“สำนึกรักบ้านเกิด” มั้งค่ะ...ถึงได้เขียนบันทึกเรื่องนี้ขึ้นมา
อาจจะเป็นความผูกพันกับทวด
ท่านเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่สามารถปราบเด็กเกเรได้หมด ด้วยความตัวโต
สูงใหญ่ แถมเสียงก็ดังอีกต่างหากเลยทำให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านกลัว
และที่สำคัญท่านหวงและรักหลาน ๆ ทุกคนของท่านมาก
อาจเกรงว่าจะถูกรังเกจากเด็กเกเรท่านเลยต้องข่มเอาไว้ก่อน
หากวันใดที่เห็นหลานร้องไห้กลับมาหลังจากการเล่นกับเพื่อน ๆ
ทวดก็จะคอยถามไถ่ว่าใครรังเกหากแค่เพียงบอกท่านคำเดียว
ท่านถึงกับเดินจ้ำอ้าวไปจัดการให้ทันที พักหลัง ๆ
ก็ไม่ค่อยมีคนเล่นด้วย!!! เฮ้ยไม่ใช่!!! ไม่มีใครรังเก
แต่ใช่ว่าทวดจะเป็นอันธพาลในหมู่บ้าน
ท่านกลับเป็นที่รักและเคารพของทุกคนในหมู่บ้านอาจจะด้วยความอวุโสที่สุดในหมู่บ้านด้วยมั้งค่ะ
คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็จะเป็นญาติพี่น้องกัน
จึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรให้ทะเลาะกันสักเท่าไร
ตอนปิดเทอม
ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ตอนเย็น ๆ อากาศสบาย ๆ คลื่นลมสงบ พวกเราหลาน
ๆ ก็จะเดินขบวนชวนกันไปชายหาด
พี่ชายเดินหิ้วกระติกนำหน้าลิ่วลงสู่ทะเล ช่วงนี้หอยเสียบเยอะมากค่ะ
หอยเสียบเป็นหอยที่ตัวเล็ก ใหญ่สุดก็เท่าหัวแม่โป้งเห็นจะได้
เก็บเอาไปดองกับเกลือไม่กี่วันก็กินได้แถมรสชาติอร่อยด้วยซิ
กินกับเกงส้ม (แกงเหลือง) สุดยอดค่ะ หอยเสียบมันจะฝังตัวอยู่ตามชายหาด
พอคลื่นซัดมาก็เห็นฟองผุดขึ้นจากพื้นดิน
หากเดินเข้าไปใกล้ก็จะเห็นรูเล็ก ๆ ตรงนั้นแหละค่ะ
สันนิฐานได้เลยว่าหอยเสียบฝังตัวอยู่
พวกเราก็จะวิ่งเข้าไปและใช้มือหรือเท้าตะกุยดินขึ้นมาเพื่อควานหา
มันฝังตัวอยู่ไม่ลึกจากพื้นดินสักเท่าไร "ประโยชน์ที่ได้จากการหาหอยเสียบพวกเราพบว่า
เท้าและมือที่สกปรกมาก ๆ กลับขาวสะอาดโดยไม่ต้องใช้สบู่ทำความสะอาดเลย
อาจเป็นเพราะความเค็มของน้ำทะเลที่ช่วยกัดความสกปรกและบวกกับการถูอวัยวะลงไปกับพื้นทรายที่ละเอียดมาก
ๆ จึงทำให้ขาวสะอาดทันตา"
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินพี่ชายก็ชวนกลับบ้าน
แต่ก่อนจะกลับเห็นพี่ชายเดินเก็บกระดองปลาหมึกที่คลื่นซัดมาวางเรียงรายอยู่บนชายหาด
พี่ชายจะเลือกเก็บเฉพาะกระดอกใหญ่ ๆ เท่ากับฝ่าเท้าของทวดเห็นจะได้
พี่ชายบอกว่าทวดให้นำกลับไปด้วย ก็เฝ้าแต่ดูพี่ชายก้ม ๆ เงย ๆ
ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก
ครั้นกลับไปถึงบ้านเนื้อตัวเหนียวเนอะเพราะความเค็มของน้ำทะเล พวกเราไม่รอช้ารีบไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย กลับมาอีกทีก็เห็นทวดกำลังขัดหม้ออยู่ก็เลยเข้าไปนั่งดูใกล้ ๆ ถึงกับแปลกใจว่าทำไมทวดนำกระดอกปลาหมึกมาขัดหม้อ ทวดใช้มือจับกระดอกปลาหมึกและเอาส่วนที่เป็นเนื้อละเอียดหันเข้าหาหม้อแล้วนั่งละเลงขัดไปเรื่อย ๆ สักพักก็พบว่าหม้อที่ดำสุด ๆ เนื่องจากการใช้ไม้ฟืนหุง (ต้ม) ขัดแป๊บเดียวขี้เถ้าสีดำ ๆ ที่เกาะอยู่ออกหมดเพียงพริบตาเดียว จากนั้นทวดก็ใช้น้ำล้างทำความสะอาดตามปกติ ก็ยังสงสัยว่าทำไมมันขาวได้!!!
ทวดบอกให้ฟังว่า “หากเราไม่มีสก๊อตไบร์...เราสามารถใช้กระดอกปลาหมึกขัดหม้อได้มันดีตรงที่ว่ากระดอกปลาหมึกตรงส่วนที่เป็นเนื้อทรายของมันละเอียดมากพอนำมาขัดหม้อจะทำให้หม้อไม่สึก
และอีกอย่างที่สำคัญที่สุดเราไม่ต้องเปลืองสตางค์เพราะใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างคุ้มค่า
และยังพบว่ากระดองปลาหมึกสามารถนำไปขัดฟันให้ขาวสะอาดได้อีกด้วย”
ทวดก็ยังบอกอีกว่าทรายละเอียด ๆ
ที่ชายหาดก็สามารถขัดหม้อได้เหมือนกันแต่มันจะหยาบกว่ากระดองปลาหมึกอาจจะทำให้หม้อสึกเร็ว
จึงนิยมใช้กระดอกปลาหมึกมากกว่า แต่ช่วงหลัง ๆ ในหมู่บ้านค่อย ๆ
เจริญขึ้นมีร้านขายของชำเกิดขึ้นมากมาย
และมีของใช้ให้เลือกหลากหลายจับจ่ายได้สะดวกจึงทำให้ไม่มีใครใช้กระดอกปลามึก
และบวกกับสมัยนี้ไม่เห็นมีกระดอกปลาหมึกยักษ์เลยแม้แต่กระดองเดียว
ธรรมชาติแบบเดิม ๆ หายไปพร้อมกับความทันสมัยที่เข้ามาแทนที่
ยังนึกเสียดาย!!! ไม่หาย ที่เราไม่สามารถเรียกคืนธรรมชาติเดิม ๆ
กลับคืนมา
หากแต่แค่อนุรักษ์ให้คงไว้ซึ่งสภาพเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
คุณ "ขจิต"
ใส้ในลูกบวบ...เคยเห็นค่ะ เป็นเส้นใยสีเนื้ออ่อน ๆ ฝักยาวพอประมาณใช่มั๊ยค่ะ ที่แถวบ้านเขาปลูกกันเยอะเลยค่ะ
คุณ "พี่เม่ย"
ขอบคุณ "พี่เม่ย"
มากค่ะ...ได้ความรู้ใหม่อีกแล้วว่าเปลือกไข่
ก็สามารถนำมาขัดหม้อได้เหมือนกัน สงสัยต้องเอาไปลอง
ทำบ้างแล้วล่ะค่ะ...ดีจังพี่เม่ยมีอะไรดี ๆ มาบอก ชอบค่ะได้
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
อ.เอกองค์ค่ะ...คนล่ะใส้กันหรือเปล่าเอ่ย...
อ.เอกองค์ อ่านไม่ละเอียดเรย
อ.เอกองค์ เขาล้อเล่นมั้งค่ะ...
แต่ก็อดสงสัยอยู่เหมือนกัน อ.เอกองค์ พักหลังสายตาเริ่มสั้นไปเยอะ
อายุคงย่างเข้าวัยกลางคนแล้วมั๊งค่ะ ตัดแว่นเถอะค่ะ...
หนูขอร้อง (ล้อเล่นน่ะ...กิ๋ว ๆ)