หว้า ชาวฮินดูเรียก จามูนะ หรือ จามาน
มีส่วนเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติอยู่ 3 ตอน
ในตอนแรก คือเมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 8 ชันษา ในปีนั้นพระบิดาทรงจัดให้มีพระราชพิธีจรดพระนังคัล แรกนาขวัญ ที่ทุ่งนานอกเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งพระเจ้าสุทโธทนะทรงเป็นพระยาแรกนาด้วยพระองค์เอง และทรงโปรดให้พระราชโอรสเสด็จตามด้วย
ทรงประทับอยู่ใต้ต้นหว้า ซึ่งปฐมสมโพธิเรียกว่า ต้นชมพูพฤกษ์ เมื่อถึงเวลาแรกนา เหล่านางพระกำนัล ต่างชวนกันไปดูพระราชพิธีกันหมด ทิ้งพระองค์ไว้เพียงพระองค์เองใต้ต้นไม้ใหญ่ อันกวีท่านพรรณนาว่า กอปรด้วยสาขาแลใบ อันมีพรรณอันเขียวประหนึ่งอินทนิลคีรี มีปริมณฑลร่มเย็นเป็นรมณียสถาน ด้วยพระทัยที่บริสุทธิ์ อันจะได้บรรลุโพธิญาณ เมื่อได้อยู่ในสถานอันวิเวก จึงเจริญสมาธิจนบรรลุ ปฐมฌาน เป็นครั้งแรกใต้ต้นหว้านั้นเอง
ขณะนั้นแม้เป็นเวลาบ่ายคล้อย เงาต้นหว้ากลับไม่ได้ทอดคล้อยตามแสงตะวันไป หากทิ้งลงใต้ต้นไม้ราวกับเป็นเวลาเที่ยงวัน พระพี่เลี้ยงซึ่งวิ่งกลับมาหาเจ้าชายสิทธัตถะเห็นดังนั้น จึงวิ่งกลับไปทูลพระราชบิดา
พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อเสด็จมาทอดพระเนตร ถึงกับไหว้พระโอรสของพระองค์เองเป็นครั้งที่ 2 ด้วยความปิติในความอัศจรรย์
ต่อการที่พระราชบิดาวันทาพระโอรสนี้ มีเหตุให้เกิดขึ้นทั้งหมด 3 ครั้ง
ครั้งแรกหลังจากที่เจ้าชายประสูติ อสิตดาบส หรือ กาฬเทวินดาบส ซึ่งเป็นฤาษีมีที่พำนักอยู่เชิงเขาหิมพานต์ หรือหิมาลัย ได้มาถวายพระพร เมื่อได้เห็นพระลักษณะเจ้าชายต้องตามตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ก็แสดงอาการผิดสมณะ 3 อย่างคือ ยิ้มแย้ม(บางที่ว่าหัวเราะ) ร้องไห้ และก้มลงกราบพระบาทพระราชกุมาร
ที่ท่านแย้ม เพราะบุรุษลักษณะเช่นนี้ หากเป็นฆราวาส จะเป็นมหาจักรพรรดิที่เกรียงไกร หากเป็นนักบวช จะได้เป็นศาสดาเอก ที่ท่านร้องไห้ เพราะท่านแน่ใจว่า เจ้าชายจะออกบวช และเสียดายที่ตนมีอายุไม่ยืนยาวพอที่จะได้ฟังธรรมที่ราชกุมารประกาศ และที่ท่านกราบพระกุมาร ก็ด้วยเหตุต่างๆเหล่านี้
พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อเห็นพระดาบสไหว้พระโอรส จึงไหว้ตาม นั้นเป็นครั้งแรก
ครั้งสุดท้ายคือเมื่อเสด็จกลับไปเยี่ยมพระราชบิดาตามคำอาราธนา อันนับเป็นครั้งแรกที่เสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์หลังจากที่ทรงตรัสรู้
อีกเหตุการณ์หนึ่งของต้นหว้าคือ หลังจากที่ทรงแสดงพระธรรมวินัยจนมีสาวกบรรลุพระอรหันต์ได้ 60 รูป ทรงส่งพระอรหันต์ทั้ง 60 รูปนั้นไปประกาศพระศาสนา ส่วนพระองค์เอง ได้เสด็จกลับไปยังอุรุเวลาเสนานิคมอีกครั้ง เพื่อแสดงธรรมต่อชฎิล 3 พี่น้อง ซึ่งมีอิทธิพลต่อความเชื่อของประชาชนอย่างมากในช่วงเวลานั้น
ชฎิลพี่ชายใหญ่ คืออุรุเวลกัสสป ตั้งอาศรมบำเพ็ญพรต ประกาศตนเป็นพระอรหันต์ บูชาไฟอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราตอนเหนือ ได้ทูลนิมนต์ภัตตกิจ พระพุทธองค์ตรัสให้พระฤาษีเดินทางไปก่อน ในขณะนั้นเอง ทรงเหาะไปเก็บผลไม้ในป่าหิมพานต์ แล้วเสด็จไปถึงโรงเพลิง ก่อนที่พระฤาษีจะไปถึง
ในโรงไฟ ทรงปราบพญานาคที่อุรุเวลกัสสปบูชาจนสิ้นฤทธิ์ จนเวลาต่อมา ชฎิลทั้ง 3 พี่น้อง พากันเลิกพิธีบูชาไฟ หันมาเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยที่พระองค์ค้นพบ
หว้า คือหนึ่งในผลไม้ที่ทรงเก็บมานั้นเอง
อีกตอนหนึ่งคือหลังจากที่ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา แล้วยังไม่ทรงพบหนทางบรรลุโพธิญาณ ทรงมีพระดำริถึงเหตุการณ์ใต้ต้นหว้าเมื่อครั้งยังพระเยาว์ ว่าขณะนั้น ทรงอยู่ใต้ร่มเงาหว้าเพียงลำพังพระองค์ ทรงสงัดจากกาม จากอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌานอันเกิดแต่ความวิเวก นั่นคงเป็นหนทางแห่งการตรัสรู้กระมัง หากร่างกายผ่ายผอม จะบรรลุความสุขอย่างนั้นคงไม่ง่าย ถ้ากระไร เราพึงบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุกและขนมสดเถิด
เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ของหว้า อันมีความสัมพันธ์กับพุทธประวัติ
..................................................................
อ้างอิงเรื่อง และรูป
เหม เวชกร สมุดภาพพระพุทธประวัติ ธรรมสภา 35/270 จรัลสนิทวงศ์ 62 บางพลัด บางกอกน้อย กรุงเทพ
เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา เกษมอนันต์พริ้นติ้ง 02-809-7452-4
ศาสตรจารย์ พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ ไม้พุทธประวัติ สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด้จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชวังดุสิต กรุงเทพ
พนิตา อังจันทรเพ็ญ พระพุทธประวัติ สมุดภาพจิตรกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ 81 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ธรรมสภา 1 / 4-5 ถ.บรมราชชนนี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ
หิวลูกหว้าค่ะพี่ตุ๊กตา..แสดงว่าต้นหว้านั้นนานมาแล้วมีอยู่มากมายคู่กับป่าเขามาโดยตลอดเลยนะคะ..
คงอย่างนั้นมังคะ อยากลองชิมเหมือนกันค่ะ
สวัสดีครับคุณณัฐรดา
แวะมาดื่มด่ำรสธรรมะที่เผื่อแผ่ให้ครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีๆ ที่หาอ่านได้ยากมากสำหรับสุ คะ ได้รับเรื่องราวดีๆ ขอบคุณมากๆ คะ
เข้ามาเติมอาหารสมองความรู้ใหม่สำหรับผมครับ "หว้า"
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆครับ
นกกาเหว่าส่งเสียงร้องยามเช้า...คงจะเข้ากันได้กับลูกหว้า นะครับ ขอบพระคุณครับ
"หว้า"...ต้นไม้ในพุทธประวัติ ท่านสะกัดออกมาน่าเรียนรู้
สื่อภาพสวยด้วยข้อความน่าตามดู ขอคุณครูเมตตาพาพบธรรม
สวัสดีค่ะ
ตามมาอ่านได้ความรู้เพิ่มเติมค่ะ
หว้า ชาวฮินดูเรียก “จามูนะ” หรือ “จามาน”
ไม่เคยได้ทราบมาก่อนเลยค่ะ... น่าสนใจมาก ๆ เลย
จะตามอ่านต่อนะคะ
(^___^)
สวัสดีค่ะ
หนูมาติดตามอ่านเรื่องต้นไม้พุทธประวัติทุกบันทึกค่ะ
ปริ้นต์เอ้าท์ออกไปฝากคุณครูสอนสังคมและเพื่อน ๆด้วยค่ะ
หนูขอขอบพระคุณมากค่ะ
วันนี้หนูขึ้นบันทึกใหม่ค่ะ แต่ไม่มีคนรู้จัก เพราะหนูยังไม่เข้าใจระบบค่ะ
บันทึกของหนูอยู่ที่นี่นะคะ
ตามมาอ่านตอนที่สามครับ
จริงสิ ผมเกือบลืมไปแล้วว่ามีต้นไม้นี้ในพุทธประวัติด้วย
ขอบคุณครับ
ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ....
พอดีที่ข่วง(ลาน)แหล่งเรียนรู้ผะหญาล้านนา-สวนชาปิ้งหินไฟมีร่มต้นหว้าขอ..อนุญาตนำเรื่องนี้ไปพิมพ์ติดไว้ให้ผู้คนได้อ่านนะครับ...
ขอกุศลจงคุ้มครองดั่งร่มหว้าครับ....
ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน..พรหมมา
คุณ NIKHOM คะ
ดิฉันเคยอยู่เชียงใหม่ 5 ปี ชอบภาษาเมืองค่ะ เลยดีใจเป็นพิเศษที่ได้อ่านกำเมือง
ยินดีค่ะที่จำกรุณาเผยแพร่พรรณไม้พุทธประวัติค่ะ
ยินดีจ๊าดนักเจ้า
มาชม
เห็นในรูปนึกถึงตอนอยู่เมืองอินเดีย ข้างที่พักนักศึกษาในมหาวิทยาลัย...มีต้นไม้นี้ผลดกมาก
พวกลิงมากันเป็นฝูงมากิน เราก็กินมั่งรสฝาดอร่อย ๆ
เคยเดินชมถ้ำที่ทำทุกกรกิริยาของสมณะสิทธัตถะ ณ ภูเขาดงคะสิริ เคยเดินเลียบและข้ามลำธารแห่งแม่น้ำเนรัญชรา...ระลึกพุทธประวัติตอนนี้ละ...
อยากบอกว่า...ต้นไม้...หรือที่เรียก...ชมพูทวีป...เพราะแผ่นดินภารตะนี้มีต้นไม้หว้าชนิดนี้เยอะมากนั้นเอง...
ขอบพระคุณอาจารย์ umi มากค่ะ ที่กรุณามาเติมสิ่งที่ขาดไปให้บันทึกค่ะ
สวัสดี ครับ คุณณัฐรดา
ยกเก้าอี้ ที่บ้านอาจารย์ umi เหนื่อยมั้ย ครับ
นำน้ำเย็นมาเสริฟ์ ครับ