โครงการจัดตั้งโรงเรียนศูนย์ข่าวเยาวชนไทย ของกระทรวงศึกษาธิการ ถึงแม้กระทรวงศึกษาธิการจะเพิ่งเข้ามามีส่วนในการดูแลเมื่อปี 2546 คงมีคนอีกจำนวนมากมายที่ไม่เคยได้ยินชื่อโครงการนี้เลย โครงการนี้เกิดขึ้นจากความต้องการจะสนับสนุนเยาวชนให้มีส่วนร่วมต่อปรากฏการณ์ทางสังคม และพิทักษ์สิทธิเด็ก ได้รับการสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟ และองค์กรเอกชนอื่นๆ ได้แก่ สสส. สอดย. สท.(สยช.เดิม) กกต. เริ่มต้นโครงการมาตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนต่างๆเข้าร่วมโครงการ 52 โรงเรียนใน 32 จังหวัดทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 24 - 30 เมษายน 2549 กระทรวงศึกษาธิการ องค์การยูนิเซฟ และสมาคมศูนย์ข่าวเยาวชนไทย จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ และถอดบทเรียน เพื่อกำหนดแนวทางในโครงการจัดตั้งโรงเรียนศูนย์ข่าวเยาวชนไทย การอบรมแบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ 1. การเขียนบท 2. การตัดต่อภาพ 3. เทคนิคการถ่ายภาพเบื้องต้น 4. การจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ 5. การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ บรรยากาศการอบรมมีทั้งสนุกทั้งน่าสนใจชวนให้อยากติดตาม เด็กๆไม่รู้สึกเบื่อหรือเหน็ดเหนื่อยกับการฝึกอบรมตลอด7วันเลย เมื่อถึงคราวที่เด็กๆต้องสรุปหรือนำเสนอเรื่องราวในแต่ละกลุ่มเด็กก็สามารถทำได้อย่างดี ไม่น่าเชื่อว่า.....ฝีมือเด็กทำข่าวจะมีมุมมองที่น่าสนใจ ผู้ใหญ่หลายคนทึ่งกับวิธีคิดวิธีนำเสนองานของเด็ก บางชิ้นวิทยากรแอบปลื้มใจยิ้มได้ทั้งวันเพราะผลงานสร้างสรรค์ของเด็กกับความรู้ที่วิทยากรถ่ายทอดให้ การอบรมสร้างทักษะครั้งนี้จะไม่เกิดประโยชน์อันใด หากไม่ได้นำความรู้นั้นกลับไปใช้ให้เกิดการต่อยอดสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้น แต่เจ้าของโครงการ(คุณวีระ สุวรรรโชติ หรือพี่วีของน้องๆ นายกสมาคมศูนย์ข่าวเยาวชนไทย) และกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดให้มีการสร้างสรรค์ผลงานของสมาชิกศูนย์ข่าวฯแต่ละศูนย์บนพื้นฐานของความเอื้ออาทร มีการติดตามและประเมินโครงการนี้เป็นระยะโดยทีมงานจากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
สิ่งที่ได้จากที่ประชุมของคุณครูที่ปรึกษาศูนย์ข่าวเยาวชนไทย คือ แผนปฏิบัติการของศูนย์ข่าวฯตั้งแต่ปี 2549 - 2550 กิจกรรมที่เด็ก ครู โรงเรียนต้องปฏิบัติจะเป็นผลสะท้อนถึงสถานศึกษาและชุมชน คือ
1. การผลิตข่าว
1. school TV เดือนละ 1 ครั้ง/ภาคเรียนละ 2 ครั้ง 2. National TV ภาคเรียนละ 1 ครั้ง 3. National Forum 1 ข่าว เป็น spacial scoop 3 - 5 นาที ที่จะนำมาร่วมในงานวันวิทยุโทรทัศน์เพื่อเด็กสากล จัดโดย องค์การยูนิเซฟ กรมประชาสัมพันธ์
2. ผลิตจดหมายข่าว ชื่อ จดหมายข่าวหัวใจยิ้ม เป็นการบอกเล่าผลการทำงาน หรือกิจกรรมของทุกศูนย์ข่าวฯ
3. เยี่ยมชมศูนย์ข่าวฯ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้กำลังใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีระหว่างศูนย์ข่าวฯด้วยกันจะได้ช่วยเหลือกันบ้างเมื่อมีโอกาสและมีความสามารถมากกว่า
กระบวนการผลิตข่าว คือ หัวใจของการสร้างองค์ความรู้ เพราะกว่าจะเป็นข่าว/เป็นสารคดี เด็กๆต้องระดมสมองต้องสุมหัวกัน สร้างกระบวนการ ดังนี้ 1. เลือกประเด็นทั้งที่เป็นปัญหา หรือเรื่องราวที่จะเป็นการนำเสนอเพื่อสร้างสรรค์ปรากฏการณ์ใหม่ในโรงเรียน ท้องถิ่น หรือสังคม 2. ศึกษาหาข้อมูล ข้อเท็จจริง มานำเสนอต่อที่ประชุม ร่วมกันวิจารณ์ข้อเท็จจริง เลือกประเด็น เสนอต่อคุณครูที่ปรึกษา จนได้ข้อตกลง 3. เขียนบท นำเสนอต่อที่ประชุมและคุณครูที่ปรึกษา วิจารณ์และแก้ไขจนได้บทที่ดี มีความเหมาะสมทั้งการใช้ภาษา ความเป็นไปได้ของการจัดวางองค์ประกอบเมื่อมองผ่านกล้อง การแทรกภาพ เสียง หรือ เอฟเฟคต่างๆ 4. ติดต่อประสานงานผู้เกี่ยวข้องกับข่าว/สารคดีที่จะถ่ายทำ เตรียมความพร้อมของอุปกรณ์การถ่ายทำ 5. ถ่ายทำ ตัดต่อ บันทึกเสียง และเอฟเฟคต่างๆ 5. ทุกขั้นตอนจะมีการระดมสมองร่วมกันคิดร่วมกันวางแผนทั้งเด็กๆและครู เพื่อให้ได้ผลงานที่ทุกคมีส่วนร่วม มีความพึงพอใจ และเหมาะสมถูกต้องทั้งข้อมูล ข้อเท็จจริง(ไม่มั่ว)
กระบวนการเหล่านี้ทุกขั้นตอนเป็นการสร้างองค์ความรู้ เพราะเด็กๆต้องมีการสืบค้นข้อมูล สัมภาษณ์ ความเป็น KM เกิดขึ้นเมื่อทั้งครูและเด็กต้องการสร้างผลงานที่ดี มีคุณค่า จึงเกิดคำถามมากมายว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร ทำแล้วจะเกิดผลอย่างไรกับสังคม นี่..คือ..สิ่งที่ศูนย์ข่าวเยาวชนไทยคำนึงถึงพอๆกับการนำกระบวนการผลิตข่าวไปใช้....KMก็เข้ามามีบทบาท เพราะคุณครูและเด็กๆมีการบริหารจัดการร่วมกันในการผลิตข่าว เริ่มตั้งแต่ออกแบบการผลิตข่าว/ชิ้นงานร่วมกัน ผลงานแบบนี้คุณครูไม่สามารถสั่งให้ผลงานออกมาเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้(เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคุณครูต้องผลิตเอง) แต่ผลงานที่ปรากฏเป็นมุมมองของเด็กๆที่สะท้อนผลการเรียนรู้ ความคิดเห็นของเขาต่อปัญหา หรือเรื่องราวต่างๆในสังคมผ่านกล้องโทรทันศ์ราคา 1.5 แสนบาท ขณะเดียวกันเด็กๆในค่าย ในชมรมศูนย์ข่าวเยาวชนไทยก็ได้ฝึกทักษะชีวิตในหลากหลายแง่มุมไปพร้อมๆกัน รู้จักยอมรับในความสามารถของกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้เกียริตกันและกัน เคารพในสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่น มีความเอื้ออาทรกันในกลุ่ม ที่สำคัญพวกเขาเคารพในกฎกติกา ดิฉันได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ เอาใจใส่ต่อการฝึกฝนทั้ง 5 กลุ่มแล้วปลื้มใจ อย่างน้องบางคนใช้กล้องดีวีดีบันทึกภาพไม่คล่อง ไม่เก่ง เพื่อนจากต่างโรงเรียนที่เก่งกว่าก็จะคอยช่วยชี้แนะบอกเทคนิคที่เขารู้ให้แก่กัน หรือเทคนิกการตัดต่อ การแทรกเสียง ทำเอฟเฟคบางโรงเรียนตามไม่ทัน เพื่อนอีกโรงเรียนก็คอยบอก พี่ๆก็คอยให้กำลังใจ ประสบการณ์แบบนี้เด็กๆจะจดจำ นำความรู้ไปใช้ได้ตลอดและยั่งยืน ......ถึงตรงนี้ก็เกิดคำถามขึ้นว่า.... ถ้าไม่มีกล้องราคา 1.5 แสน จะผลิตข่าวได้อย่างไร.... คำตอบง่ายๆ... คือ ...ข่าวและกล้องโทรทัศน์เป็นแค่เครื่องมือ แต่..กระบวนการผลิตข่าว...เป็นหัวใจของการจัดการองค์ความรู้ที่จะทำให้เด็กๆไปศึกษาค้นคว้า รวบรวม ประเมินคุณค่า เรียบเรียง และสรุปองค์ความรู้ที่ได้ไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบจริงนะจะบอกให้....อย่างนี้เรียกว่า "นักข่าวเยาวชนไทยหัวใจKM" ได้หรือยัง!?!..
การเข้าค่ายครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้น จะไม่สำเร็จ
จะไม่เกิดผลเป็นการขับเคลื่อนองค์กร
ไม่สร้างสรรค์องค์ความรู้อันไม่รู้จบ
ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ใจดีท่านเหล่านี้ พี่วี
คุณครูทุกท่าน
ผู้บริหารสถานศึกษา ดร.สายพันธ์และคณะ
ดร.สุพักตร์(จากมสธ.) ท่านรองอารีย์รัตน์ วรรธนสิน ท่านพรทิภา
ลิมปพยอม ท่านวินัย รอดจ่าย คุณหญิงดร.กษมา
วรวรรณ ณ อยุธยา
รวมถึงองค์กรต่างๆที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมทุกกิจกรรมของศูนย์ข่าวเยาวชนไทย
อันได้แก่
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
องค์การยูนิเซฟ กองบัญชาการทหารสูงสุด สสส.
กกต.กลาง
สท.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง
11 สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง
7 ทีมวิทยากรที่มาให้ความรู้แก่เด็กๆจากคณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวารสารศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่านสามรถติดตามผลงานของเด็กๆได้ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย
ช่อง 11 ทุกวันพุธ เวลา 17.00 - 17.30
น. รายการมุมทอล์ควัยทีน
สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 7 ทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ เวลา 7.00
น. และสถานีโทรทัศน์
ETV ทุกวัน
ทีมข่าวหัวใจยิ้ม
สวัสดีคับอาจารย์....
คิดถึงบรรยากาศตอนนั้นจังเลยครับ
อยากเจอเพื่อนๆศูนย์ข่าวฯทุกโรงเรียนเลย
อยากเข้าไปเป็น TYNUจังเลยคับแต่ไม่มีเวลาเลยเพราะเรียนหนัก