พุทธวิธีในการสอน


วิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบสก อุบาสิกา หรือบุคคลทั่วไปทั้งเทวดาหรือมนุษย์

        พุทธวิธีในการสอนหมายถึง  วิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัททั้ง  4  คือ  ภิกษุ  ภิกษุณี   อุบสก  อุบาสิกา   หรือบุคคลทั่วไปทั้งเทวดาหรือมนุษย์  ตามพระนามที่ได้รับยกย่องว่า  สตฺถา  เทวมนุสฺสานํ  ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

1.  จุดมุ่งหมายในการที่ทรงสอน  3  อย่าง

       วศิน  อินทสระ  (2538,  หน้า  8-37)    กล่าวถึง  จุดมุ่งหมายในการที่ทรงสอนของพระพุทธองค์นั้นประกอบไปด้วยลักษณะดังต่อไปนี้

      1)  อภิญญายธรรมเทศนา   ทรงสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้จริงเห็นแจ้งในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น  หมายความว่า  สิ่งที่ทรงรู้แล้ว เห็นแล้ว  แต่เมื่อทรงว่าไม่จำเป็นสำหรับสาวกนั้น ๆ  เหมือนครูที่มีความรู้สูงมาก  แต่ถึงกระนั้นก็ย่อมนำเอาเฉพาะความรู้เท่าที่จำเป็นแก่ศิษย์ในขั้นนั้น ๆ มาสอนเท่าที่ศิษย์จะรับได้เพื่อประโยชน์แก่ศิษย์  อนึ่งเหมือนบิดา/มารดา แม้มีทรัพย์มากปานใดก็ย่อมให้ทรัพย์แก่บุตรตามควรแก่วัย และความจำเป็นของบุตรนั้น 

      2)  สนิธรรมเทศนา   จุดมุ่งหมายในการสอน คือ  เพื่อให้ผู้ฟังตรองตามแล้วเห็นจริงได้  ทรงแสดงธรรมอย่างมีเหตุผลที่ผู้ฟังพอตรองตามให้เห็นด้วยตนเอง  เพราะพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ไม่ยากเกินไปจนถึงกับตรองตามแล้วก็ไม่เห็นและไม่ง่ายเกินไปจนไม่ต้องตรองขบคิดก็เห็นได้ พุทธวิธีในการสอนจึงอยู่ท่ามกลางระหว่างความยากเกินไปกับความง่ายเกินไป  ส่วนใหญ่ทรงสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตนเอง เป็นต้น

       3)  ปาฏิหาริยธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้รับผลแห่งการปฏิบัติ  ตามสมควร ทรงแสดงธรรมมีคุณเป็นอัศจรรย์  สามารถยังผู้ปฏิบัติตามให้ได้รับผลตามสมควรแก่กำลังแห่งการปฏิบัติของตนๆ  ในบรรดาปาฏิหาริย์ทั้ง  3  นั้น  พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ  อนุศาสนียปาฏิหาริย์  ว่าดีที่สุด  ประณีตที่สุดและเป็นประโยชน์ที่สุด  ข้อนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง  พระพุทธศาสนาที่ดำรงเป็นประโยชน์แก่มหาชนมาจนกระทั้งบัดนี้ก็ด้วยอานุภาพของ  อนุศาสนีปาฏิหาริย์ นั่นเอง   ทรงเน้นการปฏิบัติตาม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพื่อประโยชน์ของผู้ปฏิบัติว่าเป็นการบูชาพระองค์อย่างยิ่ง  มีเรื่องราวที่เป็นหลักฐานในสมัยพุทธกาลนั้น

2.  วิธีที่ทรงสอน

        วศิน  อินทสระ  (2538,  หน้า  8-37)   กล่าวไว้ว่า  วิธีที่ทรงสอนนั้นมีเป็นจำนวนมาก  แต่..ในที่นี้ขอยกมาเพียง  5 วิธีคือ

              1)  ทรงสอนโดยวิธีเอกังสลักษณะ  คือ  ทรงสอนยืนยันไปข้างเดียว  เช่น  ความดีมีผลเป็นสุข   ความชั่วมีผลเป็นทุกข์  หรือกุศลเป็นสิ่งที่ควรบำเพ็ญ  อกุศลเป็นสิ่งที่ควรละ

              2ทรงสอนโดยวิธีภัชชลักษณะ  คือ  ทรงแยกประเด็นให้เห็นชัดเจน  เป็นปัญหาที่ไม่สามารถตอบโดยประเด็นเดียว  แต่ต้องแยกตอบให้เห็นอย่างชัดเจน

              3)  ทรงสอนด้วยปฏิปุจฉาลักษณะ คือ  ปัญหาที่ควรตอบโดยย้อนถามเสียก่อน  เช่น จักษุฉันใด โสตะฉันนั้น  โสตะฉันใด  จักษุก็ฉันนั้น  ใช้ไหม..?  พึงย้อนถามว่า             มุ่งความหมายในแง่ใด  ถ้าถามโดยหมายถึงแง่ให้ดูหรือเห็น  ก็ไม่ใช่  แต่ถ้ามุ่งหมายแง่ว่าไม่เที่ยงก็ใช่

              4)  ทรงสอนด้วยฐปนลักษณะ  คือ  พักปัญหาไว้ไม่พึงพยากรณ์  คือปัญหาที่พึงยับยั้ง  หรือพับเสีย  ไม่ควรตอบเรื่องนั้น  เช่น  ถามว่า  ชีวะกับสรีระ  คือสิ่งเดียวกัน  ใช่ไหม..?

                5)   ทรงสอนด้วยอุปมาลักษณะ   คือ   ทรงสอนแบบเปรียบเทียบ  เช่นทรงเปรียบเทียบภิกษุด้วยผ้าเปลือกไม่และผ้ากาสี  ทรงเปรียบเทียบมักขลิโคศาลว่าเหมือนผ้าที่ทำด้วยผมคน  ซึ่งเป็นวิธีการที่ทรงใช้บ่อยมากที่สุด  เพราะทำให้ผู้ฟังมองเห็นภาพและเข้าใจง่าย  โดยไม่ต้องใช้เวลามากและยาวนาน  คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยากปรากฏหมายความเด่นชัดเจนออกมา

 

3.  ท่าทีที่ทรงสอน

           วศิน  อินทสระ  (2538, หน้า 8-37)  กล่าวไว้ว่า  ท่าทีที่พระพุทธองค์ทรงสอนดังนี้

              1.  ทรงสอนอย่างละมุนละม่อม  เช่นที่ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจะเป็นความงามหาน้อยไม่  ถ้าพวกเธอผู้บวชในธรรมวินัยที่เรากล่าวไว้ดีแล้วนี้  จะพึงเป็นผู้มีความอดทน  มีความสุภาพ”

              2.  ทรงสอนอย่างเข้มงวดรุนแรง   การสอนในลักษณะนี้เป็นการสอนที่รุนแรงของพระพุทธองค์  ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับอุปนิสัย  หรืออินทรีย์ของเวไนยสัตว์ทำนองเดียวกันกับช่างเหล็กจะต้องใช้ไฟแรงแก่เหล็กที่แข็งกล้า

             3.  ทรงสอนอย่างข้อร้องวิงวอน  มีข้อธรรมในธรรมทายาทสูตร  เป็นตัวอย่างแห่ง การสอนอย่างขอร้องวิงวอน

        พุทธวิธีในการสอนมีเป็นเอนกปริยาย  นำมากล่าวไว้ในที่นี้เพียงเล็กน้อยพอเป็นตัวอย่าง  เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงเป็นบรมครูของโลก  ผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาและพระพุทธจริยาอย่างสุขุมรอบคอบ  สังเกตพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการย่อมได้แบบอย่างอันดีในการสอน แม้มิได้เรียนวิชาครูในสมัยปัจจุบันมาเลยก็อาจสอนให้เป็นที่ประทับใจของผู้เรียนได้เหมือนกันโดยได้อาศัยหลักของพระพุทธองค์นั่นเองเป็นแนวทาง

 

4.   พระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าที่ควรสังเกต

       พระธรรมปิฏก (ประยุทธ์  ปยุตฺโต,  2542) กล่าวถึง  พระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าที่ควรสังเกต  ไว้ดังต่อไปนี้

        1.  ทรงสอนสิ่งที่เป็นจริง  และเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง

        2.  ทรงรู้เข้าใจสิ่งที่สอนอย่างถ่องแท้สมบูรณ์

       3. ทรงสอนด้วยเมตตา  มุ่งประโยชน์แก่ผู้รับคำสอนเป็นที่ตั้ง ไม่หวังผลตอบแทน

       4. ทรงทำได้จริงอย่างที่สอน  เป็นตัวอย่างที่ดี

       5. ทรงมีบุคลิกภาพโน้มน้าวจิตใจให้เข้าใกล้ชิดสนิทสนมและพึงพอใจได้ความสุข

       6. ทรงมีหลักการสอน  และวิธีสอนยอดเยี่ยม

 

5.  หลักทั่วไปในการสอน

      1.   เกี่ยวกับเนื้อหา หรือเรื่องที่สอน

          1.1 สอนจากสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจง่าย  หรือรู้เห็นเข้าใจอยู่แล้ว ไปหาสิ่งที่เห็นเข้าใจได้ยากหรือยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ

          1.2  สอนเนื้อเรื่องที่ค่อยลุ่มลึก ยากลงไปตามลำดับขั้น และความต่อเนื่องกันเป็นสายลงไป    อย่างที่เรียกว่า    สอนเป็นอนุบุพพิกถา..

          1.3  ถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้ ก็สอนด้วยของจริง ให้ผู้เรียนได้ดู ได้เห็น ได้ฟังเอง   อย่างที่เรียกว่า   ประสบการณ์ตรง

          1.4  สอนตรงเนื้อหา ตรงเรื่อง คุมอยู่ในเรื่อง มีจุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอกเรื่องโดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเนื้อหา

          1.5  สอนมีเหตุผล ตรองตามเห็นจริงได้ อย่างที่เรียกว่า  สนิทานํ

          1.6  สอนเท่าที่จำเป็นพอดี สำหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้การเรียนรู้ได้ผล ไม่ใช่สอนเท่าที่ตนรู้ หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก

          1.7  สอนสิ่งที่มีความหมาย ควรที่เขาจะเรียนรู้ และเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย จึงตรัสพระวาจาตามหลัก  6  ประการคือ

         1)   คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รัก ที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส

        2)   คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส

        3)   คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - เลือกกาลตรัส

       4)   คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส

       5)   คำพูดที่จริง ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส

       6)   คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - เลือกกาลตรัส

       ลักษณะของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ คือ  ทรงเป็นกาลวาที   สัจจวาที  ภูตวาที อัตถวาที ธรรมวาที   วินัยวาที

      2.  เกี่ยวกับตัวผู้เรียน

           2.1  รู้  คำนึงถึง  และสอนให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล

         2.2  ปรับวิธีสอนผ่อนให้เหมาะกับบุคคล   แม้สอนเรื่องเดียวกันแต่ต่างบุคคล อาจใช้ต่างวิธี

          2.3  นอกจากคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแล้ว ผู้สอนยังจะต้องคำนึงถึงความพร้อม ความสุกงอม ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ หรือญาณ ที่บาลี เรียกว่า ปริปากะ ของผู้เรียนแต่ละบุคคลเป็นราย ๆ ไปด้วย

          2.4  สอนโดยให้ผู้เรียนลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจน แม่นยำและได้ผลจริง เช่น   ทรงสอนพระจูฬปันถกผู้โง่เขลาด้วยการให้นำผ้าขาวไปลูบคลำ...

           2.5  การสอนดำเนินไปในรูปที่ให้รู้สึกว่าผู้เรียนกับผู้สอนมีบทบาทร่วมกัน ในการแสวงความจริง ให้มีการแสดงความคิดเห็นโต้ตอบเสรี  หลักนี้เป็นข้อสำคัญในวิธีการแห่งปัญญา ซึ่งต้องการอิสรภาพในทางความคิด และโดยวิธีนี้เมื่อเข้าถึงความจริง ผู้เรียนก็จะรู้สึกว่าตนได้มองเห็นความจริงด้วยตนเอง และมีความชัดเจนมั่นใจ หลักนี้เป็นหลักที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นประจำ และมักมาในรูปการถาม-ตอบ เอาใจใส่บุคคลที่ควรได้รับความสนใจพิเศษเป็นรายๆ ไปตามควรแก่กาลเทศะ และเหตุการณ์... ช่วยเหลือเอาใจใส่คนที่ด้อย ที่มีปัญหา

         2.6  เอาใจใส่บุคคลที่ควรได้รับความสนใจพิเศษเป็นรายๆ  ไปตามควรแก่กาลเทศะ  และเหตุการณ์  เช่น  ชาวนาคนหนึ่งตั้งใจไว้แต่กลางคืนว่าจะไปฟังพุทธเทศนา  บังเอิญวัวหายก็รีบออกไปตามหาจนได้วัวกลับมาแล้วก็รีบไปฟังธรรมแต่ก็ช้ามาก  แต่ใจก็มุ่งมั่นคิดว่าทันฟังตอนท้ายหน่อยก็ยังดี  ไปถึงวัดปรากฏว่าพระพุทธเจ้ายังทรงประทับรอนิ่งๆ  ไม่เริ่มแสดง  ยิ่งกว่านั้นยังจัดหาอาหารให้เขารับประทานจนอิ่มสบาย  แล้วจึงทรงเริ่มแสดงธรรม  เป็นต้น

         2.7  ช่วยเอาใจใส่คนที่ด้อย  ที่มีปัญหา  ฯลฯ

 

 3.  เกี่ยวกับตัวการสอน

         1. ในการสอนนั้น การเริ่มต้นเป็นจุดสำคัญมากอย่างหนึ่ง  การเริ่มต้นที่ดีมีส่วนช่วยให้การสอนสำเร็จผลดีเป็นอย่างมาก อย่างน้อย   ก็เป็นเครื่องดึงความสนใจ   และนำเข้าสู่เนื้อหาได้ พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีเริ่มต้นที่น่าสนใจมาก โดยปกติพระองค์จะไม่ทรงเริ่มสอนด้วยการเข้าสู่เนื้อหาธรรมที่เดียว แต่จะทรงเริ่มสนทนากับผู้ทรงพบ   หรือผู้มาเฝ้าด้วยเรื่องที่เขารู้เข้าใจดี หรือสนใจอยู่

        2. สร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลินไม่ให้ตึงเครียด ไม่ให้เกิดความอึดอัดใจ และให้เกียรติแก่ผู้เรียน ให้เขามีความภูมิใจในตัว

        3.  สอนมุ่งเนื้อหา มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่สอนเป็นสำคัญ ไม่กระทบตนและผู้อื่น ไม่มุ่งยกตน ไม่มุ่งเสียดสีใครๆ...

        4.  สอนโดยเคารพ คือ ตั้งใจสอน ทำจริง ด้วยความรู้สึกว่าเป็นสิ่งมีค่า มองเห็นความสำคัญของผู้เรียน และงานสั่งสอนนั้น ไม่ใช้สักว่าทำ หรือเห็นผู้เรียนโง่เขลา หรือเห็นเป็นชั้นต่ำๆ

        5.  ใช้ภาษาสุภาพ นุ่มนวล ไม่หยาบคาย ชวนให้สบายใจ สละสลวย เข้าใจง่าย   พระสมณโคดมมีพระดำรัสไพเราะ  รู้จักตรัสถ้อยคำได้งดงาม  มีพระวาจาสุภาพสละสลวย  ไม่มีโทษ  ยังผู้ฟังให้เข้าใจเนื้อความได้ชัดแจ้ง

       ขอนำพุทธพจน์แห่งหนึ่ง ที่ตรัสสอนภิกษุผู้แสดงธรรมเรียกกันว่า องค์แห่งพระธรรมกถึก มาแสดงไว้ดังนี้

       "อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำได้ง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่น พึงตั้งธรรม   5  อย่างไว้ในใจ  คือ

               1.  เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ

               2.  เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ

               3.  เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา

               4.  เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส

               5.  เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตน และผู้อื่น "

6.  ลีลาการสอน

        คุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอน  4  อย่าง ดังนี้

        1.  อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือจูงมือไปดูเห็นกับตา (สันทัสสนา)

       2.  ชักจูงใจให้เห็นจริงด้วย   ชวนให้คล้อยตามจนต้องยอมรับ    และนำไปปฏิบัติ (สมาทปนา)

       3.  เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก  (สมุตตเตชนา)

       4.  ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากการปฏิบัติ  (สัมปหังสนา)

        อาจผูกเป็นคำสั้นๆ  ได้ว่า   แจ่มแจ้ง - จูงใจ - หาญกล้า - ร่าเริง   หรือ  ชี้ชัด - เชิญชวน  คึกคัก  เบิกบาน

 

7.  วิธีสอนแบบต่างๆ

       วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า มีหลายแบบหลายอย่าง ที่น่าสังเกต หรือพบบ่อย คงจะได้แก่วิธีต่อไปนี้     1.  สนทนา (แบบสากัจฉา)

                            2.  แบบบรรยาย

                            3.  แบบตอบปัญหา ท่านแยกประเภทปัญหาไว้ตามลักษณะวิธีตอบเป็น 4 อย่างคือ

          1)  ปัญหาที่พึงตอบตรงไปตรงมาตายตัว ... (เอกังสพยากรณียปัญหา)

          2)  ปัญหาที่พึงย้อนถามแล้วจึงแก้ ... (ปฎิปุจฉาพยากรณียปัญหา)

          3)  ปัญหาที่จะต้องแยกความตอบ ... (วิภัชชพยากรณียปัญหา)

          4)  ปัญหาที่พึงยับยั้งเสีย  (ฐปนียปัญหา)  ได้แก่   ปัญหาที่ถามนอกเรื่องไร้ประโยชน์ อันจักเป็นเหตุให้เขว ยืดเยื้อ สิ้นเปลืองเวลาเปล่า พึงยับยั้งเสีย  แล้วชักนำผู้ถามกลับเข้าสู่แนวเรื่องที่ประสงค์ต่อไป

                         4.  แบบวางกฎข้อบังคับ   เมื่อเกิดเรื่องมีภิกษุกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง  ขึ้นเป็นครั้งแรก

 

8.  กลวิธี และอุบายประกอบการสอน

      1.  การยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทานประกอบ การยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย และการเล่านิทานประกอบการสอนช่วยให้เข้าใจความได้ง่าย    และชัดเจน   ช่วยให้จำแม่นยำ   เห็นจริงและเกิดความเพลิดเพลิน ทำให้การเรียนการสอนมีรสยิ่งขึ้น...

     2.  การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา    คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก   ปรากฏความหมายเด่นชัดออกมา และเข้าใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะมักใช้ในการอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรม หรือแม้เปรียบเรื่องที่เป็นรูปธรรมด้วยข้ออุปมาแบบรูปธรรม ก็ช่วยให้ความหนักแน่นเข้า... การใช้อุปมานี้ น่าจะเป็นกลวิธีประกอบการสอนที่พระพุทธองค์ทรงใช้มากที่สุด มากกว่ากลวิธีอื่นใด

       3.  การใช้อุปกรณ์การสอน ในสมัยพุทธกาล ย่อมไม่มีอุปกรณ์การสอนชนิดต่างๆ ที่จัดทำขึ้นไว้เพื่อการสอนโดยเฉพาะ เหมือนสมัยปัจจุบัน เพราะยังไม่มีการจัดการศึกษาเป็นระบบขึ้นมากอย่างกว้างขวาง หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็คงต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีในธรรมชาติ หรือเครื่องใช้ต่าง ๆ  ที่ผู้คนใช้กันอยู่

        4. การทำเป็นตัวอย่าง  วิธีสอนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง  โดยเฉพาะในทางจริยธรรม  คือการทำเป็นตัวอย่างซึ่งเป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวสอนเป็นทำนองการสาธิตให้ดูแต่ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำนั้นเป็นไปในรูปทรงเป็นผู้นำที่ดี การสอนโดยทำเป็นตัวอย่าง ก็คือ พระจริยวัตรอันดีงามที่เป็นอยู่โดยปกตินั้นเอง แต่ที่ทรงปฏิบัติเป็นเรื่องราวเฉพาะก็มี...

        5.  การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่   การเล่นภาษาและการเล่นคำ เป็นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ ข้อนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระพุทธเจ้าที่มีรอบไปทุกด้าน...แม้ในการสอนหลักธรรมทั่วไป พระองค์ก็ทรงรับเอาคำศัพท์ที่มีอยู่แต่เดิมในลัทธิศาสนาเก่ามาใช้ แต่ทรงกำหนดความหมายใหม่   ซึ่งเป็นวิธีการช่วยให้ผู้ฟังผู้เรียนหันมาสนใจ และกำหนดคำสอนได้ง่าย เพียงแต่มาทำความเข้าใจเสียใหม่เท่านั้น และเป็นการช่วยให้มีการพิจารณาเปรียบเทียบไปในตัวด้วยว่าอย่างไหนถูก อย่างไหนผิดอย่างไร จึงเห็นได้ว่า คำว่า พรหม พราหมณ์ อริยะ ยัญ ตบะ ไฟบูชายัญ ฯลฯ ซึ่งคำในลัทธิศาสนาเดิม  ก็มีใช้ในพระพุทธศาสนาด้วยทั้งสิ้น แต่มีความหมายต่างออกไปเป็นอย่างใหม่

          6. อุบายเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายสำคัญในการเผยแพร่ศาสนา ในการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า เริ่มแต่ระยะแรกประดิษฐานพระพุทธศาสนาจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงดำเนินพุทธกิจด้วยพระพุทโธบายอย่าง   ที่เรียกว่า    การวางแผนที่ได้ผลยิ่ง ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นใดถิ่นหนึ่งควรไปโปรดใครก่อน การรู้จักจังหวะ และโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะ และโอกาสให้เป็นประโยชน์ ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียให้น้อยที่สุด ก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ  สุดแต่จะใช้กลวิธีใดให้การสอนได้ผลดีที่สุด  ก็จะทำในทางนั้น  ไม่กลัวว่าจะเสียเกียรติไม่กลัวจะถูกรู้สึกว่าแพ้

        7. การลงโทษ และให้รางวัล การใช้อำนาจลงโทษ ไม่ใช่การฝึกคนของพระพุทธเจ้า แม้ในการแสดงธรรมตามปกติพระองค์ ก็แสดงไปตามเนื้อหาธรรมไม่กระทบกระทั้งใคร...     การสอนไม่ต้องลงโทษ  เป็นการแสดงความสามารถของผู้สอนด้วย ในระดับสามัญ สำหรับผู้สอนทั่วไป อาจต้องคิดคำนึงว่าการลงโทษ   ควรมีหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร แต่ผู้ที่สอนคนได้สำเร็จผล  โดยไม่ต้องใช้อาญาโทษเลย ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในการสอนมากที่สุด

          8. กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นต่างครั้ง ต่างคราว ย่อมมีลักษณะแตกต่างกันไปไม่มีที่สิ้นสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมอาศัยปฏิภาณ คือ ความสามารถในการประยุกต์หลัก วิธีการ และกลวิธีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะครั้ง เฉพาะคราวไป

 

          พระธรรมวโรดม  (บุญมา  คุณสมฺปนฺโน,  2548,  หน้า 91) กล่าวไว้ว่า  หลักการของครู / ผู้สอนที่ดีทั่วไปต้องมีลักษณะ  4  ประการ คือ

               1)  มีความรู้ดี                           2)  มีการสอนดี

               3)    มีการปกครองดี                   4)   มีความประพฤติดี

1.  ครูที่มีความรู้ดี  ต้องประกอบด้วยความรู้  5  ประการ คือ

          1.  ความรู้ธรรม  คือมีความรู้ถึงความหมายของธรรมะแต่ละหมวดแต่ละข้อโดยละเอียด  ทั้งอรรถและพยัญชนะ  สามารถวินิจฉัยได้ว่า  อะไรถูกอะไรผิด  โดยปราศจากความสงสัย

          2.  ความรู้ธรรมดา  คือ  มีความรู้ถึงสภาพธรรมดาโลก  รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของชาวโลก  ตลอดถึงรู้คติธรรมดาของมนุษย์  คือ เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย เป็นต้น

          3.  ความรู้ภาษา  คือ  รู้ภาษาธรรมะในทางพระพุทธศาสนา  ได้แก่  รู้ความมุ่งหมายของพระธรรมคำสั่งสอน

          4. ความรู้เหตุการณ์ คือ   รู้เรื่องราวต่างๆ  ของชาวโลก เป็นคนทันต่อเหตุการณ์ของบ้านเมืองของโลก

          5.  ความรู้คติ คือ ความรู้ความนิยมของชาวโลก  เป็นคนทันต่อเหตุการณ์บ้านเมืองของโลก  คติธรรมของนักปราชญ์  นักประพันธ์  ทัศนคติต่าง ๆ ของโลก  เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา

2.  ครูผู้สอนที่มีการสอนดี   ต้องประกอบด้วยลักษณะ  7  ประการเหล่านี้ คือ 

          1.  ต้องเตรียมการสอนมาดี 

         2.  ต้องเตรียมกระบวนการต่างๆ  ของการเรียนการสอนมาเรียบร้อย 

         3.  ต้องมีการเร้าใจ  เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียน

         4.  ต้องให้ผู้เรียนได้แสดงออกให้มากที่สุด

         5.  ต้องให้ผู้เรียนมีโอกาสใช้ประสาทสัมผัสทั้ง  6   ให้มากที่สุด     

         6.  ต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบอยู่ตลอดเวลาที่ทำการสอน 

         7.  ผู้สอนต้องยึดหลักการสอนที่ดี  คือ

 

หลักการสอนที่ดี  ควรประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ คือ

          1. สอนจากเรื่องง่าย ๆ ไปหาเรื่องยาก ๆ 

                   2.  สอนจากสิ่งที่นักเรียนรู้มาแล้ว ไปหาสิ่งที่ยังไม่รู้    

                   3.  สอนจาก(รูป)สิ่งที่มีตัวตน ไปหา(อรูป)สิ่งที่ไม่มีตัวตัน 

                   4.  สอนให้นักเรียนแสดงออกด้วยตัวเอง

                   5.  สอนจากส่วนปลีกย่อยไปหาส่วนรวม  

                   6.  สอนโดยวิธีครูบอกให้น้อยที่สุด 

                   7.  สอนให้ผู้เรียนค้นคิดพิจารณาหาเหตุผลได้ด้วยตนเอง 

ครู/ผู้สอนต้องมีการปกครองดี  ควรประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้  คือ 

         (1)   ไม่ตกอยู่ในอำนาจอคติ  4  ประการ 

        (2)   ให้ความสนใจแก่นักเรียนทุกรูปเสมอกัน 

        (3)   ใช้หลักปกครองแบบ  สระน้ำ  ต้นยอ  กอไผ่  

       (4)   ใช้หลักการปกครองแบบยุทธวิธี  คือ 

                   นิคฺคณฺเห  นิคฺคารหํ      กำหราบคนที่ควรกำหราบ 

                   ปคฺคณฺเห  ปคฺคารหํ      ยกย่องคนที่ควรยกย่อง 

       (5)  หมั่นเอาใจใส่ดูแลนักเรียนทั้งในเวลาเรียนและนอกเวลาเรียน

ครู/ผู้สอนที่มีความประพฤติดี  ควรประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้  คือ

          1.  สีลสมฺปนฺโน  อาจารสมฺปนฺโน  คือ  สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระ 

          2.  เครื่องนุ่งห่มสะอาด  สีผ้ากลมกลืนกัน  ไม่มีกลิ่นเหม็น  และนุ่งห่มเป็นปริมณฑล 

          3.  หนวด  เครา  เล็บมือ  เล็บเท้า  โกนและตัดเรียบร้อย 

          4.  มีความเสียสละ  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว 

          5. วางตัวได้เหมาะสมแก่กาละ  เทศะและบุคคลในที่ทุกสถานกาล

      

หมายเลขบันทึก: 300538เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2009 21:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 18:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

กราบนมัสการครับ ผมอ่านแล้วดีมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท