1. กรณีลูกจ้างได้รับเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ตามประกาศข้อ 1 (1) และ หรือ (2) และหรือ (3) และ (4) ด้วย ให้มีสิทธิเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณกับเงินได้อย่างอื่น ในการคำนวณเพื่อหักค่าใช้จ่ายให้นำเงินได้ดังกล่าวมาหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด แต่เฉพาะสำหรับเงินได้ตามข้อ 1 (4) ของประกาศฯ มีเงื่อนไขว่าต้องนำมาเปรียบเทียบกับเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยปีที่ทำงาน ซึ่งเงินเดือนเดือนสุดท้ายจะต้องไม่เกินจำนวนเงินเดือนถัวเฉลี่ย 12 เดือนสุดท้ายก่อนออกจากงานบวกร้อยละ 10 ของเงินเดือนถัวเฉลี่ยนั้น ถ้าเงินที่นายจ้างจ่ายตาม (4) มีจำนวนมากกว่าให้นำเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยปีที่ทำงานมาหักค่าใช้จ่ายแทนเงินได้ตาม (4) แต่ถ้าเงินที่นายจ้างจ่ายนั้นมีจำนวนน้อยกว่าให้นำเงินจำนวนตาม (4) มาหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งจำนวน
ตัวอย่างที่ 9 นาย ง ออกจากงานในวันที่ 1 ตุลาคม นายจ้างจ่ายเงินให้จำนวนหนึ่งโดยคำนวณจ่ายตามวิธีการเช่นเดียวกับการคำนวณบำเหน็จตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 200,000 บาท และจ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกอบงทุนสำรองเลี้ยงชีพ 500,000 บาท เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 220,000 บาท และเงินอีจำนวนหนึ่งตามหลักเกณฑ์ของนายจ้าง 600,000 บาท ในปีนั้นนาย ง ได้รับเงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท ติดต่อกันมาหลายปี จนในระยะ 3 เดือนก่อนออกจากงานได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 30,000 บาท ทำงานมาทั้งหมด 10 ปี นาย ง จะเลือกเสียภาษีเงินได้โดยไม่นำไปรวมคำนวณกับเงินได้อย่างอื่น
วิธีคำนวณ
(1) |
เงินที่นายจ้างจ่าย (200,000+500,000+220,000+600,000) |
= |
1,520,000 |
บาท |
(2) |
เงินเดือนเดือนสุดท้าย |
= |
30,000 |
บาท |
(3) |
เงินเดือนถัวเฉลี่ย+10% |
= |
22,500+2,250 |
บาท |
|
[(20,000×9)+(30,000×3)+10%]/12 |
= |
24,750 |
บาท |
(4) |
เงินเดือนเดือนสุดท้ายมากกว่าเงินเดือนถัวเฉลี่ยบวกร้อยละ 10 จึงใช้เงินเดือนถึงเฉลี่ยบวกร้อยละ 10 คูณด้วยปีที่ทำงานเป็นเงินได้ที่เป็นเกณฑ์หักค่าใช้จ่าย (24,750×10) |
= |
247,500 |
บาท |
หมายเหตุ กรณีนี้เงินที่จ่ายตามเกณฑ์นายจ้างมากกว่าเงินได้ตาม (4) ให้นำเงินได้ตาม (4) เป็นเกณฑ์หักค่าใช้จ่าย กรณีเงินที่จ่ายตามเกณฑ์นายจ้างจ่ายน้อยกว่าเงินได้ตาม (4) เช่น เงินที่นายจ้างจ่ายมีจำนวน 180,000 บาท ดังนั้นเงินได้ที่นำมาเป็นเกณฑ์หักค่าใช้จ่ายจะมีจำนวน (200,000+500,000+220,000+180,000) = 1,120,000
(5) |
รวมเงินได้ที่นำมาเป็นหลักเกณฑ์หักค่าใช้จ่าย |
|
|
|
|
(200,000+500,000+220,000+247,000) |
= |
1,167,500 |
บาท |
(6) |
หัก ค่าใช้จ่าย |
|
|
|
|
ค่าใช้จ่ายส่วนแรก (7,000×10) |
= |
70,000 |
บาท |
|
ค่าใช้จ่ายส่วนที่สอง (1,167,500-70,000)×50% |
= |
548,750 |
บาท |
|
รวมค่าใช้จ่าย (ส่วนแรก+ส่วนที่สอง) |
= |
618,750 |
บาท |
(7) |
เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย (1)-(6) |
= |
901,250 |
บาท |
|
ภาษีที่ต้องเสีย (100,000×5%)+(400,000×10%)+(401,250×20%) |
= |
125,250 |
บาท |
1.1.3 กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3 ได้แก่ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่าง อื่น ๆ และเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 4 ได้แก่ ดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไรฯ ให้คำนวณหักตามบัญชีอัตามภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากกรณีดังต่อไปนี้
กรณีที่หนึ่ง ให้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายร้อยละ 15 ได้แก่
1) ดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ ดอกเบี้ยเงินกู้ ดอกเบี้ยตั๋วเงินที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ดอกเบี้ยที่ได้จากสถาบันการเงินที่กฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
2) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนพันธบัตร หุ้นกู้หรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิ์ในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ทั้งนี้เฉพาะที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
3) ผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ให้ถือว่าผู้ออกตั๋วเงิน ผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือนิติบุคคลผู้โอนตั๋วเงินหรือตราสารดังกล่าวให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินและให้ผู้จ่ายเรียกเก็บภาษีเงินได้จากผู้รับในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้
ในกรณี 1) 2) หรือ 3) ข้างต้น ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตาที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราดังกล่าวโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่นก็ได้
กรณีที่สอง ให้หักภาษีได้ ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 ได้แก่ เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือประโยชน์อื่นใดที่ผู้รับ ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย (180 วัน) ได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย กองทุนรวมและสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ และผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราดังกล่าวโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่นก็ได้
สำหรับเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 4 (ข) ซึ่งได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะได้รับเครดิตภาษีในการคำนวณภาษีในการคำนวณภาษี โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยหักด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้น ได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับ ทั้งนี้เฉพาะผู้มีเงินได้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยหรือเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น เครดิตภาษีนี้จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนสิ้นปีภาษีเท่านั้น แต่ไม่เกี่ยวกับการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย
กรณีที่สาม ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ได้แก่ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญเป็นผู้จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้รับเงินมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้เอง
ตัวอย่างที่ 11 บริษัท โกมินทร์ จำกัด จ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้นายเพทาย บุษราคัม จำนวนดังต่อไปนี้
ครั้งที่ 1 เดือนมกราคม |
= |
50,000 |
บาท |
ครั้งที่ 2 เดือนมีนาคม |
= |
100,000 |
บาท |
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายครั้งที่ 1 |
= |
|
|
เงินได้ที่จ่ายครั้งที่ 1 |
= |
50,000 |
บาท |
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50,000×5%) |
= |
2,500 |
บาท |
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายครั้งที่ 2 |
|
|
|
เงินได้ที่จ่ายครั้งที่ 1 |
= |
50,000 |
บาท |
เงินได้ที่จ่ายครั้งที่ 2 |
= |
100,000 |
บาท |
รวมเงินได้ |
= |
150,000 |
บาท |
ภาษีที่คำนวณจากเงินได้ที่จ่าย 2 ครั้ง |
= |
10,000 |
บาท |
หัก ภาษีหัก ณ ที่จ่ายครั้งที่ 1 |
= |
2,500 |
บาท |
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายครั้งที่ 2 |
= |
7,500 |
บาท |
1.1.4 กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ได้แก่ เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สิน และเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 6 ได้แก่ เงินได้จากวิชาชีพอิสระที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้
ตัวอย่างที่ 12 บริษัท เสาวนีย์ จำกัด จ่ายเงินค่าสอบบัญชีให้แก่นายโทนี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเงิน 400,000 บาท
เงินได้ที่จ่าย |
= |
400,000 บาท |
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (400,000×15%) |
= |
60,000 บาท |
1.1.5 กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5, 6, 7 และ 8 แต่ไม่รวมถึงการจ่ายซื้อพืชผลทางการเกษตรและนอบจากกรณีตามข้อ 6 ที่ผู้จ่ายเป็นรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์กรบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งจ่ายเงินได้ให้แก่ผู้รับรายหนึ่ง ๆ มีจำนวนรวมทั้งสิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป แม้การจ่ายนั้นจะได้แบ่งจ่ายครั้งหนึ่ง ๆ ได้ถึง 10,000 บาทก็ดี ให้คำนวณหักภาษีในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พึงประเมิน ส่วนเงินได้ในการประกวดหรือแข่งขันให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้
ตัวอย่างที่ 13 กรมสรรพากรจ่ายเงินค่าซื้อเครื่องเขียนเป็นเงิน 200,000 บาท ให้แก่นายโกเมท รมณีย์
เงินได้ที่จ่าย |
= |
200,000 บาท |
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (200,000×1%) |
= |
2,000 บาท |
ตัวอย่างที่ 14 กรุงเทพฯ ได้จัดประกวดนางงาม และได้จ่ายรางวัลให้นางสาววีรอร ปิยพนธ์ ผู้ชนะการประกวดเป็นเงิน 30,000 บาท
เงินได้ที่จ่าย |
= |
300,000 บาท |
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (100,000×5%)+(200,000×10%) |
= |
5,000 บาท |
1.1.6 กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 เฉพาะที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งขายอสังหาริมทรัพย์หรือโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทน ให้คำนวณหักภาษีและนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน ในกรณีที่ไม่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้นำส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายใน 7 วัน นับแต่วันที่จ่ายเงินไม่ว่าตนจะได้หักภาษีไว้แล้วหรือไม่
กรณีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ให้คำนวณหักภาษี ณ ที่จ่ายดังนี้
1) เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา หรือการปกครองท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะเงินได้จากการขายในส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท ตลอดปีภาษี โดยให้หักยกเว้น 200,000 บาท ก่อนหักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของเงินได้ เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่หักและนำส่ง
2) เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจาก 1) ให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องหักและนำส่ง
ค่าใช้จ่ายเหมาตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาขึ้นอยู่กับจำนวนปีที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์ คือ
จำนวนปีที่ถือครอง |
1 |
2 |
3 |
4 |
5 |
6 |
7 |
8 ปีขึ้นไป |
หักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ |
92 |
84 |
77 |
71 |
65 |
60 |
55 |
50 |
เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรือที่ได้มาโดยมิได้มุ่งทางการค้าหรือหากำไร ผู้มีเงินได้อาจเลือกเสียภาษีตามวิธีการคำนวณข้างต้น (ซึ่งเป็นวิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย) แทนการนำไปรวมคำนวณภาษีตามปกติก็ได้ ภาษีที่คำนวณได้นี้ถ้าเกินร้อยละ 20 ของราคาขาย ก็ให้เสียเพียงร้อยละ 20 ของราคาขายเท่านั้น
ในกรณีที่เลือกเสียภาษีโดยนำไปรวมคำนวณภาษีตามปกติ ให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของเงินได้ตาม 1) หรือตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาตาม 2) แล้วแต่กรณี เหลือเท่าใดนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อย่างอื่น
ตัวอย่างที่ 15 นายนาราภัทร ปวีรา ขายที่ดินพร้อมทั้งบ้านซึ่งเป็นมรดกตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยได้รับมาเมื่อ 8 ปีที่แล้วให้แก่นายไวทิน ธนวัต เป็นเงิน 1,000,000 บาท คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายดังนี้
เงินได้จากการขายที่ดินมรดก |
= |
1,000,000 |
บาท |
ขั้นที่ 1 หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ |
= |
500,000 |
บาท |
คงเหลือ |
= |
500,000 |
บาท |
ขั้นที่ 2 หารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง (8 ปี) |
= |
500,000/8 |
|
เงินได้สุทธิ |
= |
62,500 |
บาท |
เป็นเงินภาษี (คำนวณตามอัตราภาษีเงินได้) |
= |
3,125 |
บาท |
ขั้นที่ 3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (3,125×8) |
= |
25,000 |
บาท |
ขอสอบถามกรณี ถ้าเงินถัวเฉลี่ย 12 เดือน บวกกับร้อยละ 10 แล้วมากกว่าจำนวนเงินเดือนสุดท้าย เราจำต้องนำเงินจำนวนไหนมาคิดหักค่าใช้จ่ายคะ
ขอบคุณค่ะ