ระบำ
ระบำ
หมายถึงศิลปะการร่ายรำที่แสดงพร้อมกันเป็นหมู่เป็นชุดมุ่งความสวยงามและความบันเทิงเป็นสำคัญ
ไม่เป็นเรื่องราว
มีทั้งเนื้อร้องและไม่มีเนื้อร้องอาจจะใช้เพียงดนตรีประกอบการร่ายรำ
ท่ารำบางครั้งก็มีความหมายเข้ากับเนื้อเรื่อง
บางครั้งก็ไม่มีความหมายนอกจากความสวยงาม ผู้แสดงจะมีจำนวนเท่าใดก็ได้
จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
ก. ระบำแบบดั้งเดิมหรือระบำมาตรฐาน
ข. ระบำแบบปรับปรุง
ก. ระบำแบบดั้งเดิมหรือระบำมาตรฐาน
หมายถึง
การแสดงระบำที่ปรมาจารย์ได้กำหนดเนื้อร้องและทำนองเพลงตลอดจนท่าร่ายรำและการแต่งกายที่เรียกว่าแบบยืนเครื่องไว้อย่างถูกแบบแผนกระบวนการรำเป็นที่ยอมรับมาช้านานแล้ว
ผู้ศึกษาต้องจดจำตามแบบที่กำหนดไว้ จะดัดแปลง
แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่บังควร เช่นระบำดาวดึงส์
ในเรื่องสังข์ทองตอนตีคลี หรือระบำกฤษฎาภินิหาร
ซึ่งนิยมนำมาแสดงกันเป็นส่วนมาก เพราะเป็นลีลาที่งดงาม
เป็นศิลปะระดับฝีมือ โดยจะยกตัวอย่างระบำมาตรฐาน 3 ชนิดดังนี้
ระบำดาวดึงส์
ระบำดาวดึงส์
เป็นระบำมาตรฐานที่สร้างรูปแบบท่ารำขึ้นใหม่
แตกต่างจากระบำมาตรฐานแบบดั้งเดิม เช่น
ระบำสี่บทที่ท่ารำตีบทความหมายของคำร้อง
ระบำดาวดึงส์เป็นระบำประกอบในการแสดงละครดึกดำบรรพ์เรื่องสังข์ทองตอนตีคลี
ซึ่งจัดแสดงที่โรงละครดึกดำบรรพ์ วังบ้านหม้อ
ปลายสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ บทร้องเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
พรรณนาถึงความงดงามโอฬารของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทิพยสมบัติของ
พระอินทร์ หม่อมเข็ม กุญชร ณ อยุธยา
ได้ปรับปรุงท่ารำเลียนแบบท่าเต้นในพิธีแขกเจ้าเซ็น
ซึ่งเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี
ทรงประดิษฐ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ดนตรีที่ใช้ในการประกอบการแสดงชุดนี้ ใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงปรับปรุงแตกต่างจากวงปี่พาทย์เครื่องคู่และเครื่องใหญ่คือ ลดเครื่องดนตรีบางชิ้น ให้มีเสียงทุ้มนุ่มนวลไม่แข็งกร้าว เสียงแหลมสูง เครื่องบรรเลงได้แก่ ระนาดเอกตีด้วยไม้นวม ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ซออู้ ตะโพน กลองตะโพนคู่ (ถอดเท้าตั้งขึ้น ตีแทน กลองทัด) ฉิ่ง ฆ้องหุ่ยเจ็ดลูก (7 เสียงเรียงลำดับ) กลองแขก ทำนองเพลงประกอบลีลาท่ารำ คือ เพลงเหาะ เพลงตะเขิ่ง เพลงเจ้าเซ็น
เพลงรัวเนื้อเพลง ระบำดาวดึงส์
(ปี่พาทย์ทำเพลงเหาะ -รัว)
- ร้องเพลงตะเขิ่ง -
ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร
เป็นที่อยู่สำราญฤทัยหรรษ์
สารพัดงามจริงทุกสิ่งอัน
สารพันอุดมสมใจปอง
เทพบุตรผุดผ่องพรรณโฉมยง
งามทรงอาภรณ์ไม่มีหมอง
นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง
งามทรงเครื่องทองและเพชรนิล
- ร้องเพลงเจ้าเซ็น -
สมเด็จพระอมรินทร์ปิ่นมงกุฎ
ทรงวชิราวุธธนูศิลป์
รักษาเทวสีมาเป็นอาจิณ
อสุรินทร์อสุรีไม่บีฑา
อันอินทรปราสาททั้งสาม
ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา
สี่มุขหุ้มมาศสะอาดตา
ใบระกาแกมแก้วประกอบกัน
ช่อฟ้าช้อยเฟ้อยเฉื่อยชด
บราลีที่ลดมุขกระสัน
มุขเด็จทองดาดกนกพัน
บุษบกสุวรรณชมพูนุท
ราชยานเวชยนต์รถแก้ว
เพริศแพร้วกำกงอลงกต
แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด
เครือขดช่อตั้งบัลลังก์ลอย
รายรูปสิงห์อัดหยัดยืน
สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย
ดุมพราววาววับประดับพลอย
แปรกแก้วกาบช้อยสะบัดบัง
เทียมด้วยสินธพเทพบุตร
ทั้งสี่บริสุทธิ์ดั่งสีสังข์
มาตลีอาจขี่ขับประดัง
ให้รีบรุดสุดกำลังดังลมพา
- ปี่พาทย์ทำเพลงรัว -
การแต่งกาย ในส่วนของการแต่งกาย ตัวพระคือเทพบุตร
แต่งกายยืนเครื่องเต็มตัว
นุ่งผ้ายกตีปีกจีบโยงไว้หางหงส์ทับบนสนับเพลาเชิงมอญ
สวมเสื้อรัดรูปปักดิ้นเลื่อมลายกนกแขนสั้นเหนือศอก
ติดกนกปลายแขนสวมเครื่องประดับถนิมพิมพาภรณ์ครบชุด
ศิลาภรณ์ชฎายอดชัย
ตัวนางอัปสร แต่งกายยืนเครื่องนางเต็มตัว นุ่งผ้ายกจีบหน้านางทิ้งชายพก สวมเสื้อในนางรัดรูป ห่มผ้าห่มนางเต็มผืนปักดิ้นเลื่อมลายกนก สวมเรื่องประดับถนิมพิมพาภรณ์ครบชุด ศิลาภรณ์มงกุฎกษัตริย์
ลีลาท่ารำจะผสมผสานนาฏศิลป์ไทยกับท่าเต้นทุบอกในพิธีแขกเจ้าเซ็น ท่ารำเข้าคู่พระ-นาง ในรูปแบบรำหมู่ เพลงเหาะ - รัว ใ ช้แม่ท่านาฏศิลป์ไทย ต่อจากนั้นเป็นการผสมผสานท่ารำไทยกับท่าเต้นในพิธีเจ้าเซ็น ซึ่งดูสง่างาม
ระบำกฤดาภินิหาร
เป็นชุดการแสดงที่สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ อยู่ในละครประวัติศาสตร์
เรื่อง เกียรติศักดิ์ไทยซึ่งกรมศิลปากรจัดแสดง ณ โรงละครศิลปากร
เมื่อพ.ศ. 2486 ผู้แต่งบทร้องคือ นางสุดา บุษปฤกษ์ผู้ประดิษฐ์ท่ารำคือ
นางลมุล ยมะคุปต์ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป์ไทย
กรมศิลปากร และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก(หม่อมครูต่วน)
เรียบเรียงประสานดุริยางค์สากลโดยพระเจนดุริยางค์
การแต่งกาย ผู้แสดงนั้น แต่งยืนเครื่องตัวพระและตัวนาง
ตัวพระสวมศิลาภรณ์ชฎา ตัวนางสวมศิลาภรณ์มงกุฎกษัตริย์
มีลักษณะท่ารำเป็นระบำหมู่คู่พระ - นาง ออกรำในเพลงรัวดึกดำบรรพ์
ตีบทตามคำร้องเพลงครวญหา แล้วรำท่าจีนรัวโปรยดอกไม้
สามารถแสดงได้สองรูปแบบ คือ รำตามบทร้องสี่คำกลอน
แล้วตัดไปโปรยดอกไม้ในเพลงจีนรัว ซึ่ง ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
และอีกแบบหนึ่งรำเต็มบทร้องหกคำกลอน
โปรยดอกไม้ตามบทร้องและเพลงจีนรัว
เนื้อเพลงระบำกฤษดาภินิหาร
- ปี่พาทย์ทำเพลงรัวดึกดำบรรพ์ -
- เพลงครวญหา -
ปราโมทย์แสน
องค์อัปสรอมรแมนแดนสวรรค์
ยินกฤดาภินิหารมหัศจรรย์
เกียรติไทยลั่นลือเลื่องเรืองรูจี
ต่างเต็มตื้นชื่นชมโสมนัส
โอษฐ์เอื้อนอรรถอวยพรสุนทรศรี
แจ้วจำเรียงเสียงเพลงสดุดี
ดนตรีรี่เรื่อยประโคมประโลมลาน
แล้วลีลาศเริงรำระบำร่าย
กรกรีดกรายโปรยมาลีสีประสาน
พรมน้ำทิพย์ปรุงปนสุคนธาร
จักรวาลฉ่ำชื่นรื่นรมย์ครัน
- ปี่พาทย์ทำเพลงจีนรัว -
ระบำเทพบันเทิง
ระบำเทพบันเทิงเป็นระบำที่นายมนตรี ตราโมท
ผู้เชี่ยวชาญด้านดุริยางค์ไทย กรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติ
แต่งบทร้องและบรรจุทำนองเพลงประกอบการแสดงละครใน เรื่องอิเหนา
ตอนลมหอบ กล่าวถึงเทพบุตรนางฟ้าฟ้อนรำบำเรอองค์ปะตาระกาหลา กรม
ศิลปากรจัดการแสดงให้ประชาชนชม ณ โรงละครศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙
ผู้ประดิษฐ์ลีลาท่ารำคือ นางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฎศิลป์
วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร
นางมัลลี คงประภัศร์ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก(หม่อมต่วน)
โดยการรำเข้าคู่พระ- นาง ตีบทตามคำร้อง
แปรแถวโดยผู้แสดงแต่งยืนเครื่องเทพบุตร - นางฟ้า
ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง เป็นวงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องห้า
หรือเครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ทำนองเพลงแขกเชิญเจ้า เพลงยะวาเร็ว
เข้าปี่พาทย์ มีบทร้องดังนี้
- เพลงแขกเชิญเจ้า -
เหล่าข้าพระบาท ขอวโรกาสเทวฤทธิ์อดิศร
ขอฟ้อนกราย รำร่ายถวายกร
บำเรอปิ่นอมร ปะตาระกาหลา
ผู้ทรงพระคุณ ยิ่งบุญบารมี
เพื่อเทวบดี สุขสมรมยา
เถลิงเทพสิมา พิมานสำราญฤทัย
- สร้อย -
สุรศักดิ์ประสิทธิ์ สุรฤทธิ์กำจาย
ทรงสราญพระกาย ทรงสบายพระทัย
ถวายอินทรีย์ ต่างมาลีบูชา
ถวายดวงตา ต่างประทีปจำรัสไข
ถ้อยคำอำไพ ต่างธูปหอมจุณจันทร์
ถวายดวงจิต อันชลิตวรคุณ
ที่ทรงการุณย์ ของข้ามาแต่บรรพ์
ถวายชีวัน รองบาทจนบรรลัย
- สร้อย -
- เพลงยะวาเร็ว -
ร่วมกันร้องทำนองลำนำ มาฟ้อนมารำให้รื่นเริงใจ(ซ้ำ)
ให้พร้อมให้เพรียงเรียงระดับ เปลี่ยนสับท่วงทีหนีไล่
เวียนไปได้จังหวะกัน
อัปสรฟ้อนส่าย กรีดกรายออกมา
ฝ่ายฟ้อนเทวา ทำท่ากางกั้น
เข้าทอดสนิท ไม่บิดไม่ขัน(ซ้ำ)
ผูกพันสุขเกษม ปลื้มเปรมปรีดา
(ปี่พาทย์ทำนองเพลงยะวาเร็ว)
แวะเข้ามาอ่านเพราะอยากเป็นนางระบำ แต่ในชีวิตจริงระบำไม่ออก ได้แต่หมอลำอย่างเดียว
เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย
ขอบคุนค่ะ
ดีมากเลย ! ค๊ๆ ต้องการพอดี ! :")))))