วันนี้ได้อ่านบทความของคุณหมอ ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ วรพงษ์ เวชมาลีนนท์ คอลัมม์จิตวิวัฒน์ ในมติชน วันเสาร์ที่ 15 ส.ค.2552 เล่าเรื่องโรงเรียนนอกกะลา
ผู้เขียนเล่าสิ่งที่ได้ฟังจาก คุณครูวิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งถูกเชิญไปเล่าเรื่องโรงเรียนนี้ในเวทีจิตวิวัฒน์ ฉ้นอ่านแล้วจับใจจึงเอาบางส่วนมาเล่าต่อ ตัวหนังสือสีน้ำตาลลอกมาจากบทความทุกตัว
ลักษณะโดดเด่นของโรงเรียน “นอกกะลา” แห่งนี้
· “เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการสอบ
· เป็นโรงเรียนที่ไม่มีเสียงออดเสียงระฆัง
· เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการอบรมหน้าเสาธง
· เป็นโรงเรียนที่ไม่มีแบบเรียนสำเร็จรูป
· เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการให้ดาว
· เหล่านี้คือประเด็นท้าทายระบบการศึกษา”
แล้วนักเรียนล่ะ เป็นใคร มาจากไหน คัดมาเป็นพิเศษละซี
“นักเรียนส่วนใหญ่ของโรงเรียนนี้จะมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนาในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เข้าได้ด้วยการจับสลากเท่านั้น และไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ร้อยละ 70 ยากจน อีกอย่างน้อย 40 ครอบครัว เป็นเด็กกำพร้า มีเด็กสติปัญญาบกพร่องร่วมเรียนด้วย”
ผลการประเมินโรงเรียนโดย สมศ.
“สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ได้มาประเมินโรงเรียนแล้วพบว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก 13 มาตรฐาน และอยู่ในเกณฑ์ดี 1 มาตรฐาน”
ผลการสอบเอ็นที (National Test)
“พบว่าคะแนนเฉลี่ยด้านภาษาไทย คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของประเทศ ทั้งที่โรงเรียนไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "วิชาวิทยาศาสตร์"
จัดกระบวนการเรียนรู้อย่างไร
“คุณครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจะใส่ใจในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนเป็นสำคัญ ให้นักเรียนได้เลือกทำในสิ่งที่ตนเองสนใจ เรียนรู้การวางแผน และลงมือทำจริง จากนั้นจึงนำผลงานมาแสดงและแลกเปลี่ยน ช่วยกันประเมินและเรียนรู้การวางแผนอีก เป็นวงจรเช่นนี้เรื่อยๆ ไป เป็นไปตามปรัชญาที่ว่าการเรียนรู้ที่แท้เกิดจากการลงมือทำจริง”
ผู้ปกครองทำอะไรบ้าง
“มีชั่วโมงที่ผู้ปกครองจะเวียนกันมาสอนนักเรียน ที่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้เพราะครูใช้เวลาทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง...ไม่รู้จะสอนอะไรก็มาทำกับข้าว หรือเล่านิทาน....พอเวลาผ่านไป...ผู้ปกครองจะเริ่มเปลี่ยน ไม่คาดหวังลูกในเรื่องการสอบแข่งขัน แต่มั่นใจในสิ่งที่โรงเรียนทำ ว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ยั่งยืน...”
คุณครูล่ะ เป็นอย่างไร (มีคำตอบที่สั้นมาก แต่ได้ใจความ)
สำหรับครูที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาแล้ว
"ถ้าเป็นครูที่ดีไม่ได้ เราจะไปทำอาชีพอื่น"
มีครูจากทุกสารทิศไปดูงานที่โรงเรียนแห่งนี้ ประโยคที่ออกจากปากแขกที่ไปเยือนคือ
"เราทำไม่ได้หรอก"
คุณครูวิเชียร เล่าว่า มีอยู่คราวหนึ่งที่ได้ยินคำนี้จากผู้มาดูงานถึงห้าครั้งในเวลาครึ่งชั่วโมง
คำถาม ข้อสงสัยของผู้เขียนบทความ คงเหมือนกับคำถามของฉัน และ คงเป็นคำถามเดียวกับทุกๆ คนที่ได้ยินเรื่องโรงเรียนแห่งนี้คือ
เราจะสามารถทำโรงเรียนแบบลำปลายมาศพัฒนาในพื้นที่อื่นๆ ได้อีกหรือไม่???
เสาร์ที่ 15 สิงหาคม 2552
ในบทความเต็มมีรายละเอียดมากมายที่น่าสนใจ ท่านสามารถเข้าไปอ่านเพื่อเติมพลังความคิดสร้างสรรค์ได้ที่นี่
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01150852§ionid=0130&day=2009-08-15
เมื่อวันที่ ๒๙ เม.ย. ปี ๕๒ ฉันได้รับหนังสือชื่อ “โรงเรียนนอกกะลา” เขียนโดย คุณครูวิเชียร ไชยบัง จาก คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร อ่านแล้วชอบมาก ได้ประโยชน์มาก เขียนเล่าไว้แล้วที่
http://gotoknow.org/blog/nuinui/259312
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ โอ้โรงเรียนดีๆอย่างนี้ต้องไปดูงานมากๆและประชาสัมพันธ์ให้มากๆ...ขอชื่นชนชมค่ะ...คะแนน NT ก็สูง...
ขอบคุณนะคะที่เอาเรื่องดีๆมาเล่าให้ฟังค่ะ
เอื้องนางชีค่ะ
สวัสดีค่ะ
ไม่ได้เข้ามาทักทายนานแล้ว
มาขอบคุณที่ส่งของไปร่วมกิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษที่จ.สุพรรณบุรี
ครูต้อยเองเสียดายมากที่ไปร่วมด้วยไม่ได้
ด้วยติดภาระกิจที่บ้านกรุงเทพฯ
น้องอ.ขจิต ตื่นเต้นมากที่น้องคุณ nui
เห็นความสำคัญของการศึกษา
ขอบคุณค่ะ
ผมเพิ่งเสร็จเวทีเเรกของ การทำ KM ในวงการศึกษาประเด็น "การพัฒนาจิตสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์" ภายใต้ประเด็นตาม หนังสือ โรงเรียนนอกกะลา ครับ ผมได้ให้หนังสือเล่มนี้กับ ผอ.ทุกโรงเรียนที่ผมไปเยี่ยมและเก็บข้อมูลครับ
ดีใจมากครับที่ พี่ชอบและสนใจประเด็นการศึกษา หนังสือ เล่มนี้ผมเองก็ชื่นชอบมากครับ
วันนี้ได้คุยกับ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ก็คุยกันในประเด็นนี้ด้วย ในอนาคตเราจะขับเคลื่อนประเด็นการศึกษา ประเด็นก็คงไม่ต่าวจากเนื้อหาจากหนังสือ Value inEducation ครับ
และไม่กี่วันก่อน มีที่ปรึกษา รมต.ศึกษาฯ ท่านก็สนใจนะครับ ผมได้คุยกับท่านสองสามครั้งผ่านทางโทรศัพท์ ผมคิดว่า ตอนนี้ มีหลายภาคส่วนสนใจ และผมคิดว่าจะมีการขับเคลื่อนกันอย่างจริงจังน่าดีใจมากๆครับ
สวัสดีครับ
มาอ่านเรื่องของโรงเรียนนอกกะลา จากที่นี่ แล้วน่าชื่นใจที่มีโรงเรียนในลักษณะนี้อยู่ในประเทศไทย อย่างไรการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่น่าไปถอดองค์ความรู้จากที่นี่นะครับ
โรงเรียนนี้ต้องขอชื่นชมกับแนวความคิดของผู้บริหารและผูู้ที่มองการศึกษาแบบยั่งยืน ไม่ใช่การศึกษาแบบเกรดนิยม หรือปริญญานิยม อยากให้โรงเรียนแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยจังหวัดละแห่ง เป็นของรัฐยิ่งดี นี่คนต่างชาติด้วยซ้ำที่คิดจะทำ และทดแทนคุณแผ่นดิน เพราะชีวิตของลูกต้องอยู่ด้วยตัวของเขาเอง เป็นการปูพื้นฐานชิวิตจริง เป็นโรงเรียนที่สอนตำราชีวิตให้กับเด็ก ขอชื่นชมจริง ๆ ค่ะ อยากให้ลูกได้มีโอกาสเรียนโรงเรียนแบบนี้บ้าง แต่คงไม่มีโอกาสถ้าการศึกษาไทยยังประเมินครูด้วยการทำผลงาน ครูก็มีเวลาอยู่กับผลงานมากกว่าเด็ก
ผมอายุ15 ผมไม่เคยอ่านหนังสือนี้ นะครับ แต่ผมคิดแบบนี้ได้สัก4-5เดือนแล้วผมเคยพูดให้คนฟังเค้าบอกวาผมบ้าเค้าไม่กล้าคิดนอกกรอบเพราะผมเห็นการศึกษาสมัยนี้มัน ทำไปเพื่อเอาเกรดเพื่อเพิ่มเงินเดือน
ไม่ได้พัฒนาความรู้ที่แท้จริง การศึกษาเริ่มมีแต่ความรู้
เหมือนคอมพิวเตอแต่ไม่ค่อยจะมีจินตนาการ ผมกำลังคิดอยู่ ผมเพิ่งขึ้นม. 4
ผมคิดผิดรึป่าวก็ไม่รุที่ไปเรียนในโรงเรียน
ผมสายวิทคนิตคับ ผมเบื่อจะทำสิ่งที่จอมปลอม เช่น
อ่านหนังสือเพื่อสอบ ทำรายงานเพื่อส่งครู สิ่งที่จริงคือการได้ศึกษาและได้ต่อยอดที่แท้จริง
ครู
สมัยนี่พูดว่าอยากให้น.รคิดแบบใหม่ๆแต่สิ่งใหม่ๆจะมีได้อย่างไรหาก
ครูยังทำแบบเดิม
ผมเข้าใจว่าให้น.รทำรายงานเพื่อให้หาความรู้แต่ครูดันลืมคิดว่าให้หาความรู้
ไปเพื่อสิ่งใด คนสมัยนี้มักเห็นสิ่งผิดเป็นถูก
คิดแบบเดิมทำแบบเดิมสมองจะเกิดความเคยชิน
ค่า
นิยมผิดๆ เช่นมอกว่าเด็กที่เไม่ได้เรียนในร.ร
เป็นคนไม่ดึไม่มีความรู้การศึกษา แต่หากพวกเขาลองคิดถึงคำที่พวกเขาพูดดี
เช่น คำว่าความรู้คืออะไร ความรู้ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นวิชาคนิต
หรือสิ่งที่เรียนในร.ร แต่ความรู้เกิดจากประสบการการสะสม ศึกษาจากสิ่งต่างๆ
ไม่ได้มีแค่ในห้องเรียนในหนังสือหนังสืออย่างเดียว
การศึกษาแปลว่า
การ เลือกจะรู้การเลือกจะจดจำการทดลองทำซ้ำๆ การใขว่คว้า
ศึกษาๆได้ทุกที่ไมจำเป็นว่าต้องใน ร.ร มหาลัยเท่านั้น
ใจของผมคิดมาตลอดว่าจะได้อยู่ใน โลกแห่งความเป็นจริง
สักทีผมคิดว่าจะออกจากร.รแล้วมาทำในของจิงในสิ่งที่เป็นเป้าหมายของความฝัน
แม้ว่าจะไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่อย่างน้องมันก็สำเร็จ
แต่ผมก็รู้ว่าหากบอกใครเข้า เค้า พูดว่า แกบ้ารึ หากผมออกจากร.ร
พ่อแม่คงไม่เข้าใจ ว่าทำไมคงคิดว่าผมไม่อยากเรียน
แต่หากผมออกมาผมจะได้ลดอุปสรรคต่างที่มีใน ร.ร ในปัจจุบันใด้มากมาย
เรียน น้อง Nook
มีสาระสำคัญที่น่าทึ่งมากมายในสิ่งที่น้องเขียน สะท้อนว่า น้อง nook แตกต่างจากเด็กอายุ ๑๕ ทั่วไป
คำถามที่แหลมคมของ nook คือ "ความรู้คืออะไร" "เราหาความรู้ไปเพื่ออะไร" nook สงสัยและต้องการคำตอบจากครู แต่ป้า (ขอแทนตัวว่าป้านะคะ)คิดว่า nook มีคำตอบอยู่แล้ว โดยไม่ต้องหาคำตอบจากที่ไหน
ป้าพูดและเขียนไว้ในหลายๆ บันทึกถึงความหมายของคำว่า "การเรียนรู้ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้ที่เคยเรียน เคยรู้ เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน" ดังนั้น nook คงเห็นนะคะว่า ความรู้มากมายที่ถูกจับยัดใส่ในตัวเด็กๆ ไม่มีประโยชน์เพราะไม่เกิดการเรียนรู้ไงคะ
วิธีเรียนรู้ มีมากมาย และหลากหลาย ความรู้ ก็มีมากมายและหลากหลาย ค่ะ เรียนรู้เท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่หมด สำหรับคนใฝ่รู้
ป้าขอเสนอให้ nook ลองค่อยๆ ไตร่ตรองนะคะ ว่า เราจะหันหลังให้ระบบการศึกษาที่โหลยโท่ย แล้วไปเรียนรู้่ด้วยวิธีของเราเอง หรือ ยังไม่หันหลังให้ระบบ (เพราะเราอยู่กับมันได้นี่นะ) แต่ เรียนรู้ด้วยวิธีของเ้ราเองควบคู่ไปด้วย แบบนี้ nook จะได้กำไร และไปโลดกว่า เพราะยังไงๆ ชีวิตจริงเราก็ต้องอยู่กับมัน และอาจไม่ทำร้ายจิตใจคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ
ทางเดินข้างหน้าเป็นของ nook ป้าเชื่อว่าเด็กอย่าง nook เลือกทางที่ดีที่สุดแน่นอน
ถ้าอนาคตของประเทศชาติอยู่ในมือเด็กคิดเป็นอย่าง nook เราคงตายตาหลับ
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
ป.ล. หวังว่า nook จะกลับมาอ่านคำตอบนะคะ