• พ่อเล่าว่าปู่เป็นผู้สอนหนังสือ สอนเลข ให้ผมตอนอายุ ๕ -๖
ขวบ หลังหายป่วย
ซึ่งผมเรียนรู้ได้เร็วมาก
แต่ผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้เลย
• มาจำได้ตอนโดนตีเพราะทะเลาะกับปู่
ตอนนั้นน้องๆ ยังเล็ก ยังคุยไม่รู้เรื่อง
ปู่มีผมอยู่คนเดียวที่จะคุยด้วย
เข้าใจว่าคุยไปหน่อยเดียวผมก็จะเถียง
หรือแสดงความเห็นที่แตกต่าง
ปู่ก็จะโกรธ
ผมก็จะถูกลงโทษที่เถียงผู้ใหญ่
เป็นอย่างนี้เรื่อยมา
จนวันหนึ่งเกิดเหตุใหญ่โตจนผมถูกพ่อเฆี่ยนแบบแตกเป็นรอยทั่วขาและก้น
และสอนว่า ต่อไปนี้ให้ท่องไว้ว่า ก๋งว่าอย่างไรไม่ว่าถูกหรือผิด
ห้ามเถียง ผมก็ท่องไว้
แต่เวลาเกิดเหตุจริงๆ มันท่องไม่ทัน
ก็แสดงความไม่เห็นด้วย (เรียกว่าเถียง) เสียแล้ว
ผมจึงโดนลงโทษหนักขึ้นไปอีก
เข้าใจว่าเหตุการณ์รุนแรงมากตอนอายุประมาณ ๑๐ ขวบ
หลังจากนั้นผมมีงานทำ ต้องช่วยงานบ้านมากขึ้น
มีเวลาคุยกับปู่น้อยลง มาคิดตอนนี้
แสดงว่าตอนนั้น (อายุ ๑๐ ขวบ) ผมเป็นคนขาดสติ
ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้ยั้งคิด ไม่เถียงปู่ได้
สมองคนเราในส่วนของความรู้จักยั้งคิดกว่าจะโตเต็มที่ต้องอายุ ๒๕
ปี
• ผมมาคิดทีหลังว่าถ้าผมฉลาด
และหาทางเรียนวิชาจากปู่
ผมจะได้ความรู้ติดตัวเยอะมาก
เพราะปู่เป็นหมอแผนโบราณ
มีคนมาขอให้เขียนสูตรยาหม้อเอาไปหาหรือซื้อสมุนไพรมาต้มกินบ่อยมาก
คือที่บ้านผมไม่มีตัวยา แต่ปู่มีความรู้
ปู่รู้ภาษาขอม ภาษาบาลี
รู้หลักธรรมและนิทานธรรมะต่างๆ มากมาย
• ว่างๆ ปู่จะเอาสมุดมาเขียนโคลงกลอน
หรือเขียนบันทึกเรื่องราวนิทานชาดก
สมุดบันทึกแบบนี้ของปู่มีเป็นสิบเล่ม
เขียนด้วยดินสอ ลายมือแบบอาลักษณ์ คือเขียนเต็มบรรทัด ตัวเอน
เป็นระเบียบและเล่นหางเล็กน้อย
น่าเสียดายที่ผมและน้องๆ
เอาสมุดเหล่านี้มาฉีกพับเรือบินเล่นเสียหมด
• มักมีคนมาสนทนาธรรม เรื่องนิพพาน
ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ ฯลฯ
กับปู่อยู่บ่อยๆ ผมเล่นอยู่ข้างๆ
ได้ยินแต่ไม่ได้เอาใจใส่ คนที่มาคุยจะนั่งยองๆ
กับพื้นดินที่หน้าบ้าน
ปู่นั่งบนพื้นระเบียงหน้าบ้าน
คนที่มาคุยเรียกปู่ผมว่า “นายเสี้ยง” บ้าง “พ่อเสี้ยง”
บ้าง “ใต้เท้า” บ้าง “อาจารย์” บ้าง
บางคนมาคุยธรรมะในลักษณะเหม็นเหล้าคลุ้ง
• ปู่บวช ๒ ครั้ง จนได้เป็น “ท่านใบฎีกา”
ซึ่งหมายถึงเป็นเลขานุการของพระผู้ใหญ่นั่นเอง
บวชที่วัดปทุมคงคาและมีญาติบวชอยู่ที่วัดนั้นตลอดมา
ตอนพ่อผมมาเรียน ม. ๖ ที่กรุงเทพ ก็มาอยู่ที่วัดปทุมคงคา กับ
“มหากลั่น”
และเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดปทุมคงคา
ท่านพุทธทาสตอนบวชใหม่ๆ
ก็มาเรียนบาลีที่กรุงเทพโดยมาอยู่ที่วัดปทุมคงคา
• ท่านพุทธทาส รัก “อาเสี้ยง” มาก
เพราะเป็นผู้แนะนำการเรียนหลังบวชแก่ท่าน
เนื่องจากตอนนั้นพ่อของท่านพุทธทาสเสียชีวิตแล้ว
เวลาท่านพุทธทาสเดินทางมากรุงเทพ ท่านจะแวะเยี่ยม
“อาเสี้ยง” และครอบครัวผมที่ชุมพร
แล้วไปคุยปรึกษางานเผยแผ่พระศาสนา และจำวัด กับ “น้องเล็ก” ของท่าน
คือ “มหาบุญชวน เขมาภิรัต” หรือท่านเจ้าคุณประกาศิตฯ
ที่วัดหาดทรายแก้ว “น้องกลาง” ของท่านพุทธทาส คือ
ท่านปัญญานันทะภิกขุ
• ปู่เป็นนักเขียน
เขียนเรื่องไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา ของคณะธรรมทาน
ที่คุณลุงธรรมทาส ดูแลอยู่ ใช้นามปากกาว่า
“ท่านางสังข์”
เพราะเดิมท่านอยู่บ้านริมคลองที่ท่านางสังข์
• ปู่ไม่เชื่อถือโชคลาง ทั้งๆ
ที่มีความรู้ทางโหราศาสตร์ ปู่พูดเสมอว่าถ้าพระ
(พุทธรูป) ศักดิ์สิทธิ์จริง ให้ลองเอาไปโยนน้ำ
ดูซิว่าจะขึ้นมาจากน้ำได้ไหม
ปู่ไม่ส่งเสริมพิธีกรรม และการบนบานศาลกล่าว
ครอบครัวเรารับพินัยกรรมความเชื่อและความประพฤติแบบนี้มาจากปู่
ทำให้เราเป็นคนหวังพึ่งตนเอง
ไม่หวังพึ่งผีสางเทวดา
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตที่พอเพียง
รูปปู่ตอนบวชเป็น พระใบฎีกาเสี้ยง จากหนังสือ เมื่อเรายังเด็ก เรื่องเล่าครั้งเยาว์วัยของพุทธทาสภิกขุ รวบรวม-เรียบเรียงโดย พจน์ ยังพลขันธ์
วิจารณ์ พานิช
๑๘ พค. ๔๙
ไม่มีความเห็น