จงยกตัวอย่างการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษามา 2 ชนิด อธิบายความหมาย ความสำคัญ และหลักการ/ปรัชญาเบื้องหลังนวัตกรรมนั้นมาพอเข้าใจ
E-learning
ความหมายโดยสรุป ของ E-learning ก็คือ
"การใช้ทรัพยากรต่างๆ ในระบบอินเทอร์เน็ต มาออกแบบและจัดระบบ
เพื่อสร้างระบบการเรียนการสอน
โดยการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ตรงกับความต้องการของผู้สอนและผู้เรียน
เชื่อมโยงระบบเป็นเครือข่ายที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
และทุกคน" โดยสามารถพิจารณาได้จากคุณลักษณะ ดังนี้
-เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
-เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องการเนื้อหารายวิชาใด วิชาหนึ่งเป็นอย่างน้อย
หรือการศึกษาตามอัธยาศัย
-ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตนเอง จากทุกที่ทุกเวลาโดยอิสระ
-ผู้เรียนมีอิสระในการเรียน
การบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้แต่ละเนื้อหา ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับ
หรือพร้อมกับผู้เรียนรายอื่น
-มีระบบปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน และสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้
-มีเครื่องมือที่วัดผลการเรียนได้
-มีการออกแบบการเรียนการสอนอย่างมีระบบ
-ผู้สอนมีสภาพเป็นผู้ช่วยเหลือผู้เรียน ในการค้นหา การประเมิน
การใช้ประโยชน์จากเนื้อหา จากสื่อรูปแบบต่างๆ ที่มีให้บริการ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า E-learning
เป็นระบบการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเว็บ
และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
มีสภาวะแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา (Active
Learning) และการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center
Learning) ผู้เรียนเป็นผู้คิด ตัดสินใจเรียน
โดยการสร้างความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ด้วยตนเอง
สามารถเชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้ให้เข้ากับชีวิตจริง
ครอบคลุมการเรียนทุกรูปแบบ ทั้งการเรียนทางไกล
และการเรียนผ่านเครือข่ายระบบต่างๆ
E-learning ในประเทศไทย
การจัดระบบการเรียนการสอนทางไกลในประเทศไทยในปัจจุบัน
ได้ก้าวเข้าสู่การใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการนำเสนอ
โดยมีรูปแบบการนำเสนอผลงานแบ่งได้ 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
-การนำเสนอในลักษณะ Web Based Learning
-การนำเสนอในลักษณะ E-learning
รูปแบบการพัฒนา E-learning ในประเทศไทย
ทั้ง WBI และ
E-learning ที่มีอยู่ประเทศไทย พบว่าแต่ละหน่วยงานได้พัฒนาระบบ
LMS/CMS ของตนเอง อิงมาตรฐานของ AICC เป็นส่วนใหญ่
ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็ใช้ Web Programming แตกต่างกันออกไปทั้ง PHP,
ASP, Flash Action Script, JavaScript
ทั้งนี้อาจจะจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง
หรืออาจจะพัฒนาโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็นการส่วนตัวก็ได้
เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่จะมาจากการขาดงบประมาณและการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมจากผู้บริหาร
นอกจากนี้มีบริษัทภายในประเทศไทยที่พัฒนาซอฟต์แวร์บริหารจัดการการเรียนชื่อ
Education Sphere (http://www.educationsphere.com/)
คือบริษัท Sum System จำกัด ที่พัฒนา LMS Software
ออกมาให้จำหน่ายและพัฒนาให้กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง
เป็นหน่วยงานแรก
รวมทั้งศูนย์การศึกษาต่อเนื่องแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก็พัฒนาโปรแกรมจัดการหลักสูตรเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนการสอนชนิด
Web Based Instruction โดยตั้งชื่อโปรแกรมว่า Chula E-learning System
(Chula ELS) ออกมาให้บริการเช่นกัน
ปัญหาการพัฒนา E-learning ในประเทศไทย
การพัฒนา WBI และ E-learning ในประเทศไทย ต่างก็ประสบปัญหาต่างๆ
ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
-ปัญหาการสนับสนุนด้านงบประมาณและบุคลากร
และการสนับสนุนจากผู้บริหาร
-ปัญหาการขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี E-learning
และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
-ปัญหาเรื่องราคาของซอฟต์แวร์ CMS/LMS และการลิขสิทธิ์
-ปัญหาเรื่องทีมงานดำเนินการ ทั้งด้านความรู้, การคิดสร้างสรรค์
และเงินสนับสนุน
-ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะนำเสนอ ทั้งแหล่งที่มา, ผลตอบแทน
และการละเมิดเมื่อเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์
-ปัญหาเกี่ยวกับ Infrastructure ของประเทศ ที่ยังขาดความพร้อม
-ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการพัฒนาเว็บภาษาไทย ทั้งการเข้ารหัส,
การใช้ฟอนต์ และรูปแบบ
ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดทำระบบ CMS/LMS
ลักษณะสำคัญของ E-learning
E-learning นับเป็นคำใหม่พอสมควร
ที่มีความหมายถึงการอบรมด้วยระบบเครือข่าย หรือผ่านระบบเครือข่าย
ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือเครือข่ายอินทราเน็ตในองค์กร
ดังนั้น E-learning จึงได้ผนวกเข้ากับโลกแห่งการศึกษา
และวงจรธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัจจุบันนี้บริษัทหลายบริษัทพัฒนาระบบ E-learning
เพื่ออบรมพนักงานขายของบริษัท ให้ทราบและรู้จักผลิตภัณฑ์ใหม่
พร้อมเทคนิคการขาย มหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ เช่น Stanford หรือ Harvard
ก็นำระบบ E-learning มาให้บริการนิสิต นักศึกษาจากทั่วโลก
เพื่อสมัครเรียนในหลักสูตรต่างๆ ที่เปิดให้บริการ
ดังนั้นจึงพอจะสรุปลักษณะสำคัญของ E-learning ได้ดังนี้
Anywhere, Anytime and Anybody คือ ผู้เรียนจะเป็นใครก็ได้
มาจากที่ใดก็ได้ และเรียนเวลาใดก็ได้ตามความต้องการของผู้เรียน
เพราะหน่วยงานได้เปิดเว็บไซต์ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
รวมทั้งบริการจัดทำเป็นชุด CD เพื่อใช้ในลักษณะ Offline
ให้กับโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่สนใจ แต่ยังไม่พร้อมในระบบอินเทอร์เน็ต
Multimedia สื่อที่นำเสนอในเว็บ ประกอบด้วยข้อความ ภาพนิ่ง
ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ตลอดจนวีดิทัศน์
อันจะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี Non-Linear
ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเนื้อหาที่นำเสนอได้ตามความต้องการ
Interactive ด้วยความสามารถของเอกสารเว็บที่มีจุดเชื่อม (Links)
ย่อมทำให้เนื้อหามีลักษณะโต้ตอบกับผู้ใช้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
และผู้เรียนยังเพิ่มส่วนติดต่อกับวิทยากรผ่านระบบเมล์ ICQ, Microsoft
Messenger และสมุดเยี่ยม
ทำให้ผู้เรียนกับวิทยากรสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นรูปแบบการเรียนการสอนผ่านเว็บ จึงมีความยึดหยุ่นสูง
ผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบ
มีความกระตือรือร้นในการเรียนมากกว่าปกติ
มีความตั้งใจใฝ่หาความรู้ใหม่ๆ
ตรงกับระบบการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
โดยมีผู้สอนเป็นเพียงผู้แนะนำ ที่ปรึกษา และแนะนำแหล่งความรู้ใหม่ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการเรียน ผู้เรียนสามารถทราบผลย้อนกลับของการเรียน
รู้ความก้าวหน้าได้จาก E-Mail การประเมินผลควรแบ่งเป็น การประเมินย่อย
โดยใช้เว็บไซต์เป็นที่สอบ และการประเมินผลรวม
ที่ใช้การสอบแบบปกติในห้องเรียน
เพื่อเป็นการยืนยันว่าผู้เรียนเรียนจริงและทำข้อสอบจริงได้หรือไม่
อย่างไร
ข้อดี - ข้อเสียของการเรียนการสอนผ่านเว็บ
ข้อดี
-เอื้ออำนวยให้กับการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว ไม่จำกัดเวลาและสถานที่
รวมทั้งบุคคล
-ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องการเรียนและสอนในเวลาเดียวกัน
-ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกันในห้องเรียน
-ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน และผู้สอนที่ไม่พร้อมด้านเวลา
ระยะทางในการเรียนได้เป็นอย่างดี
-ผู้เรียนที่ไม่มีความมั่นใจ กลัวการตอบคำถาม ตั้งคำถาม
ตั้งประเด็นการเรียนรู้ในห้องเรียน มีความกล้า-มากกว่าเดิม
เนื่องจากไม่ต้องแสดงตนต่อหน้าผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้น
โดยอาศัยเครื่องมือ เช่น E-Mail, Webboard, Chat, Newsgroup
แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
ข้อเสีย
-ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึก
ปฏิกิริยาที่แท้จริงของผู้เรียนและผู้สอน
-ไม่สามารถสื่อความรู้สึก อารมย์ในการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง
-ผู้เรียน และผู้สอน
จะต้องมีความพร้อมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทั้งด้านอุปกรณ์
ทักษะการใช้งาน
-ผู้เรียนบางคน ไม่สามารถศึกษาด้วยตนเองได้
ข้อคำนึงในการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ
การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ ควรคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
ความพร้อมของอุปกรณ์และระบบเครือข่าย
เนื่องด้วยการเรียนการสอนผ่านเว็บ
เป็นการปรับเนื้อหาเดิมสู่รูปแบบใหม่ จำเป็นต้องมีเครื่องมือ อุปกรณ์
และระบบเครือข่ายที่พร้อมและสมบูรณ์
เพื่อให้ได้บทเรียนดิจิตอลที่มีคุณภาพ และทันต่อความต้องการเรียน
ผู้เรียนสามารถเลือกเวลาเรียนได้ทุกช่วงเวลาตามที่ต้องการ
ซึ่งในประเทศไทยพบว่ามีปัญหาในด้านนี้มาก
โดยเฉพาะในเขตนอกเมืองใหญ่
ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนและผู้สอน
ต้องมีความรู้และทักษะทั้งด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพอสมควร
โดยเฉพาะผู้สอนจำเป็นต้องมีทักษะอื่นๆ
ประกอบเพื่อสร้างเว็บไซต์การสอนที่น่าสนใจให้กับผู้เรียน
ความพร้อมของผู้เรียน ผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมทั้งทางจิตใจ
และความรู้ คือ จะต้องยอมรับในเทคโนโลยีรูปแบบนี้
ยอมรับการเรียนด้วยตนเอง มีความกระตือรือร้น ตื่นตัว ใฝ่รู้
มีความรับผิดชอบ กล้าแสดงความคิดเห็นและศึกษาความรู้ใหม่ๆ
ความพร้อมของผู้สอน ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้แนะนำ
มาเป็นผู้อำนวยความสะดวก ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้
กระตุ้นการทำกิจกรรม เตรียมเนื้อหาและแหล่งค้นคว้าที่มีคุณภาพ
รวมทั้งความพร้อมด้านการใช้คอมพิวเตอร์ การผลิตบทเรียนออนไลน์
และการเผยแพร่บทเรียนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เนื้อหา บทเรียน
เนื้อหาบทเรียนจะต้องเหมาะสมกับผู้เรียนให้มากกลุ่มที่สุด
มีหลากหลายให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเลือกเรียนได้ด้วยตนเอง
มีกิจกรรมวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เลือกใช้สื่อการสอนที่เหมาะสม
และเหมาะสมกับความพร้อมของเทคโนโลยี การลำดับเนื้อหาไม่ซับซ้อน
ไม่ก่อให้เกิดความสับสน ระบุแหล่งค้นคว้าอื่นๆ ที่เหมาะสม
ประโยชน์ของการเรียนการสอนออนไลน์
-เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน
-สนับสนุนการเรียนการสอน
-เกิดเครือข่ายความรู้
-เน้นการเรียนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ตรงตามหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา
-ลดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเมืองและท้องถิ่น
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( CAI)
1. ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน มาจากภาษาอังกฤษว่า Computer
Assisted Instruction หรือใช้คำย่อว่า CAI และมีผู้ให้
ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้หลายท่าน ดังนี้
-เคแอล ชินน์ ( K.L. Zinn. 1976 : 28 )
ได้ให้ความหมายไว้ว่า
“ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึงการใช้คอมพิวเตอร ์แสดงการฝึกฝน
ฝึกหัดแบบฝึกหัดและบททบทวนลำดับบทเรียนให้แก่นักเรียนและบางส่วนที่ช่วยนักเรียนในด้านการโต้ตอบเกี่ยวกับเนื้อหาของการเรียนการสอน
-พรีนิส ( Prenis. 1977 : 20 ) ได้ให้ความหมายว่า
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง
คอมพิวเตอร์ที่ช่วยทำให้นักเรียนเรียนรู้รายวิชาไปทีละขั้นตอน
โดยขณะที่มีการเรียนการสอนที่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของนักเรียนนั้น
คอมพิวเตอร์จะทำหน้าที่ ถามคำถามให้
คอมพิวเตอร์สามารถย้อนกลับไปสู่รายละเอียดที่ผ่านมาแล้วได้
หรือสามารถให้การฝึกฝนซ้ำให้แก่นักเรียนได้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (
กระทรวงศึกษาธิการ .2528: 1) ได้ให้ความหมายได้ดังนี้
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยสอนวิชาต่าง ๆ
ให้มนุษย์
โดยการนำเนื้อหาวิชาและลำดับวิธีการสอนมาบันทึกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ใช้ช่วยสอนโดยให้เครื่องกับผู้เรียนโต้ตอบกันเอง
ทั้งนี้จะรวมถึงการสอนให้รู้จักเขียนโปรแกรมสั่งงานคอมพิวเตอร์แต่ไม่รวมถึงการสอนคนให้รู้จักวิธีใช้คอมพิวเตอร์หรือรู้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นอย่างไร
คอมพิวเตอร์จึงเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ครูนำมาใช้เป็นสื่อในการสอน
ยืน ภู่วรวรรณ (2531 : 120-129) ได้กล่าวถึงคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คือ
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้นำเนื้อหาวิชาและลำดับวิธีการสอนมาบันทึกเก็บไว้
คอมพิวเตอร์จะช่วยนำบทเรียนที่เตรียมไว้อย่างเป็นระบบมาเสนอในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับ
นักเรียน แต่ละคนพวงเพชร วัชรรัตนพงค์ (2526 :16) ได้กล่าวไว้ว่า
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
คือการนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยครูในการเรียนการสอน
นักเรียนเรียนรู้เนื้อหา บทเรียน และฝึกฝนทักษะจากคอมพิวเตอร์
แทนที่จะเรียนจากครูในบางวิชา บางบทเรียน
การเรียนการสอนกับคอมพิวเตอร์จะถูกดำเนินไปเป็นระบบ
คอมพิวเตอร์จะสามารถชี้ที่ผิดของนักเรียนได้
เมื่อนักเรียนกระทำผิดขั้นตอนและคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสนองความแตกต่างของความสามารถระหว่างบุคคลของนักเรียนได้อีกด้วย
จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้ว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
หมายถึง การนำคอมพิวเตอร์กับโปรแกรมบทเรียนมาช่วยในการเรียนการสอน
มีการวางแผนเนื้อหาวิชาอย่างเป็นขั้นตอน สามารถตอบสนองกับผู้เรียน
มีการทบทวน การทำแบบฝึกหัด และการประเมินผล
2. ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนที่แตกต่างกันออกไป
ดังนั้นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ได้แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการนำไปใช้
ซึ่งอาศัยจุดเด่นหลายประการของคอมพิวเตอร์
ได้มีนักวิชาการได้สรุปประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้ดังนี้
1. การแก้ปัญหา (Problem Solving)
คอมพิวเตอร์ประเภทนี้จะเน้นให้ฝึกการคิดการตัดสินใจ
โดยมีการกำหนดกฎเกณฑ์ให้แล้วผู้เรียนพิจารณาไปตามเกณฑ์
มีการให้คะแนนหรือน้ำหนักกับเกณฑ์แต่ละข้อ เช่น ในวิชาวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ เป็นต้น
2. การสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation)
โปรแกรมประเภทนี้เป็นโปรแกรมที่จำลองสถานการณ์ในชีวิตจริงของผู้เรียนโดยมีเหตุการณ์สมมุติต่าง
ๆ อยู่ในโปรแกรมและนักเรียนสามารถเปลี่ยนแปลงหรือจัดกระทำได้
สามารถโต้ตอบ และมีตัวแปรหรือทางเลือกให้หลาย ๆ ทาง
เพื่อให้นักเรียนสามารถเลือกได้อย่างสุ่มเพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากทางเลือกเหล่านั้น
นอกจากนั้นยังช่วยให้นักเรียนเข้าใจและเห็นภาพพจน์ในบางบทเรียน
แต่หลายวิชาไม่สามารถทดลองให้เห็นจริงได้เช่น
การเคลื่อนที่ของลูกปืนใหญ่
การเดินทางของแสงและการหักแหของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือปรากฏการณ์ทางเคมี
รวมทั้งชีววิทยาที่ต้องใช้เวลานานหลายวันจึงปรากฏผล
ปัญหาเหล่านี้สามารถใช้คอมพิวเตอร์จำลองแบบให้ผู้เรียนได้เห็นจริงและเข้าใจง่าย
3. ผู้เรียนแบบเฉพาะรายตัว (Tutoring)
เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาในลักษณะของบทเรียนโปรแกรม
เป็นการเลียนแบบการสอนของครู กล่าวคือ จะมีบทนำ (Introduction)
และมีคำอธิบาย (Explanation) ซึ่งประกอบด้วยทฤษฎี
กฎเกณฑ์คำอธิบายและแนวความคิดที่จะสอน
หลังจากที่นักเรียนได้ศึกษาแล้วก็จะมีคำถาม
เพื่อใช้ในการตรวจสอบความเข้าใจในแง่ต่าง ๆ
มีการแสดงผลย้อนกลับตลอดจนการเสริมแรงสามารถให้นักเรียนย้อนกลับไปบทเรียนเดิม
หรือข้ามบทเรียนที่นักเรียนรู้แล้ว
นอกจากนี้ยังอาจสามารถบันทึกการกระทำของนักเรียนว่าทำได้เพียงไรและอย่างไร
เพื่อให้ครูสอนมีข้อมูลในการเสริมความรู้ให้กับนักเรียนบางคนได้
4. การฝึกและปฏิบัติ (Drill and Practice)
แบบการฝึกและปฏิบัติส่วนใหญ่จะใช้เสริมเมื่อครูผู้สอนบทเรียนตัวอย่างไปแล้วและให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดกับคอมพิวเตอร์เพื่อวัดระดับหรือให้นักเรียนมาฝึกจนถึงระดับที่ยอมรับได้
บทเรียนประเภทนี้จึงประกอบด้วยคำถาม คำตอบ
มีให้ผลย้อนกลับและการเสริมแรง ที่จะให้นักเรียนทำการฝึกและปฏิบัติ
ซึ่งอาจแทรกรูปภาพเคลื่อนไหว หรือคำพูดโต้ตอบ รวมทั้งอาจมีการแข่งขัน
เช่น จับเวลา หรือ สร้างรูปให้ตื่นเต้นจากการมีเสียง เป็นต้น
5. บทสนทนา (Dialogue)
เป็นการเลียนแบบการสอนในห้องเรียนกล่าวคือ พยายามให้เป็นการพูดคุย
ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้เสียง
ก็เป็นตัวอักษรบนจอภาพแล้วมีการสอนด้วยการตั้งปัญหาถาม
ลักษณะในการใช้แบบสอบถามก็เป็นการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง เช่น
บทเรียนวิชาเคมี
6. การไต่ถาม (Inquiry) ผู้สอนจะรวบรวมเนื้อหาเขียนโปรแกรม
(Software) ขึ้นโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อ ผู้เรียนจะตั้งปัญหา
หรือวิธีการแก้ปัญหา (Problem Solving) ป้อนคำถามเข้าคอมพิวเตอร์
และคอมพิวเตอร์จะให้คำตอบ การเรียนจะดำเนินไปเช่นนี้
จนกว่าผู้เรียนจะสามารถแก้ปัญหา หรือเข้าใจปัญหา
7. การสาธิต (Demonstration)
การสาธิตโดยใช้คอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายกับการสาธิตของครูแต่การสาธิตโดยใช้คอมพิวเตอร์น่าสนใจกว่า
เพราะคอมพิวเตอร์ให้ทั้งเส้นกราฟที่สวยงามตลอดทั้งสีและเสียงด้วย
ครูสามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อสาธิต เช่น
การโคจรของดาวพระเคราะห์ในระบบสุริยะ การหมุนเวียนของโลหิต
การสมดุลของสมการ
8. การเล่นเกม (Gaming) เกมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เพื่อการเรียนการสอนนั้น
เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อเร้าใจผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
โปรแกรมประเภทนี้เป็นแบบพิเศษของแบบจำลองสถานการณ์
โดยมีเหตุการณ์ที่มีการแข่งขัน
ซึ่งสามารถที่จะเล่นได้โดยนักเรียนเพียงคนเดียวหรือหลายคน
มีการให้คะแนน มีการแพ้ชนะ
9. การทดสอบ (Testing) การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
มักจะต้องรวมการทดสอบเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนไปด้วย
โดยผู้ทำต้องคำนึงถึงหลักการต่าง ๆ คือ การสร้างข้อสอบ การจัดการสอบ
การตรวจให้คะแนน การวิเคราะห์ข้อสอบ
การสร้างข้อสอบและการจัดให้ผู้สอนสุ่มเลือกข้อสอบเองได้
3. ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
โดยทั่วไปแล้วคอมพิวเตอร์มีประโยชน์มากมายนอกจากการประมวลผล
การจัดทำเอกสารและในโรงเรียนได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะนำมาช่วยสอน
ถึงอย่างไรก็ตามการนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช้จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้
ประกอบกับใช้คุณลัษณะของคอมพิวเตอร์ควบคู่กับการดูแลของผู้สอนอย่างใกล้ชิด
ซึ่งจะสามารถให้คุณประโยชน์อย่างแท้จริง
ได้มีผู้ทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
พบว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีประโยชน์ต่อผู้เรียนหลายประการ
กล่าวโดยสรุปคือ
1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนตามเอกัตภาพ
2. มีการป้อนกลับ (Feedback) ทันที
ทำให้ผู้เรียนเกิดความตื่นเต้นไม่เบื่อหน่าย
3. ผู้เรียนไม่สามารถแอบพลิกดูคำตอบได้ก่อน
จึงเป็นการบังคับผู้เรียนให้เรียนจริง ๆ
ก่อนที่จะผ่านบทเรียนนั้นไป
4. ผู้เรียนสามารถทบทวนบทเรียนที่เคยเรียนในห้องเรียน
5. นักเรียนเรียนได้ดีกว่า และเร็วกว่าการสอนตามปกติ
ลดการสิ้นเปลืองเวลาของผู้เรียนลง
6. สามารถประเมินผลความก้าวหน้าของผู้เรียนโดยอัตโนมัติ
7. ผู้เรียนได้เรียนแบบ Active Lear
8. ฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล
เพราะต้องคอยแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา
9. ผู้เรียนสามารถเรียนตามลำพังด้วยตนเองได้
10. ทำให้เกิดความแม่นยำในวิชาที่เรียนอ่อน
11. ช่วยให้ผู้เรียนคงไว้ซึ่งพฤติกรรมการเรียนได้นาน
12. เป็นการสร้างนิสัยรับผิดชอบให้เกิดในตัวผู้เรียน
เพราะไม่เป็นการบังคับผู้เรียนให้เรียนแต่เป็นการให้การเสริมแรงอย่างเหมาะสม
13. มีเกณฑ์การปฏิบัติโดยเฉพาะ
14. ผู้เรียนจะเรียนเป็นขั้นตอนที่ละน้อย จากง่ายไปหายาก
15. ทำให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาที่เรียน
นอกจากนี้ประโยชน์ต่อนักเรียนโดยทั่วไปแล้ว
ในห้องเรียนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังเช่น นิพนธ์ ศุขปรีดี ได้กล่าวถึงประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
ในแง่การเรียนการสอนไว้ดังนี้
1. คอมพิวเตอร์สามารถทำให้เด็กเรียนได้เป็นรายบุคคล (Computer can
Individualize) ที่เด็กสามารถเรียนได้เป็นรายบุคคล
จะทำให้มีการสนองความต้องการของเด็กแต่ละคน
ซึ่งสอดคล้องกับหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลไม่ว่านักเรียนเก่ง
ปานกลาง หรืออ่อนก็จะเรียนได้เหมาะสมกับความสามารถ
และความต้องการของตนเอง
2. คอมพิวเตอร์สามารถบริหารการสอน (Computer can Manage Instruction)
คอมพิวเตอร์สามารถบริหารบริหารการสอนได้อย่างดี
เพราะว่าคอมพิวเตอร์สามารถตั้งจุดมุ่งหมายทำการสอน ทำการสอบ
วิเคราะห์ผล ดูความก้าวหน้าของนักเรียนตามระยะเวลา เก็บข้อมูลต่าง ๆ
ซึ่ง สามารถเรียกมาดูได้เมื่อต้องการ
และทำรายงานผลได้อย่างรวดเร็วไม่เสียเวลา
การทำรายงานผลก็สามารถทำได้เป็นรายบุคคล
โดยครูไม่ต้องเป็นผู้เขียนชื่อนักเรียนทุกคนเอง
แต่สามารถใช้คอมพิวเตอร์เป็นมือที่สามได้
และตัวครูเองก็มีเวลาจะคิดและสอนให้เกิดผลดีต่อไป
3.
คอมพิวเตอร์สามารถสอนสังกัป (Computer can Teach
Concepts)สังกัปและทักษะการสอนนั้นยากแก่การสอนโดยครูหรือเรียนจากตำราการจำลองสถานการณ์โดยคอมพิวเตอร์จะช่วยให้นักเรียนเรียนได้ง่ายขึ้น
และดีขึ้นกว่าการเรียนจากครู
4. คอมพิวเตอร์สามารถคำนวณ
(Comptuer can Perform
Calctlation)คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่มีความสามารถในการคำนวณได้อย่างรวดเร็ว
มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด
ดังนั้นการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการสอนคณิตศาสตร์จึงทำให้นักเรียนเรียนได้เร็ว
และถูกต้อง จึงมีเวลาเหลือที่จะศึกษาคอมพิวเตอร์แขนงต่าง ๆ
ได้อีกมาก
5.
คอมพิวเตอร์สามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้แก่นักเรียน (Computer
can Simulation StudentLearning) เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถทำเสียง
สี รูปภาพหรือกราฟ ตลอดจนมีเกมคอมพิวเตอร์จึงทำให้นักเรียน
มีแรงจูงใจในการเรียนโดยใช้คอมพิวเตอร์หรือในการแข่งขันกับคอมพิวเตอร์
อ้างอิง
http://edtech.edu.ku.ac.th/edtech/wbi/index.php?module=study&chapter=4&sub1=3&sub2=1
http://school.obec.go.th/sup_br3/t_2.htm
http://www.kroobannok.com/show_all_article.php?cat_id=17
http://senarak.tripod.com/indexsimple.htm
http://e-learning.aidsthai.org/ewl.html
http://www.radompon.com/weblog/
ไม่มีความเห็น