(๑๔ ก.พ.๔๙ ณ อบต.วัดดาว ต.วัดดาว
อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี)
“ปัญหาที่แก้ไขยากที่สุด..ของกลุ่มอาชีพ”
ก่อนที่พวกเราจะจัดกระบวนการเพื่อชวนกลุ่มสตรีวัดดาวพูดคุยเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการรวมกลุ่มอาชีพในระดับตำบลกับการจัดสรรงบประมาณ
๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อมาพัฒนากลุ่มอาชีพสตรีตำบลวัดดาว
โดยในวันนี้ได้มีตัวแทนของแต่ละหมู่มาร่วมหามติข้อตกลงในการจัดสรรงบประมาณ
๑๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งทางทีมประสานงาน สรส.ภาคกลาง
เราได้พูดคุยและปรึกษาหารือกับนายกประทิว รัศมี
ก่อนการประชุมว่าโดยความต้องการทางอบต.คาดหวังว่ากลุ่มอาชีพควรมีคำตอบให้แก่
อบต.วัดดาว อย่างไรบ้าง ซึ่งคำตอบที่ได้คือ
อบต.คาดหวังให้กลุ่มอาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดจากเดิมๆ คือ
การนำเงินงบประมาณที่ได้มาตัดเสื้อแบ่งกันหรือการจัดไปศึกษาดูงาน
โดยที่ไม่รู้ว่าจะไปศึกษาดูงานเพื่ออะไร ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบเดิมๆ
และเป็นการละลายเงินงบประมาณโดยที่ไม่เกิดประโยชน์
คำตอบที่นายกฯมีให้แก่ทีมฯ เป็นโจทย์ที่ยากในการจัดกระบวนการ
เพราะทางทีมฯมีความรู้สึกว่า
กลุ่มอาชีพสตรีฯที่มาเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ต่างมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วว่าต้องการเงินงบประมาณที่จะได้มานั้นนำไปตัดเสื้อและไปศึกษาดูงานหรือที่เรารู้ๆกันอยู่ก็คือการไปเที่ยวกันนั่นเอง
เป็นความท้าทายของทางทีมฯเป็นอย่างมากที่ต้องจัดกระบวนการเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดของกลุ่มสตรีฯที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ให้ได้
“นำคำตอบในใจที่กลุ่มมี..มาแซะร่องวิธีคิดเสียใหม่”
ในครั้งนี้รู้สึกจะเป็นเวทีแรกที่ผู้เขียนต้องเป็น“คุณอำนวย”เต็มตัวในการชวนกลุ่มสตรีฯพูดคุยร่วมกับคุณอัฒยา
สง่าแสง เนื่องจากการเป็นมือใหม่หัดขับ
พวกเรายังคงเคอะเขินต่อการชวนคุย
แต่ด้วยหน้าที่และการทำงานเพื่อชุมชนท้องถิ่น
วิธีการเข้ามวยที่ผู้เขียนพยายามนำมาใช้ทุกครั้งในการเป็นคุณอำนวยในวง
คือ การแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน
และการพูดจาหยอกเย้าชวนหัวเราะเพื่อให้วงสนทนาเกิดความคลี่คลายและไม่เกิดอาการเกร็งเวลาที่ต้องร่วมสนทนากันเพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
จากการที่ผู้เขียนได้สอบถามทุกคนที่เป็นตัวแทนมาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ต่างได้ข้อสรุปว่าต้องการนำเงินงบประมาณ
๑๐๐,๐๐๐ บาท ไปตัดเสื้อกลุ่มอาชีพของตำบล
เพียงเพราะคิดว่าการมีเสื้อใส่เป็นทีมจะทำให้กลุ่มดูเป็นทีมและมองเป็นภาพรวมของตำบลมากขึ้น
ส่วนเงินงบประมาณที่เหลือก็จะไปศึกษาดูงานกับพื้นที่อื่นๆเพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้กับกลุ่ม
เมื่อคุณอำนวยเจอคำตอบของกลุ่มฯเช่นนี้และดูเหมือนว่าทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจกับงบประมาณที่จะนำไปตัดเสื้อมาก
กลวิธีที่นำมาใช้ในการพูดคุยเพื่อปรับวิธีคิดของกลุ่มอาชีพ คือ
· ถ้า
อบต.ไม่อนุมัติให้นำเงินงบประมาณไปตัดเสื้อ
ทุกท่านจะนำเงินงบประมาณไปทำอะไร?
Ä...คำตอบที่ได้ คือ
ถ้าไม่ให้เราก็จะไปทำกลุ่มอาชีพของตำบล
·
และถ้าจะจัดทำกลุ่มอาชีพ คิดว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรก่อน?
Ä...คำตอบที่ได้ คือ
การทำกลุ่มอาชีพน้ำยาล้างจาน
·
แล้วที่บอกว่าจะพากลุ่มไปศึกษาดูงานนั้น จะไปดูงานเรื่องอะไร?
Ä...คำตอบที่ได้ คือ
ยังไม่รู้เหมือนกัน
แต่ละคำถามที่ทางทีมฯ พยายามถามกลุ่มตัวแทนที่มาเข้าร่วม
ทำให้เราประเมินเหตุการณ์ได้ว่า
ตัวแทนที่มาเข้าร่วมต่างไม่พอใจในคำถามของพวกเราเพราะคงรู้ตัวแล้วว่าความคาดหวังที่กลุ่มอยากได้ในขณะนี้
ทาง อบต.อาจไม่เห็นชอบด้วย
และพยายามให้พวกเราพูดจาหว่านล้อมเพื่อให้กลุ่มปรับเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่
เมื่อเราถามว่าจากกิจกรรมเหลียวหลัง แลหน้า เมื่อวันที่ ๓ ก.พ. ๔๙
ที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มได้เรียนรู้อะไรบ้าง คำตอบที่ได้คือ
·
ขาดหน่วยงานพี่เลี้ยงที่ติดตามอย่างต่อเนื่อง
·
ขาดหน่วยงานสนับสนุนด้านทุน ด้านความรู้ในการผลิต ฯลฯ
เมื่อคำตอบที่ได้เป็นการชี้ให้เห็นว่าที่กลุ่มนั้นล้มเหลวเพราะอะไร
และถ้ากลุ่มจะเข้มแข็งได้การตัดเสื้อเพื่อนำไปแจกกับสมาชิกของกลุ่มทั้ง
๑๕๐ คนจะเป็นหนทางที่แก้ไขปัญหาได้หรือ?
จากการชวนคุยและพากลุ่มร่วมคิดร่วมกันวิเคราะห์
ทำให้กลุ่มตัวแทนของกลุ่มสตรีวัดดาวเริ่มปรับวิธีคิดใหม่
โดยการรวมกลุ่มอาชีพเป็นภาพรวมของตำบลโดยในขั้นต้นจะเรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพการทำน้ำยาล้างจานเพื่อขายในตำบล
โดยทีมอบต.วัดดาว จะเป็นทีมพี่เลี้ยงและเป็น
“คุณเอื้อ”เพื่อช่วยสนับสนุนให้กลุ่มอาชีพได้เรียนรู้ร่วมกัน
และทางสรส.จะเข้ามาช่วยเป็นเพื่อนคู่คิด..ชวนคุย..ชวนกลุ่มวิเคราะห์และเรียนรู้เรื่องการจัดการให้มากขึ้น
ในครั้งนี้มติที่ประชุมได้ข้อสรุปเพื่อการวางแผนการพัฒนากลุ่มอาชีพของตำบล
ดังนี้
·
ตัวแทนแต่ละหมู่ต้องไปสรรหาสมาชิกในหมู่บ้าน หมู่บ้านละ ๑๕ คน
ในตำบลมี ๑๐ หมู่บ้านรวมทั้งตำบลเป็น ๑๕๐ คน
โดยการชวนเข้าร่วมกลุ่มห้ามกล่าวอ้างถึงเรื่องการตัดเสื้อเพื่อแจกให้กับกลุ่มเด็ดขาด
ขอให้ผู้ที่สมัครนั้นต้องการเรียนรู้ด้วย “ใจ”อย่างแท้จริง
·
กำหนดจัดประชุมเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันทั้งตำบลให้กับสมาชิก ๑๕๐
คน ถึงแนวทางการร่วมกลุ่มเพื่อพัฒนาอาชีพโดยมติของกลุ่ม คือ
การทำน้ำยาล้างจาน โดยกำหนดจัดประชุมในวันที่ ๒๓ ก.พ.
๔๙ ณ ศาลาการเปรียญวัดดาว เวลา ๐๙.๐๐
น.เป็นต้นไป
·
จัดฝึกอบรมการทำน้ำยาล้างจาน ให้กับตัวแทนแต่ละหมู่บ้านๆละ ๒ คน รวม
๒๐ คน
·
จัดอบรมการบริหารจัดการกลุ่ม
เนื่องจากกิจกรรมที่ผ่านมาปัญหาหนึ่งที่ทำให้กิจกรรมหยุดดำเนินการ
คือการจัดการบริหารที่ไม่เป็นระบบ
·
ให้ตัวแทนสมาชิกที่ผ่านการอบรมนั้นลงมือทำ
ส่วนสมาชิกที่เหลือเป็นผู้ร่วมเรียนรู้
·
สรุปผลการทำงานเป็นระยะโดยทีมประสานงาน
สรส.ร่วมกับหน่วยงานพี่เลี้ยง
สุดท้ายเรื่องการตัดเสื้อของกลุ่มอาชีพสตรีตำบลวัดดาว
ทางนายกเห็นว่าถ้าเป็นเรื่องที่กลุ่มต้องการและคิดว่าอยากจะได้
ทางอบต.วัดดาว
จะจัดงบประมาณบางส่วนที่เป็นค่าอาหารในการจัดฝึกอบรมมาตัดเสื้อให้กับกลุ่ม
แต่มีข้อแม้ว่าต้องมาเข้าร่วมทุกครั้งตลอดจนครบ ๕ เวที
ซึ่งกลุ่มตัวแทนที่เข้าร่วมต่างก็ตกลงตามข้อเสนอและพอจะยิ้มออกเพราะอย่างน้อยความคาดหวังที่ว่าอยากจะได้เสื้อของกลุ่มอาชีพสตรีต.วัดดาว
ก็ยังพอมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ให้เห็นเพียงแต่ถ้าอยากได้ก็ต้องลงแรงกันหน่อยเท่านั้นเอง
AAR กับนายกท้ายเวที
จากการที่ทางทีมฯได้จัดกระบวนการเพื่อชวนกลุ่มคิดวิเคราะห์เพื่อวางแผนการทำงานในเวทีครั้งนี้
ทางทีมฯเองก็ต้องการคำตอบจากนายกว่าในการจัดกระบวนการในครั้งนี้
ผลที่ออกมานั้นสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้นำท้องถิ่นหรือไม่
ซึ่งคำตอบที่ได้ นายกประทิวบอกว่า “รู้สึกดี..และคิดว่าสมหวัง
เพราะอย่างน้อยในการชวนคุยในครั้งนี้
กลุ่มอาชีพเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางวิธีคิดโดยหาข้อตกลงเพื่อใช้ความรู้เพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ”
นายกบอกว่าจริงๆแล้ว อบต. ไม่เคยเสียดายงบประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ที่จะให้กับชาวบ้านเลย เพียงแต่จะทำอย่างไรให้เขาได้
หยุดคิดและใช้สติตรึกตรองและต่อจากนั้น..ปัญญาก็จะเกิด
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อบต.คาดหวังอยากให้ชาวบ้าน คิดเป็น
ทำเป็น และสามารถพึ่งพาตนเองได้เท่านั้นเอง เพียงแต่
อบต.ยังไม่สามารถชวนชาวบ้านคิดวิเคราะห์ได้
ด้านอบต.เองยังคงต้องการบุคคลภายนอกเพื่อเข้ามาช่วยกระตุกกระตุ้นการเรียนรู้ให้แก่ชาวบ้านอย่างกับสรส.ที่เข้ามาเป็นเพื่อนชวนคุยทำให้ชาวบ้านได้หยุดคิดได้มากขึ้น
เพราะในหลักการความเป็นจริง ชาวบ้านมักเชื่อถือคนภายนอกมากกว่าคนภายใน
ดังนั้น
การเข้ามาช่วยเสริมกระบวนการเรียนรู้ให้แก่ชาวบ้านต.วัดดาวของสรส.ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นเพราะถ้าชาวบ้านยังคิดได้ไม่เป็น
ทำเองไม่ได้
เขาก็ต้องรอและกลายเป็นผู้รับเสมอไปจะไม่มีการเรียนรู้เพื่อการพึ่งพาตนเองได้เลย
ข้อสรุปของการจัดวทีในครั้งนี้เป็นแรงกำลังที่ทำให้ทีมฯยังคงต้องการทำงานเพื่อการพัฒนาด้านการจัดการความรู้เพื่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง
อย่างน้อยการที่พวกเราได้ลงมาทำเอง ปฏิบัติจริง
โดยที่ไม่มีคุณทรงพลอยู่ในเวทีทำให้พวกเราต้องเรียนรู้กับการจัดการเวทีให้มากยิ่งขึ้น
การได้ทำงานร่วมกับอบต.วัดดาว
เปรียบเสมือนเป็นเวทีทดสอบการทำงานของทางทีมว่าสามารถนำความรู้
เครื่องมือ ที่ทางสรส.จัดเตรียมอาวุธทางปัญญามาให้นั้น
มาปรับใช้ในการทำงานได้อย่างไร?
ชไมพร วังทอง
ผู้ประสานงาน สรส.ภาคกลาง
ไม่มีความเห็น