ท่ามกลางความวุ่นวายของยวดยาน ที่โลดแล่นขวักไขว่ไปมาบนท้องถนน ชีวิตหนึ่งสอดแทรกลงในช่องว่างของความสับสนนั้นอย่างกลมกลืน แหวกว่ายอยู่ในม่านฝุ่นควัน และไอเสีย ไม่มีอะไรโดดเด่น สะดุดตา...
คล้อยบ่ายของทุกวันริมถนนวงศ์สว่าง .....
ภาพของหญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมกับรถเข็นคันเล็กๆ ซึ่งบรรทุกข้าวของพะรุงพะรัง ค่อยๆ คืบคลานไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ด้วยเรี่ยวแรงของ 2 ขา ที่โรคภัยเริ่มรุมเร้าเข้ามาบั่นทอนกำลัง เพื่อจัดการกับภาระหน้าที่ที่ไม่มีใครมอบหมาย หรือสั่งให้เธอต้องทำ แต่เธอก็ทำของเธอเองมาแล้วเป็นเวลากว่า 10 ปี เป็นสิ่งที่คนในละแวกนี้เห็นกันจนชินตา หรือหากใครที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นประจำจะลองเหลียวมาดู ภาพชีวิตเล็กๆ ของเธอคนนี้ก็คงจะผ่านมาในสายตาเข้าสักวัน อย่างไม่ยากเย็น .....
‘พี่แอน’ หญิงวัย 49 ปี ที่ผมมีโอกาสพบกับเธอเป็นครั้งแรกเมื่อซัก 1 ปีก่อนหน้านี้ จากเสียงร้องขออย่างสุภาพของเธอ …..
“พี่ช่วยบริจาคเงินเป็นค่าอาหารหมาจรจัดหน่อยมั้ยคะ”
เงิน 20 บาท กับคำขอบคุณในวันนั้น คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้รับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอในละแวกที่พักอาศัย ก่อนที่หลังจากนั้นจะมีโอกาสได้พบกับเธอบ่อยขึ้น จากการยืนขอรับบริจาคเงินบริเวณปากซอยทางเข้าบ้านของผม อาทิตย์ละครั้งบ้าง 2 ครั้งบ้าง ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้อยากเจอกับเธอซักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะการเจอกันแต่ละครั้งมันหมายถึง เงิน 20 บาทในกระเป๋าของผม จะต้องถูกถ่ายโอนไปอยู่ในมือของเธออย่างไม่รู้จะปฏิเสธยังงัย ‘ แกเอาเงินไปเลี้ยงหมาจรจัดจริงหรือเปล่าวะเนี่ย .. ??? ’ ผมมีสิทธิที่จะสงสัยอย่างนั้นไม่ใช่หรือ กับสังคมทุกวันนี้ที่ลักษณะการหากินแปลกๆ ของคนบางจำพวกเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ง่ายจะตายไป แต่ข้อสงสัยนั้นของผมก็ได้รับคำตอบในเวลาต่อมาไม่นานนัก เมื่อสายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นภาพของเธอกำลังให้อาหารสุนัขจรจัดอยู่ริมถนน ขณะที่ผมกำลังนั่งรถกลับบ้านในบ่ายวันหนึ่ง และค่อยๆ บ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ จากการมองอย่างสังเกตเพื่อค้นหาเธอในวันต่อๆ มา
‘ คนใจบุญคนหนึ่งในสังคมเฮงซวย ’
ความรู้สึกที่ผมคิดว่าเธอเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นทำให้เงิน 20 บาทต่อๆ มาของผมที่หยิบยื่นไปให้ ดูมีคุณค่าเพิ่มขึ้นมากว่าแต่ก่อนอย่างมากมาย จนกระทั่งในการพบกันครั้งหนึ่ง .....
“ขอบคุณค่ะพี่ แต่พี่ไม่ต้องให้หนูแล้วเมื่อกี้แฟนพี่ให้หนูมาแล้วคะ”
“ ..................... ”
คำปฏิเสธที่ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงตัวตนอีกด้านหนึ่งในตัวพี่แอน ที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งเป็นอะไรที่มากกว่า ‘คนใจบุญ’ อย่างที่เคยคิดไว้ตอนแรก
‘ผู้รับ’ ที่รู้จักคำว่า ‘พอ’ โดยไม่ปรารถนาที่จะเบียดเบียนผู้อื่นมากไปกว่าที่เคยได้รับมา ในชีวิตหนึ่งจะมีซักกี่ครั้ง ที่จะมีโอกาสได้พบกับ ‘น้ำใจของผู้รับ’ เช่นนี้ตกหล่นข้างทางกลางเมืองหลวง เมืองแห่งการแก่งแย่งดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เมืองที่คำว่า ‘พอ’ ดูจะหายไปจากใจผู้คนมานานแสนนาน .....
“หนูสงสารพวกมันเลยเริ่มเก็บเอามาเลี้ยง แต่ที่บ้านพื้นที่น้อยเลยเลี้ยงได้แค่ 25 ตัว ที่เหลือหนูก็ก็ได้แต่คอยหาข้าวให้มันกิน ก็ทำได้แค่ที่ตัวเองมีแรงทำแหล่ะคะพี่”
เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต ‘นางฟ้าจรจัด’ ของพี่แอน อดีตแม่ค้าขายขนมหวานที่ตัดสินใจยุติอาชีพของตนเพราะความสงสารและรักสุนัข แล้วหันมาคอยช่วยเหลือจุนเจือชีวิตจรจัดแถวถนนวงศ์สว่างทั้งเส้น โดยได้รับความเห็นชอบจากทางบ้าน ซึ่งยังมีพี่น้องอีกหลายคนที่สามารถทำงานจุนเจือครอบครัวได้
ถึงพี่แอนจะโชคดีที่คนในครอบครัวเข้าใจในสิ่งที่ทำ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเข้าใจอย่างนั้นด้วยทุกคน เพราะด้วยความที่สุนัขจรจัดมีมากกว่าที่คิดเอาไว้ จนเกินกำลังที่พี่แอนจะช่วยเหลือพวกมันได้โดยลำพังอีกต่อไป การขอรับบริจาคจึงเป็นหนทางในการแก้ปัญหาของพี่แอน เพื่อให้ทุกชีวิตที่เธอไปพบเห็นพวกมันถูกทิ้งขว้างอยู่ข้างทางได้อิ่มท้อง แม้ว่านั่นมันจะทำให้เธอถูกมองว่าทำตัวไม่ต่างไปจาก ‘ขอทาน’ เลยก็ตาม
"ก็มีบ้างที่โดนว่านะพี่ แขนขาก็ยังดีมาเที่ยวขอทานคนอื่นไม่อายบ้างหรืองัย บางคนก็หาว่าหนูเอาหมามาหากิน แต่หนูก็ไม่ได้โกรธพวกเค้านะพี่ หนูเข้าใจพวกเค้า ใครจะคิดยังงัยก็ปล่อยเค้าคิดไป แต่บางครั้งมันก็น้อยใจนะพี่ แต่ก็ต้องทนเพราะหนูทำเองคนเดียวไม่ไหว” การถูกเข้าใจผิด หรือโดนดูถูก อาจจะทำให้พี่แอนรู้สึกน้อยใจบ้างในบางครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำร้ายจิตใจของเธอมากไปกว่าความช่วยเหลือที่เธอคาดว่าจะได้รับ แต่สุดท้ายกลับถูกปฏิเสธออกมาอย่างไม่ใยดี
‘วัด’ (บางแห่ง) ที่ซึ่งพี่แอนคิดว่าน่าจะมีข้าวเหลือพอสำหรับสัตว์ยากไร้ แต่ความจริงที่ต้องรับรู้ก็คือ นั่นเป็นอาหารสำหรับญาติโยมที่จะมารับเอากลับไปกินกันตอนเย็น (หมาในวัดนั้นพี่แอนต้องเอาข้าวไปให้ด้วย)
‘มูลนิธิสงเคราะห์สัตว์’ (บางแห่ง) ที่ซึ่งพี่แอนคิดว่าน่าจะได้รับความช่วยเหลืออะไรบ้างแต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปดังหวัง แม้แต่ใบอนุญาตการขอเรี่ยรายเงินบริจาค (ผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเรียกว่าใบอนุญาติอะไรกันแน่) ที่สามารถช่วยเหลือเธอให้หมดปัญหากับตำรวจและเทศกิจ ก็เป็นความช่วยเหลือที่พ่วงมาด้วยข้อแม้ .. ‘ ทุกอย่างต้อง 50-50 ’
"ถ้าหนูต้องเอาเงินไปแบ่งให้เค้าครึ่งหนึ่ง แล้วหนูจะเหลือพอให้หนูไปเลี้ยงหมาที่ไหนละพี่ หนูต้องซื้อข้าวกระสอบละ 1,250 บาท กระสอบนึงก็อยู่ได้ 3-4 วันเอง ไหนจะตับที่ต้องเอามาบดคลุกให้พวกมันอีกล่ะ ไหนยังจะต้องซื้อนมให้ไอ้ตัวที่ป่วยอีก นี่ยังดีนะพี่ที่มีคนใจดีคอยซื้ออาหารเม็ดมาให้หนู (เธอเข้าใจว่าหมาป่วยถ้าได้กินอาหารเม็ดจะหายเร็วขึ้น) ม่งั้นหนูก็ไม่มีปัญญาหาให้มันกินหรอก”
ทุกวันนี้พี่แอนจึงทำได้แค่เพียงนั่งขอรับบริจาคอยู่ตามป้ายรถเมล์บ้าง หรือจากผู้คนที่เข็นรถผ่านไปบ้าง และในบางครั้งถ้าอาหารที่มีอยู่ใกล้จะหมดแต่เงินยังไม่พอที่จะไปซื้อ พี่แอนก็ต้องยอมเสี่ยงกับการถูกตำรวจหรือเทศกิจเรียกตรวจใบอนุญาตขอเรี่ยรายเงินบริจาค ซึ่งเธอไม่เคยมี ยอมเสี่ยงกับการถูกจับ หรือขับไล่ว่าเป็น ‘คนเรี่ยรายเงินเถื่อน’ ถือกล่องรับบริจาคไปยืนตามแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่านอย่างแถวท่าน้ำศิริราช และที่อื่นๆ เพื่อให้วันต่อไป ‘ชีวิตเถื่อน’ ที่ไม่มีใครต้องการอีกหลายชีวิตจะได้มีข้าวกินอิ่มท้อง
ที่เล่ามาคงเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเล็กๆ ในสังคม ...
'ผู้รับ’ ในสายตาคนทั่วไป แต่เป็น ‘ผู้ให้’ สำหรับเหล่าสุนัขจรจัดแถววงศ์สว่าง ซึ่งในสายตาของพวกมัน พี่แอนคงไม่ต่างจาก ‘นางฟ้า’ ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อดลบันดาลความหิวโหยในแต่ละวันของพวกให้มันหมดไป
ผมลองถามคนคนในละแวกในละแวกใกล้เคียงถึงเรื่องของพี่แอน ทุกคนพูดตรงกันว่าเธอนำอาหารมาให้สุนัขแถวนั้นทุกวัน แต่ก็มีบ้างกับบางอคติที่เกิดขึ้นในใจใครบางคน
‘คนเลี้ยงหมา หมาก็เลี้ยงคนเหมือนกันแหล่ะ’
ผมคงไม่อาจปฏิเสธว่ามันอาจเป็นอย่างคำพูดนั้นจริงๆ ก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง .. ก็แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ
มููลนิธิสงเคราะห์สัตว์ต่างๆ ไม่ได้นำเงินบริจาคมาใช้จ่ายเป็นค่าบุคลากรรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เลยหรือ ???
‘การให้’ ต้องหมายถึง การห้ามรับสิ่งใดๆ ตอบแทนกลับมาเลยหรือ ???
หรือเพราะใครหลายคนไม่คุ้นเคยกับการเป็น ‘ผู้ให้’ จึงทำให้นิยามของมันถึงคับแคบได้มากขนาดนั้น .....
โดยส่วนตัวผมเอง มอง ‘การให้’ กับ ‘การรับ’ ว่าเป็นของคู่กันเสมอ จะมีที่แตกต่างกันก็แต่เพียง สิ่งที่จะได้รับกลับมานั้นคืออะไรก็เท่านั้นเอง แต่นั่นก็คงไม่ได้สำคัญมากไปกว่า ‘ความปรารถนาดี’ ที่ใครคนหนึ่งตั้งใจมอบมันออกไป ซึ่งในบางครั้งหรือบางอย่าง อาจจะมีแต่เพียงผู้รับเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึง ‘คุณค่า’ ของความปรารถนาดีที่ได้รับมา .....
บทความโดย
พรายพิลาศ
๗ สิงหาคม ๒๕๕๒
โพสต์ครั้งแรก Mblog/Manager Online
http://mblog.manager.co.th/prypilas/th-71538/
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ astv ผู้จัดการฉบับวันที่ 3 สิงหาคม 2552
ขอบคุณที่นำมาโพสต์ไว้นะคะ คุณทำให้ทานที่เราทำไปเมื่อวันเสาร์ที่สวนจัตุจักรมีความปีติมากๆๆๆ เรามีความสุขใจมากๆๆๆ และขอให้ท่านผู้นำบทความนี้มาลงมีความสุข และปีติในบุญที่บอกมาด้วยเช่นกันนะคะ ขอบคุณค่ะ