เถรวาทพยายามรักษาความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระธรรมและพระวินัยไว้
หากมีการแยกกันชัดเจนว่า วัดนี้เป็นเถรวาท วัดนี้เป็นมหายาน
ต่างทำหน้าที่ของตน มั่นคงเป็นปึกแผ่นโดยเถรวาท กว้างขวางแผ่ขยายโดยมหายาน
พระพุทธศาสนาก็จะคงอยู่เจริญรุ่งเรืองสืบไป
แต่เมื่อใดที่เถรวาทปฎิบัตตนเป็นมหายาน หรือมหายานอ้างตนว่าเป็นเถรวาท
พระธรรมพระวินัยที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ก็จะถูกปลอมปนบิดเบือนไป
อันจะนำไปสู่การล่มสลายของศาสนจักรและอนาจักรในที่สุด
สัทธรรมปฏิรูป และการคลาดเคลื่อนไหลเลื่อนจากอาจริยวาทไปสู่มหายาน เกิดมาทุกยุคสมัย
เช่นเดียวกับกรณีธรรมกาย ที่ชาวพุทธจะต้องทำหน้าที่ให้สมกับการเป็นชาวพุทธ
ควรศึกษาเพื่อความเข้าใจและตื่นรู้
สิ่งไหนดีก็ควรชื่นชมอนุโมทนา
สิ่งไหนผิดสิ่งไหนไม่ดี เป็นโมหะหรือเคลื่อนไปจากธรรม ก็ควรแก้ไข
ขจัดอวิชชา ทำความจริงให้ปรากฏ ตามบริบทที่ควรจะเป็น
แต่ทั้งนี้ควรมีความเข้าใจว่า
คนกับ ความดีความชั่วนั้น เป็นคนละเรื่องกัน
คนก็คือคน ความดีกับความชั่ว ก็คือดีกับชั่ว
แม้ว่าเราก็ต่างเป็นปุถุชนที่รักดีเกลียดชั่วอยู่ เราก็จะไม่สุดโต่ง
แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คือกำจัดคนชั่ว คนไม่ดีให้สิ้นซาก
เพราะคนไม่ดี ก็ยังสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
ดังนั้นควรแก้ที่ต้นเหตุ คือความไม่รู้ หรืออวิชชาของเขา
โดยบันทึกนี้ ขอทำความความจริงให้ปรากฏ ด้วยข้อมูลที่ทุกท่านสามารถพิจารณาด้วยตนเอง อย่างตรงไปตรงมาและเป็นกลาง
เพื่อขจัดความไม่รู้ และช่วยกันรักษาพระธรรมพระวินัยที่บริสุทธ์บริบูรณ์สืบไป
หลักฐานแสดงเกี่ยวกับกรรมฐานแนววิชชาธรรมกาย
- หลักฐานหลวงพ่อสดยอมรับความหลงผิดในวิชชาธรรมกายทำให้ติดนิมิต หลักฐานยืนยัน ของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณโชดก พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
ทั้งหมดนี้เพื่อ สติและความตื่นรู้
เท่าทันปัจจุบัน ในความจริงที่ว่า
พระพุทธศาสนาในเมืองไทยที่อ้างตนว่าเป็นเถรวาท ส่วนใหญ่นี้กำลังมีความเชื่อความศรัทธาที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมมาก
กฏแห่งกรรมถูกบิดเบือนไป เป็นทำบุญด้วยเงินทองมากๆ ช่วยให้ลดหรือแก้กรรมได้
ทำบุญหวังผลชาติหน้า เชื่อในอำนาจดลบันดาลและการพึ่งพิง
พระเครื่องและเทพบังธรรม
สมควรแล้วที่จะถึงเวลาขจัดอวิชชาเหล่านี้ให้สิ้นไป
ดังที่มีท่านผู้รู้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยในพระพุทธศาสนาไว้ดังนี้
=============================================================
ดร.พระมหาสิงห์ทน นราสโภ กล่าวไว้ในหนังสือ
นานาทัศนะเกี่ยวกับพระธรรมปิฎก ว่า
“พระธรรม คือคำสั่งสอนทางพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ได้ผิดเพี้ยนไปจากองค์ธรรมดั้งเดิมเป็นอย่างมาก
จนอาจกล่าวได้ว่า เป็น “สัทธรรมปฏิรูป”
เนื่องจากชาวพุทธในประเทศไทยส่วนหนึ่ง
ขาดการศึกษาหาความรู้ในทางพระพุทธศาสนา
พอๆ กับความหย่อนยานในพระธรรมวินัย
และความอ่อนแอในทางปริยัติทางปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์
ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในปรัชญาพุทธ
หวังบวชเรียนเพียงเพื่อลาภสักการะ”
พระชยสาโรภิกขุ ให้ความเห็นไว้ในหนังสือเล่มเดียวกันว่า
“เป็นเพราะชาวไทยจำนวนมิใช่น้อยเป็นพุทธแต่เพียงโดยกำเนิด โดยประเพณี
เป็นพุทธโดยธรรมเนียม เมืองไทยยังไม่เป็นเมืองพุทธ แต่มีเพียงศักยภาพที่จะเป็นพุทธ”
อาจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี
มีความเห็นเกี่ยวกับการที่พุทธศาสนิกชนคนไทยส่วนหนึ่งเชื่อ
และเข้าใจในหลักพุทธธรรมที่ผิดๆ ว่า
“เป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีวัฒนธรรมในการเรียนรู้
ไม่มีฉันทะในการเรียนรู้ ไม่มีความสามารถในการแสวงหาความรู้
และไม่ใช้ความรู้ในการดำรงชีวิตและการงาน”
อาจารย์ระวี ภาวิไล มีความเห็นว่า
“คนทั่วไป ยังเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เพียงพอ
ในการที่จะนำมาใช้นำทางชีวิตในอย่างถูกต้องไม่ว่าระดับไหน
และที่น่าเป็นห่วงคือ
ในระดับของผู้ที่ได้รับการศึกษาทางตะวันตกมามากที่รู้
และเข้าใจในพระพุทธศาสนายังไม่เพียงพอ
รวมทั้งผู้ที่มีบทบาทในการบริหารสังคม”
อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก มีความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า
“เป็นเพราะสังคมพุทธ ขาดสติ ขาดการตื่นตัว
คณะสงฆ์อยู่ในสภาพที่ไม่รู้ปัญหา หรือรู้แต่ไม่ยอมรับว่ามีปัญหา
การปกครองหย่อนยานขาดการเอาใจใส่ที่เนื่องมาจากเหตุ ๒ ประการ
คือ ผู้ที่มีหน้าที่ปกครองขาดความเข้มงวดในตัวเอง
ทำให้ไม่สามารถที่จะว่ากล่าวดูแลคนอื่นได้
พระผู้ใหญ่ไม่เป็นหลักในการดูแลพระ หรือผู้ที่มาบวชเรียน
โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษา มีประสบการณ์ทางโลกมาบวช
พวกนี้เป็นอันตรายแก่พระศาสนามาก
เพราะมีความเชื่อว่าตนเองมีความรู้มีประสบการณ์มากมาก
ทิฏฐิมานะจึงมีมาก บวชเรียนอย่างที่ไม่ยอมเป็นลูกศิษย์ใคร
ถ้าระบบอุปัชฌาย์ไม่เข้มงวด พระประเภทนี้ จะตั้งตนเป็นอาจารย์ทันที”
นี่คือความเห็นของท่านผู้รู้
ที่มีความห่วงใยในพระศาสนาที่มองสังคมไทยในขณะนี้ว่า
แก่นของพระพุทธศาสนายังคงเหลืออยู่อีกหรือไม่
ฐานะของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
จะยังสามารถคงความเชื่อดั้งเดิมแห่งพุทธธรรมไว้ได้อีกนานเท่าใด ?
และสถาบันใดจะเป็นแกนนำในการปรับปรุงแก้ไข ?
ที่มา : “ปรัชญาพุทธเถรวาทและปรัชญาพุทธมหายาน” ใน ความเชื่อของมนุษย์เกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา (Faith and Believe toward Philosophy and Religion), เรียบเรียงโดย : นายแพทย์ สุวัฒน์ จันทรจำนง, หน้า ๒๔๖-๒๕๑)
=======================================================