หาช่องใช้งบ 50 อัดฉีด 2.2 แสนล. จับตา 'ตกเขียว'
สำนักงบฯ ระดมแนวทางใช้เงินปีงบฯ 50
แก้ปัญหาออกกฎหมายไม่ทัน "วราเทพ" คาดเบิกจ่ายงบฯ
ฉีดเม็ดเงินเข้าระบบได้ถึง 2.2 แสนล้าน ยันช้าแค่ 3
เดือน ไม่เกิน ธ.ค.แน่ เผยสัปดาห์หน้า "สุรนันทน์"
เรียกทุกกระทรวงที่ทำเมกะโปรเจ็กต์หารือเร่งเบิกจ่ายส่วนที่ทำได้
คาดทำแผนเร่งรัดเบิกจ่ายแล้วเสร็จในเดือนนี้ ก่อนชง ครม.
รับทราบต่อไป
นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า
จากที่ตนได้ประชุมหารือร่วมกับกรมบัญชีกลาง
สำนักงบประมาณ และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ
ทำให้ได้ข้อสรุปเบื้องต้นเป็นแนวทางในการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณในช่วงเดือน
ต.ค.-ธ.ค. 2549
ที่โดยปกติแล้วจะต้องเป็นไปตามกรอบของพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
2550 แต่เนื่องจากมีปัญหาที่ยังไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้
ทำให้การพิจารณากฎหมายดังกล่าวต้องล่าช้าออกไปประมาณ 3 เดือน
คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้หลังจากเดือน ธ.ค. เป็นต้นไป
ทั้งนี้การจัดทำงบฯ ปี 50 ไม่น่าจะล่าช้าเกิน 3 เดือน
อย่างไรก็ดีในช่วงระหว่าง 3 เดือนแรก (ต.ค.-ธ.ค. 2549) ของปีงบฯ 50
ที่ยังไม่สามารถประกาศใช้ พ.ร.บ.งบฯ ปี 2550 ได้นั้น
จะยังสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้อย่างปกติ และไม่มีผลกระทบใด ๆ
เนื่องจากตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 179 และ
พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณประจำปี มาตรา 16
ได้เปิดช่องไว้ว่าสามารถใช้กรอบงบประมาณของปีที่ผ่านมาได้
ซึ่งในที่นี้คือ กรอบของงบประมาณ 2549
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินเบื้องต้น
พบว่าในช่วง 3 เดือนดังกล่าวจะมีการใช้งบประมาณจำนวนกว่า
2.2 แสนล้านบาทเป็นอย่างน้อย
แบ่งเป็นส่วนของการเบิกจ่ายงบประจำของส่วนราชการที่ตกประมาณเดือนละ
5-6 หมื่นล้านบาท 3 เดือนรวมกันประมาณ 1.8 แสนล้านบาท
รวมกับการเบิกจ่ายงบประมาณเหลื่อมปีของปีงบประมาณ 2548-2549
ซึ่งมีอยู่ 3.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าคงใช้ไม่ทันสิ้นปีงบประมาณ 2549
ในเดือน ก.ย. ก็จะสามารถนำมาใช้ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2550
คือ ระหว่างเดือน ต.ค.-ธ.ค.
นอกจากนี้
งบลงทุนที่ผูกพันจากปี 2548-2549 ประมาณ 8.5 พันล้านบาท
ที่ปกติแล้วต้องกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.งบฯ ปี 2550
อาจจะเร่งนำมาเบิกจ่ายในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.ได้
ซึ่งเรื่องของวงเงินที่ใช้นั้น
รัฐบาลยืนยันว่ามีรายได้เพียงพอในการใช้จ่ายอย่างแน่นอน
"ที่ประชุมคุยกันว่าแนวทางนี้จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้มากขึ้น
โดยจะได้ไปเร่งส่วนราชการต่าง ๆ
ตลอดจนรัฐวิสาหกิจให้มีการเบิกจ่ายภายในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ
2550
คาดว่าภายในเดือนนี้จะได้มีการทำแผนเร่งรัดการเบิกจ่ายทั้งหมดออกมาได้
เพื่อรองรับการใช้เม็ดเงินในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. จากนั้น
จะเสนอให้ ครม.พิจารณา" นายวราเทพกล่าว
สำหรับกรณีที่มีการติดขัดในเรื่องการใช้จ่ายเงิน เช่น
การจัดซื้อจัดจ้าง กรอบเงินงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการได้
ได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ
รับไปดำเนินการเพื่อหาทางแก้ไขต่อไป นอกจากนี้
ในส่วนงบประมาณที่อยู่ในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่มีปัญหาการเบิกจ่าย
เนื่องจากมีการเลื่อนโครงการฯ ออกไป
เพราะยังไม่สามารถทำในส่วนที่เป็นโมเดิร์นไนซ์ ไทยแลนด์
ที่เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้
จนทำให้มีการชะลอการเบิกจ่ายไปด้วยนั้น
ปัจจุบันมีการเบิกจ่ายไปเพียง 1.9 พันล้านบาท หรือประมาณ 2%
ของวงเงินตามเอกสารงบประมาณปี 2549 ที่ได้จัดสรรไว้ที่ 9.2
หมื่นล้านบาทเท่านั้น
ทั้งนี้
ที่ประชุมเห็นว่าควรจะพิจารณาโครงการที่สามารถแยกออกมาทำได้ก่อนออกมา
อย่างเช่นโครงการด้านการจัดการน้ำทั้งระบบ เป็นต้น
โดยภายในสัปดาห์หน้านายสุรนันทน์จะเรียกประชุมหน่วยงานเกี่ยวข้อง
หารือถึงแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว
ส่วนกรณีที่มีการปรับเพิ่มขั้นเงินเดือนข้าราชการในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ
2550 ยืนยันว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ตามปกติ
แม้จะมีการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการขึ้นก็ตามเพราะจากการประเมินงบประจำของส่วนราชการก็คงไม่เกิน
5-6 หมื่นล้านบาทต่อเดือนตามที่คาดการณ์ไว้
นายสมชัย สัจจพงษ์
รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือน เม.ย. 2549
รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 115,119 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,878
ล้านบาท คิดเป็น 1.7% และสูงกว่าเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว 13.5%
โดยผลการเก็บรายได้รวมของ 3 กรมเก็บภาษี ได้แก่
กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร
ต่ำกว่าประมาณการ 5,730 ล้านบาท หรือ 5.4% คือเก็บได้เพียง 100,933
ล้านบาท จากที่ประมาณการไว้ที่ 106,663 ล้านบาท
ส่วนหน่วยงานอื่น ๆ
นอกเหนือจากกรมจัดเก็บภาษีจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 39.9%
ทั้งนี้
กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการเล็กน้อย
โดยแม้จะเก็บภาษีทุกประเภทได้สูงกว่าประมาณการ
แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 1,046 ล้านบาท หรือ
2.9%
โดยเป็นผลมาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของการนำเข้าต่ำกว่าประมาณการถึง
2,826 ล้านบาท หรือ 16.1%
เนื่องจากการชะลอตัวของการนำเข้าและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม
การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของการบริโภคภายในประเทศยังคงขยายตัวในอัตราที่สูง
โดยสูงกว่าประมาณการ 9.5% และสูงกว่าปีที่แล้วถึง 19.4%
สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
สำหรับกรมสรรพสามิตยังคงจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยจัดเก็บได้
24,002 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 4,028 ล้านบาท
ซึ่งภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ ได้แก่ ภาษีน้ำมัน
ต่ำกว่าประมาณการ 15.1%
ภาษีเบียร์ 26.6%
ภาษีสุรา 4.5% และภาษีรถยนต์ 11.4%
โดยภาษีน้ำมันได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนภาษีเบียร์และภาษีสุรา
ได้รับผลกระทบจากการบริโภคที่ชะลอตัวลง
รวมทั้ง เกิดจากผลของการมีวันหยุดมากในเดือน
เม.ย.ด้วย
ในขณะที่ภาษีรถยนต์เป็นผลจากการขยายตัวของปริมาณรถยนต์ที่เสียภาษีไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ 22,812 ล้านบาท
สูงกว่าประมาณการ 7,525 ล้านบาท หรือ 49.2%
โดยรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้ที่สำคัญ ได้แก่
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 13,577 ล้านบาท
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 4,500 ล้านบาท
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 2,000 ล้านบาท
และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 1,300 ล้านบาท
สำหรับการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 7
เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 (ต.ค. 2548 - เม.ย. 2549)
รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 682,914 ล้านบาท
สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 10,207 ล้านบาท หรือ 1.5%
เนื่องจากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรสูงกว่าประมาณการถึง 7.3%
และรัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้สูงกว่าเป้าหมายถึง 42.2%
"กระทรวงการคลังคาดการณ์แนวโน้มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลปีงบประมาณ
2549
จากผลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 7
เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 ที่ยังสูงกว่าประมาณการจำนวน 10,207
ล้านบาท ว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2549 ได้ตามประมาณการ
1,360,000 ล้านบาท" นายสมชัยกล่าว
ไทยโพสต์ ไทยรัฐ มติชน ข่าวสด
ผู้จัดการออนไลน์ โพสต์ทูเดย์ แนวหน้า
กรุงเทพธุรกิจ สยามรัฐ 11 พ.ค. 49
ฐานเศรษฐกิจ 11-13 พ.ค. 49
คำสำคัญ (Tags): #uncategorized หมายเลขบันทึก: 28734เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2006 11:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น