ  (เราเรียก เมาะ)  บนเบาะมีผ้ายางรอง แล้วจึงรองผ้าอ้อม     ผมช่วยเอาน้องนอน ไกวเปล และร้องเพลงกล่อม   พอน้องหลับก็หยุดกล่อมได้    แต่ต้องไกวเปลอยู่ตลอดเวลา     เพราะถ้าหยุดไกว น้องจะตื่น    ตื่นเฉยๆ ไม่เป็นไร    แต่ถ้าตื่นและร้องผมก็จะถูกแม่ดุ ว่าขี้เกียจไกวเปล    (ซึ่งเป็นความจริง)
• การร้องเพลงกล่อมเด็กมีเพลงมาตรฐานคือเพลงเอ่เอ   เอ่เอ เด็กน้อยนอนเปล ลักข้าวเม่าเขากิน เขาจับตัวได้ - - - ผมจำได้แค่นี้    จริงๆ แล้วเพลงอะไรก็ได้ร้องไปเรื่อยๆ    เป็นการทำเสียงให้เด็กเพลิดเพลินและรู้สึกว่ามีเพื่อน
• พอน้องโตหน่อย เราก็ “กระเดียด”  เอาน้อง “เข้าเอว” ไปเที่ยว    คำเหล่านี้เป็นคำที่เราใช้กันในภาษาปักษ์ใต้  
• น้องอายุได้สัก ๒ เดือนแม่จะทำข้าวบดให้กิน    เอาข้าวสวยมาใส่น้ำ ราดน้ำต้มหมูหรือไก่ บดจนละเอียดเป็นแป้ง    อาจคลุกไข่แดง    ให้ผมป้อนน้อง    ตอนหลังผมทำเองได้ทั้งหมด    วิชานี้วันหลังเราเอามาใช้เลี้ยงลูกของเราเองได้ด้วย    ทำเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
• เวลาน้องเป็นหวัด จะมีขี้มูกไหล    ผมมีหน้าที่เช็ดขี้มูกให้น้อง    แต่น้องมักคอยปัดไม่ให้เราเช็ดเพราะรำคาญ    ถ้าเราเช็ดไม่ทัน พอขี้มูกไหลลงมาค้างอยู่น้องจะเอามือป้ายเช็ดไปข้างแก้ม    ทำให้แก้มมีคราบขี้มูก ซึ่งแสดงว่าผมไม่ได้คอยเช็ดให้    ก็จะโดนแม่ดุ    เด็กๆ แถวบ้านผมสองข้างแก้มมีคราบขี้มูกกันทั้งนั้น    ตอนเรียนชั้นมัธยมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเพ็ง ครูและเพื่อนๆ เรียก “อ้ายขี้มูก”     คือเป็นปกติที่จะมีขี้มูกสีออกเขียวไหลย้อยลงมาจากรูจมูก    พอลงมาสักครึ่งทางของริมฝีปาก ก็สูดขึ้นไปทีหนึ่ง    เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด   เวลานี่ท่านอาจารย์เพ็งเป็นพระภิกษุเจ้าอาวาสวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่ชุมพร
• น้องคนรองจากผมชอบไปเที่ยวบ้าน แปะขุ้น (แปะแปลว่าลุง) ซึ่งอยู่ในตลาด (ตลาดท่ายาง) ซึ่งอยู่ขนานไปกับคลอง    ผมมีหน้าที่พาน้องไป และตัวเองก็ได้เที่ยวด้วย    แปะขุ้นรักน้องคนนี้มาก   พอไปถึงท่านก็เก็บ ย่าหมู (ฝรั่ง) ให้กิน   หน้าชมพู่เราก็ได้กินชมพู่    บ้านแปะขุ้นมีพื้นซีเมนต์ขัดมัน ผมสงสัยมากว่าก้อนหินใหญ่โตขนาดนี้เอามาจากไหน    ถามแปะขุ้นท่านก็หัวเราะหึๆ และว่าเอามาจากเขา    เลยหน้าบ้านแปะขุ้นไปหน่อยเป็นป่าจาก    ถ้ามีลูกจากแปะขุ้นก็ไปตัดเอามาผ่าให้เรากิน   ผมชอบกินลูกจากมาก
• ตอนหลังน้องคนนี้ติดใจแปะขุ้นและไปอยู่บ้านแปะขุ้นครั้งละหลายๆ วัน    และไปได้นิสัย “ไชคอ” มา     คือก่อนนอนต้องมีคนกอดและน้องต้องเอามือของน้องเกาคอคนที่นอนเป็นเพื่อน จึงจะหลับ    ผมก็มีหน้าที่นอนให้น้อง “ไชคอ” อยู่ระยะหนึ่ง

วิจารณ์ พานิช
๑๙ พค. ๔๙
พัทลุง

หมายเลขบันทึก: 30108เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2006 10:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม 2012 02:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
แอบมาเมียงมอง..แต่ไม่กล้าให้ความเห็น..แอบมาแลหลายครั้ง อย่างกลัวๆ กล้า...แต่ครานี้ขำ...ขำหน้าที่ตอนท้ายของอาจารย์ที่มีต่อน้อง...สุขใจ..ก็เลยขอทิ้งรอย..ว่า..อ่านไปยิ้มไปขำไป..คะ (ยิ้มๆๆ..ขำๆๆ...)
  • ผมรู้สึกดีที่ได้เลี้ยงน้องแทนแม่เหมือนคุณหมอ
  • มีความสุขดีที่คิดถึงเรื่องเก่าๆ  สงสัยผมเริ่มอายุมากแล้วครับ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท