จะเรียนจะสอนภาษาไทยอย่างไรดี
ผู้เขียนเคยอ่านบทความ เรื่อง จะเรียนจะสอนภาษาไทยอย่างไรดี ของ ดร.ประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2546 ท่านได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า คนไทยมีปัญหาเรื่องภาษาไทย ทั้งปัญหาด้านการพูด คือ พูดไม่ถูก พูดไม่เป็น พูดไม่ชัด มีปัญหาด้านการอ่าน คือ อ่านไม่ออก อ่านไม่คล่อง อ่านไม่เข้าใจ และไม่รู้เรื่อง หมายถึง สื่อสารกับผู้อื่นไม่ได้ มีปัญหาด้านการเขียน คือ เขียนไม่ได้ เขียนไม่ถูก และเขียนไม่เป็น
มีนักวิชาการเคยทำการศึกษาวิจัยถึงสาเหตุและแนวทางแก้ไขมากมาย และก็มีนักวิจารณ์ ให้ข้อคิดเห็นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายคนมีข้อสรุปว่า เป็นเพราะการศึกษามีจุดบกพร่อง คือ การเรียนการสอนภาษาไทยขาดคุณภาพ ขาดประสิทธิภาพ บางครั้งขาดความสนใจทั้งผู้เรียน ผู้สอน และผู้บริหาร จึงทำให้ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กไทยไม่สูงพอ ซึ่งดูได้จากผลการประเมินระดับชาติของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยิ่งเรียนสูงขึ้นความรู้ภาษาไทยที่วัดโดยแบบทดสอบมาตรฐานกลับยิ่งลดลง ซึ่งผลกระทบสามารถมองเห็นและพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ในแทบทุกวงการ อาทิ เด็กไทยเขียนภาษาไทยไม่เป็นตามมาตรฐาน แต่เป็นลายมือถั่วงอก คนไทยอ่านภาษาไทยไม่ถูกต้อง คนไทยเขียนเรียงความ ย่อความ และสรุปความไม่เป็น และคนไทยไม่มีนิสัยรักการอ่าน (อ่านเฉลี่ยประมาณ 2.9 นาทีต่อวัน) แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรดี ?
การที่จะเรียนรู้ภาษาไทย ให้ได้ดีและถูกต้องนั้น ต้องอาศัยปัจจัยและสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสม เริ่มตั้งแต่ที่บ้านเลยทีเดียว เพราะเด็กเริ่มฟังภาษาไทยและหัดพูดภาษาไทยจากที่บ้าน ถ้าผู้ใหญ่ หรือพ่อแม่ที่อยู่ใกล้ชิดพูดและใช้ภาษาไทยได้ ถูกต้อง เด็กก็จะเรียนรู้อย่างถูกต้อง การเรียนภาษาจากช่วงวัยที่เป็นเด็กจึงมีความสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ เด็ก ๆ จะเรียนภาษาต่างประเทศได้เร็ว และถูกต้องกว่าผู้ใหญ่ ช่วงที่สอง คือ การเรียนภาษาไทย ที่โรงเรียน ถ้ามีครูดี สอนถูกต้อง มีสื่อที่เหมาะสม เด็กก็จะมีความสนใจและชอบภาษาไทย สามารถเรียนรู้ภาษาไทยได้อย่างแตกฉาน มีคุณภาพ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสำคัญ ต่อเรื่องนี้อย่างมาก เพราะได้เริ่มดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน และการใช้ภาษาไทยมาเป็นลำดับ โดยได้มีการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนและการใช้ภาษาไทยขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทให้สถานศึกษา และเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามแผนดังกล่าวร่วมกัน
นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทย ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งยังริเริ่มดำเนินการโครงการส่งเสริมการอ่านเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ครั้งล่าสุด
มีการกำหนดมาตรการการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษาเป็นการเฉพาะ โดยกำหนดให้สถานศึกษาทุกแห่งคัดเลือกครูเก่งภาษาไทย สอนภาษาไทยตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และสอนต่อเนื่องในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยกำชับให้ครูผู้สอนภาษาไทยเน้นการฝึกทักษะภาษาไทย ทั้งการอ่าน การเขียน การฟัง การดู การพูด โดยเฉพาะการแจกลูก สะกดคำ และผันวรรณยุกต์ ซึ่งเมื่อเด็กจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 แล้วต้องอ่านออกเขียนได้ และเมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จะต้องอ่านคล่องเขียนคล่อง รวมทั้งให้เน้นการวัดผลประเมินผลโดยการออกข้อสอบแบบอัตนัย ไม่น้อยกว่า 70 % เพื่อให้เด็กมีโอกาสเขียนภาษาไทยมากขึ้น และให้มีการสอนซ่อมเสริมและจัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้ภาษาไทยให้กว้างขวางโดยประสานความร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างจริงจัง ดร.ประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ สรุปในตอนท้ายว่า เมื่อการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยตามหลักสูตรใหม่ มุ่งให้เด็กไทยมีโอกาสได้รับบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพ ตามลำดับขั้นตอน ดังที่กล่าวมาแล้ว ปัญหาต่าง ๆ ทั้งปัญหาการพูด การอ่าน และการเขียน ก็น่าจะลดลง และหมดไปในที่สุด
ครั้งแรกที่ได้อ่านบทความนี้ ผู้เขียนรู้สึกยินดีมากที่การเรียนการสอนภาษาไทยจะได้รับการพัฒนา เพราะท่าน ดร. ประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ ท่านเป็นอธิบดีกรมวิชาการในสมัยนั้น จึงเห็นว่าแนวความคิด และคำพูดของท่านน่าจะได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี อีกทั้งหลักสูตรใหม่ก็เอื้ออำนวยทุกอย่าง คราวนี้แหละเด็กไทยจะได้อ่านคล่อง เขียนคล่องเสียที แต่นี่เวลาก็ล่วงเลยมาหลายปีแล้ว ผู้เขียนซึ่งเป็นครูสอนวิชาภาษาไทยของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก็ยังพบเด็กนักเรียนที่มีปัญหา อ่านไม่คล่อง เขียนไม่คล่อง เป็นจำนวนมาก จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่าปัญหาอยู่ที่ไหนกันแน่ ระหว่างระบบระเบียบของทางราชการ กับตัวบุคคลผู้ปฏิบัติ แต่ถ้าทำตามขั้นตอนและวิธีการในหลักสูตรดังที่ท่าน ดร. ประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ ได้กล่าวไว้ ในตอนแรก ถึงวันนี้นักเรียนก็น่าจะเขียนคล่อง อ่านคล่อง มิใช่หรือ
บทความมีสาระดีมากครับและนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนดีมากครับ
ปัญหาการศึกษาไทยเด็กประถมส่วนหนึ่งที่เด็กอ่อนหลายวิชา เช่น คณิตศาสตร์ สังคม วิทยาศาสตร์ สาเหตุมาจากอ่านหนังสือไม่ออกค่ะ
ตูเห็นด้วยเพราะสอน ม.3 ม.5เช่นเดียวกันแต่เขาเหล่านั้นก็ยังอ่านไม่คล่องเขียนสะกดคำไม่ถูก.. ช่วยด้วย
เป็นบทความที่ดีมากเลยจ๊ะพี่เพราะภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย เราต้องภูมิใจและใช้ให้ถูกต้อง
เอาแค่อ่านออก เขียนได้ ไม่ต้องคล่อง บางคนยังทำไม่ได้เลยคะ ทำให้ครูวิทย์อย่างหนูทำใจลำบากมากเลยคะ เพราะปัจจุบันการเรียนการสอนมันต้องบูรณาการกันทุกๆวิชา ถ้าอ่านไม่ได้ เขียนไม่ได้แล้วเฮ้อ......หนูควรพิจารณาตัวเองหรือเด็กก่อนดีค่ะหรือจะหันไปที่ครูวิชาภาษาไทยดีคะคุณพี่ จากครูวิทย์มัธยมค่ะ
ขอบคุณคุณวิรัช คุณเสงี่ยม คุณรัชดาวรรณ คุณรัตติยา และคุณอำนวยพร มากค่ะ ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ปัญหาเกี่ยวกับการสอนให้คนเกิดทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน ยังมีอีกมากค่ะ ก็ต้องช่วยกันหลาย ๆ ฝ่าย
คนจะเก่งได้พี่ว่าต้องมีความรู้และพรสวรรค์ที่มีติดตัวมา น้องเทืองมีพร้อมจ้ะ
ขอบคุณค่ะพี่แจ๋น
ดิฉันเป็นผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่งซึ้งทุกข์กับการอ่านหนังสือไม่ออกของลูก ลูกดิฉันเรียนป.1 เนื้อหาที่เรียนมันมาเป็นประโยคอ่านโจทย์ยังไม่ออกเลย คนออกหลักสูตรมันไม่ดูว่าเด็กแต่ละวัยทำได้แค่ไหน กลายเป็นว่าผู้ปกครองต้องมาทำการบ้านให้ลูกแทนและต้องพาลูกไปเรียนพิเศษวิชาภาษาไทย ทำไมเด็กต้องมาเครียดกับการเรียนมากมายขนาดนี้ อยากให้กลับไปใช้หลักสูตรเก่าที่เน้นอ่าน สะกดคำ ผสมคำ ในป.1ก่อน พื้นฐานเด็กจะได้แน่นๆโตขึ้นจะได้ไม่อ่อนภาษาไทย ส่วนวิชาอื่นก็ได้ไปเอง
เห็นด้วยกับคุณฐาปนีค่ะ การสอนอ่านเขียนภาษาไทยต้องสอนแบบแจกลูกสะกดคำ ผันวรรณยุกต์ ไม่เช่นนั้นเด็กอ่านหนังสือไม่คล่อง จะเรียนแบบอ่านเป็นคำ ๆ อย่างภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะภาษาไทยมีวรรณยุกต์ เมื่อวรรณยุกต์เปลี่ยนความหมายของคำก็เปลี่ยน การแจกลูกสะกดคำ และผันวรรณยุกต์ จะทำให้เด็กรู้และเข้าใจที่มาและองค์ประกอบของคำ เมื่อไปได้ยินคำอื่นที่ไม่รู้จักก็สามารถผันรูป และอ่านเขียนได้ถูกต้อง คุณแม่ของดิฉันจบแค่ ป.4 ปัจจุบันอายุ 80 ปี อ่านหนังสือคล่องกว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บางคนเสียอีก