วิธีทำ KM ในองค์กรภาครัฐ (1) : ทำให้คนเห็นคุณค่าของ KM


         วันที่ 18 พ.ค.49  คุณวิชัย  จันทวาโร  แห่งบริษัท Global Intercommunication มาถ่ายวิดีโอ   เพื่อนำไปใช้ในงานนำเสนอการจัดการความรู้ของกระทรวงพาณิชย์ในวันที่ 22 พ.ค.49   คำถามของคุณวิชัยและข้อมูลการดำเนินการ KM ของหน่วยงานภาครัฐบางหน่วยงานทำให้ผมคิดว่าน่าจะลองเสนอความเห็นเรื่องวิธีทำ KM ในหน่วยงานภาครัฐ   คงจะเป็นความเห็นของคนคนหนึ่งนะครับ   ไม่รับรองความถูกต้องเหมาะสม   เพราะผมหย่อนความรู้เกี่ยวกับบริบทของราชการ

         ผมมองว่าในหน่วยงานภาครัฐของบ้านเราขณะนี้มีโครงการต่าง ๆ เต็มไปหมด   จนข้าราชการล้าและเครียด   การทำ KM ต้องอย่าให้เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เข้าไปเพิ่มภาระ   สร้างความทุกข์

         ต้องทำให้ KM ช่วยลดงาน  ลดภาระ  เพิ่มความสุขให้ได้

         วิธีการคงมีหลายวิธีและต้องทำหลาย ๆ อย่างประกอบกัน

         วิธีที่ผมนำเสนออาจเรียกว่า "เวทีชื่นชมผลงาน"  หรือชื่ออื่นที่ดึงดูดใจและสร้างความชื่นชมอยู่ในถ้อยคำ

         เริ่มด้วยให้แกนนำ KM ไปเสาะหาคนระดับปฏิบัติการที่ทำงานแล้วเกิดผลดี   ทำงานเก่ง   มีวิธีสร้างความสำเร็จ (เล็ก ๆ) ในการทำงานอย่างน่าชื่นชม   โดยที่ความสำเร็จเล็ก ๆ นั้นจะเป็นพลังขับดันไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ของหน่วยงานหรือองค์กรเสาะหามาให้ได้สัก 10 - 20 คน   แล้วเชิญมาประชุมแบบล้อมวงเล่าเรื่องว่าความสำเร็จเล็ก ๆ ที่ได้รับยกย่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร  โดยมี Group Facilitator และ Note Taker ประจำกลุ่ม   สำหรับนำเรื่องเล่าและเคล็ดลับในการทำงานเล็ก ๆ เหล่านี้ไปเผยแพร่ในเว็บไซต์  จดหมายข่าว  หรือสื่ออื่น ๆ

         ถ้าแกนนำ KM ได้รับการฝึกเป็น "คุณอำนวย",  "คุณลิขิต" ก็จะสามารถสร้างบรรยากาศชื่นชมยินดี   เปลี่ยนความรู้สึกคน   ทำให้คนที่มาร่วมเวทีตื่นตะลึง   เพราะนึกไม่ถึงว่าคนระดับปฏิบัติการจะมีเคล็ดลับหรือความสามารถในการคิดวิธีทำงานดี ๆ ได้ถึงขนาดนี้

ผลคือ
(1) ผู้เข้าร่วมจะเริ่มเข้าใจคำว่า "ความรู้ในคน" หรือความรู้ปฏิบัติที่เป็นหัวใจของ KM และเห็นพลังของความรู้ในคน
(2) ผู้เข้าร่วมจะเห็นคุณค่าและเคารพซึ่งกันและกันมากขึ้น  มีความมั่นใจในตนเองที่จะคิดทำงานแบบสร้างสรรค์ได้มากขึ้น
(3) ผู้เข้าร่วมได้พัฒนาตนเองโดยการ "เปิดใจ" และเมื่อทำบ่อย ๆ จะเป็นคนที่ "ใจเปิด"   ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการเรียนรู้
(4) ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการฟังแบบ Deep Listening ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการเป็นบุคคลเรียนรู้

วิจารณ์  พานิช
 18 พ.ค.49

หมายเลขบันทึก: 29608เขียนเมื่อ 19 พฤษภาคม 2006 16:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม 2012 10:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

สวัสดีครับอาจารย์หมอ

เห็นด้วยกับอาจารย์อย่างยิ่งเลยครับที่จะใช้ KM ไปเพิ่มความสุขให้กับองค์กรภาครัฐที่มีความรู้เต็มไปหมดเลยครับ ทั้งจากการเรียนและประสบการณ์ครับและดึงสมบัติในตัวเขามาใช้ให้ได้มาก ๆ ครับ

เทคนิคของอาจารย์หมอยอดเยี่ยมเลยมาก ๆ ครับ

ขอบพระคุณในความรู้ทุก ๆ เรื่องครับ

ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ

ขออนุญาตนำไปสื่อสารในblogตัวเองนะคะ เพราะตรงใจมาก วิธีการที่อ.ว่าได้เคยลองใช้กับตัวเองมาแล้ว...ใช่เลยค่ะ
อาจารย์คะ ขออนุญาติ link [... อีกแล้ว ...] ไปที่ลานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กรมอนามัย ค่ะ
ขอบคุณอาจารย์ที่ให้ข้อคิดดีๆเสมอมา   จะนำไปใช้ในองค์กรค่ะ
เรียน  ท่านศาสตราจารย์วิจารณ์ พานิช

กระผมใคร่ขอความกรุณาจากท่านอาจารย์ อธิบายเกี่ยวกับการจัดการความรู้ว่าผลลัพธ์(Outcome)ของกระบวนการจัดการความรู้ กรณีนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน  ผลลัพธ์ปลายทางของมันควรจะเป็นอะไร 

 

ขอบพระคุณครับ

บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์

มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร

http://gotoknow.org/bandhitchat

ดีครับที่จะไม่ทำให้ KM เป็นการเพิ่มงานเพิ่มทุกข์ แต่เท่าที่สังเกตในหน่วยงานต่างๆ มักพบว่าฝ่ายบริหารมักเป็นคุณอำนาจมากกว่าคุณอำนวย มักใช้การสั่งการมากกว่า จะมีวิธีการอย่างไรที่จะเปลี่ยนแนวคิดของผู้บริหารทั้งหลายว่าท่านน่าจะเป็นคุณอำนวยเพื่อช่วยส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการ KM ในหน่วยงานมากกว่า หากอำนวยให้คุณกิจทุกคนทำงานอย่างมีความสุขแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายหน่วยงานก็สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน

หนูอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เพราะพึงระวังอยู่ในเรื่องนี้ ขณะนี้ มอ.กำลังอยู่ระหว่าง deploy ลงคณะ หน่วยงาน และวันที่ 9 นี้เป็นนัดแรกที่ ท่าน CKO มหาวิทยาลัย นัดพบ CKO คณะ และจะดูแลคณะ หน่วยงานในรูปแบบเครือข่าย  ท่าน CKO ของ มอ.พูดเสมอว่า "ไม่อยากให้เป็นงานเพิ่ม" 

ขออนุญาติcopy ให้เจ้าหน้าที่ได้อ่านค่ะ

ขออนุญาต อาจารย์หมอวิจารณ์  ขอร่วมshow & share นะครับ

เรียน อาจารย์บัณฑิต

ผมว่า Outcome ของ การทำ KM  มีอย่างต่อเนื่องครับ ทั้งต่อคนในองค์กร ต่อประชาคม ต่อโลก    ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น  เป็นองค์กรแบบยั่งยืน  องค์กรอมตะ องค์กรสุขสันต์  องค์กรเก่งดีมีสุข   ฯลฯ

ผมอุปมา  KM เป็นต้นไม้   ที่ให้ผลออกมาเป็น ความรู้

ผลก็มี สองอย่าง   คือ ผลภายนอก  ได้แก่  การเอา ความรู้ ทั้งหลายไปจัดระเบียบ เป็นรากฐานงานวิจัย การทำงาน การพัฒนา การป้องกันความผิดพลาด ฯลฯ และ ได้ INNOVATION   เจ้า นวตกรรมนี่แหละ  เป็นชุดความรู้ใหม่ ที่คนไทยเราไม่ค่อยจะมีกัน   เราเสพของต่างชาติ ด้วยค่าใช้จ่ายที่แพง  

   การรักษา K ให้อยู่คู่องค์กร ไม่หายไป พร้อมการ ตาย ลาออก เกษียณ ฯลฯ ของพนักงาน

ผลภายใน  (ก) คนในองค์กร สนุก  เป็นแบบ Empowerment  การบริหารงานดีขึ้น   คนเราถ้าภายในมีความสุข  ก็จะทำให้ productivity เพิ่มครับ

(ข) ไม่น่าเชื่อว่า คนทำ KM ยิ่งทำ ก็ยิ่ง จะพบความสุขแบบสะสม   เริ่มค้นพบตนเอง  เริ่มละตัวตน 

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารแบบ result oriented ชอบที่จะถามว่า ลงทุนทำ KM แล้ว ได้ return on investment เท่าไร

ผู้บริหารแบบนี้   เป็นพวก quick fix  คิดแบบไม่ยั่งยืน 

ยังไม่เข้าใจ KM มากนัก  ลองให้อ่านหนังสือ Living company

ดูสิครับ   หรือ อ่านหนังสือ Good to great แล้ว จะพบว่า  องค์กรที่อยู่รอด   เขาเน้น Process มากกว่า result  

 

ถามว่า ทำ KM แล้วได้อะไร  ก็คล้ายๆ กับ แต่งงานแล้วได้อะไร

ถ้ามองอย่างผู้ชายนักบริหาร Quick fix หรือ ไม่ยั่งยืน  คือ ได้ ความมันทางเนื้อหนัง    เอาเปรียบคู่ครอง  ได้ดูดทรัพย์สิน ได้หน้าใหญ่ใจโตที่มีภรรยาสวย รวย ดัง ฯลฯ

ถ้ามองอย่างผู้หญิงที่คิดแบบยั่งยืน  คือ  ความสุข ความมั่นคง ฯลฯ

ทำ KM  ก็เหมือน  ได้ ภรรยาที่ดี    ได้กระบวนการอยู่ร่วมกัน พึ่งพาทางใจ   มีแต่ให้  โดยไม่หวังผล ฯลฯ

คนที่ งกๆ เค็มๆ  มัก จะเข้าใจ KM ยาก  และ ก็กลายเป็นผู้บริหารนอกกลุ่ม Good to great ครับ

ไม่ทราบว่า  ผมเสนอแนวคิด ตรงประเด็นหรือเปล่านะ

 

ขอบคุณคนไร้กรอบ (ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ) ที่กรุณาเข้ามา share    ผมอยากให้คน ลปรร. กันอย่างอิสระอย่างนี้    ไม่อยากให้เป็นเวทีที่ศิษย์มาถามครู    ผมไม่ค่อยอยากตอบคำถามที่ถามแบบไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยน   เพราะผิดธรรมเนียม KM  

จึงขอประกาศว่าใครต้องการความเห็นผม    โปรด share ความเห็นของตนมาก่อน    ผมไม่ใช่ "ผู้รู้"   แต่เป็น "ผู้ร่วมเรียนรู้" กับทุกท่าน

วิจารณ์ พานิช

ได้สาระ ได้ประโยชน์ที่เหนือกว่าผลประโยชน์ ที่ช่วยทำให้มองเห็นชัดเจน เป็นรูปธรรมด้วยจิตเชิงบวก

อันเป็นคุณอนันต์จริงๆ  น่าชื่นชม!!!

    การตระหนักรู้  คิดดี  ปรับ พัฒนา  มุ่งมั่น ศรัทธา กำลังใจ  สติ ร่วมแก้ปัญหา  ขอส่งกำลังใจ

 สู้! สู้!...

ไม่หนับหนุนสู้ให้สู้เพื่อเอาชนะ...หวังผล...เด่นดัง...ผลประโยชน์  หรือคาดหวังในความเป็นธรรมเพียงต้องการแสวงหาความยุติธรรม 

การฟันธงเพื่อศักดิ์ศรี ที่มิใช่สีสัน...

เราคนหนึ่งละที่ขอเป็นกำลังใจให้ จง   สู้! สู้! ต่อไปเถอะนะคนดี

เพื่อปวงชนร่วมประสานสานนำจิกซอร์มาต่อเติม  อันจะก่อให้เกิดความยั่งยืนเพื่อจะให้ยืนได้เองของทุกๆคน

เพราะความเป็นคน  องค์กร  สู่ประเทศชาติ ย่อมนำพาให้พ้นวิกฤตจากพันธนาการของความเป็นคนในตัวตนอันเป็นหน้าที่ของคนทุกๆคนที่สมควรสำนึกรักและรับผิดชอบร่วมกัน  มิใช่หรือ!

ดังที่เราบอกบอกว่า ฉันรักประเทศไทย  ...

ขอเอาใจช่วย...ด้วยคนนะ!!!

เป็นoutcome และคำตอบของ KM 

หากshareผิดที่ หรือผิดกาลเทศะ ต้องกราบขออภัยค่ะ

เพราะไม่ว่า จะใช้ KM ไปพัฒนาอะไรก็ตาม  วัตถุประสงค์หลักคงไม่พ้นจากเพื่อการพัฒนาให้ดีขึ้น   ส่วนตัวชี้วัดว่า จะสำเร็จหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน อย่างไร เท่าใด

แต่จะคาดหวังว่า ทุกองค์กรที่นำ KM ไปประยุกต์ใช้จะประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการหรือไม่นั้น  ผล คงจะเป็นตัวบอกว่าประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่     เกิดทิศทางที่ชัดเจนหรือแนวทางที่คาดว่าจะนำไปสู่การทำให้ดีขึ้นขององค์กรด้วยเป้าหมายและการร่วมมือกันต่อไปด้วยวิธีใด  อย่างไร 

ไม่ทราบว่าพอจะเป็น KM หรือไม่คะ  ต้องขออนุญาตที่คิดเอาเอง  ขอบคุณค่ะ

                   

วิชัย  จันทวาโร เป็นหนี้แล้วไม่จ่าย ทำงานก็ดีก็ไม่ช่วยอะไรเลย

ใช่ เป็นหนี้แล้วไม่จ่ายจริง ไปตายเลยไป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท