ในลานเสวนาที่มีการเริ่มเล่าเรื่องจากตั้งแต่คนหน้างานตัวเล็กๆ ณ งานปฐมภูมิ งานทุติยภูมิ งานตติยภูมิ…ต่อยอดส่งไม้มาจนถึงคนต้นแบบอีกท่านหนึ่งที่ทำงานประจำอยู่ในระดับโรงเรียนแพทย์
เป็นเส้นทางการพัฒนางานประจำด้วยระยะเวลาที่ยาวนานถึงสิบห้าปี นับตั้งแต่ยังไม่มีการเรียกชื่อว่าเป็น R2R ...
รศ.พญ.สุภาวดี ลิขิตมาศกุล (คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล) อาจารย์สุภาวดีบอกเล่าว่า ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำวิจัย R2R ...แต่พอมามีกระตุ้นให้เกิดการเรียก R2R จึงได้ทราบว่างานของตนเองเข้าข่ายการทำ R2R
งานที่พัฒนาคือ การดูแลผู้ป่วยเบาหวานในเด็กแบบครบวงจร โดยแรงบันดาลใจในการทำ R2R คือ
“รู้สึกอยากทำงานของตนเองให้พัฒนาให้ดีขึ้น โดยนำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์”
โดยมีวิธีการทำ R2R...
เริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยที่มารับการรักษาจะเป็นผู้ป่วยกลุ่มเดิม แม้จะได้รับคำแนะนำให้ดูแลตนเองแล้ว แต่ผู้ป่วยก็ยังมีพฤติกรรมการดูแลตนเองเหมือนเดิม จึงคิดวิธีการปรับพฤติกรรมในการดูแลตนเองของผู้ป่วยให้เหมาะกับบริบทความรุนแรงของโรค โดยจัดทีมงานให้ความรู้แก่ผู้ป่วยในแต่ละกลุ่มอาการ จากนั้นจึงใช้วิธีการหารือร่วมกันระหว่างทีมแพทย์ พยาบาล และวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อค้นหากลวิธีในการแก้ปัญหา และร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น การจัดค่ายเพื่อปรับพฤติกรรมของเด็กที่เป็นเบาหวาน การใช้ธรรมะในการบำบัด การปรับวิธีการสื่อสารในครอบครัวเพื่อให้กำลังใจเด็กที่เป็นเบาหวาน
อาจารย์หมอสุภาวดียังได้ร่วมถอดบทเรียนในสิ่งที่ได้เรียนรู้อะไรจากการทำ R2R บ้าง...อาจารย์บอกกล่าวว่า...
ปัจจัยที่ทำให้การทำงานสำเร็จคือ ทีมงานที่ให้ความรู้ในการดูแลตนเองของผู้ป่วยในแต่ละกลุ่มอาการ และอุปกรณ์ที่เพียงพอ หนึ่งปีที่ผ่านมา R2R เชื่อมโยงสู่วิถีการทำงาน คือ “การทำวิจัยจากงานประจำสามารถพัฒนางานในองค์กรของตนเองได้ดีกว่าการนำงานวิจัยจากต่างประเทศมาปรับใช้เพื่อพัฒนางานประจำ”
สำหรับในการดำเนินงานครั้งต่อไป สิ่งที่จะปฏิบัติแตกต่างจากครั้งที่ผ่านมาคืออะไร
“เน้นการดำเนินงานโดยใช้หลักธรรมะ และตระหนักถึงการทำงานเพื่อเข้าถึงหัวใจของความเป็นมนุษย์มากขึ้น”
ในขณะที่ฟังเรื่องเล่าการถอดบทเรียนของอาจารย์นั้น ในฐานะที่ข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็น Facilitator นั้นรู้สึกประทับใจในคำบอกกล่าวของอาจารย์ที่ว่า “แพทย์ต้องเปลี่ยน...เปลี่ยนมาเป็นผู้ฟังมากขึ้น เปลี่ยนมาเป็นครู เป็นโค้ช เป็นพี่เลี้ยง เกื้อหนุนให้ผู้ป่วยได้ดูแลตนเองด้วยตัวของเขาเอง เปลี่ยนทัศนะจากการคอยนำแต่ทฤษฎีมาใช้ มาเป็นการสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นจากการทำงานประจำ”
ท้ายสุดอาจารย์ได้หยิบยก พระราชดำรัส สมเด็จพระราชบิดา...
• “ ความสำเร็จของการศึกษาที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีความรู้มาก แต่ขึ้นอยู่กับการนำเอาความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้มากเพียงไร ”
• “ ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์ ”
อ.หมอสุภาวดี นั่งตรงกลาง สวมเสื้อลายขาว-ดำ
ไม่มีความเห็น