ต่อจาก
บันทึกตัดต้นไม้ และ
เริ่มเห็นคุณค่าของต้นไม้ ...วันหนึ่ง คุณพ่อบ้านก็บอกว่าต้องไปหาซื้อไม้สน มาทำเป็นที่นั่งและพนักพิงของเก้าอี้ เราจึงไปหาซื้อมาจากร้านค้าใกล้บ้าน ไม้สนมีลักษณะเฉพาะคือ ลำต้นตรง เปลือกหนาลอกออกง่าย
คุณพ่อบ้านนำไม้สนมาตัดเป็นท่อนๆ แล้วประกอบเป็นเก้าอี้ ในระหว่างทำอยู่ก็บอกให้น้องจิ้นช่วย ลอกเปลือกไม้ไปด้วย
น้องจิ้นก้มๆเงยๆลอกเปลือกไม้ด้วยความยากลำบาก จนอดรนทนไม่ได้ จึงเสนอความเห็นกับคุณพ่อว่า ทำไมไม่ลอกเปลือกไม้ให้เสร็จก่อนล่ะ แล้วค่อยนำมาประกอบเป็นเก้าอี้ น้องจะได้ลอกง่ายๆหน่อย
นักประดิษฐ์ทั้งสองปรับเปลี่ยนวิธีทำงานตามที่น้องจิ้นบอก คือ ลอกเปลือกไม้ก่อนแล้วค่อยนำมาประกอบเป็นเก้าอี้...ง่ายกว่ากันเยอะเลยค่ะ... การทำเก้าอีนั้งจึงสำเร็จได้เร็วกว่าที่คาด
เก้าอี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว พี่เม่ยจึงได้เห็นว่ากิ่งไม้ที่นำมาประกอบกันเป็นรูปสามเหลี่ยมที่วางพิงกำแพงบ้านอยู่นั้น คือส่วนของขาเก้าอี้สองข้างนั่นเองค่ะ
|
ยังไม่ค่อยเรียบร้อยค่ะ ไม้แนวที่นั่งยังขาดอีกหลายท่อน |
|
หลังจากลอกเปลือกไม้ออกหมด ก็ต้องขัดกระดาษทรายเพื่อลบรอยเสี้ยนไม้ |
ในขณะที่เขียนบันทึกอยู่นี้ เราก็มีเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อนเรียบร้อยแล้วค่ะ ..โชคดีของครอบครัวเรา ที่มีคนช่างคิดช่างประดิษฐ์อย่างคุณพ่อบ้าน นอกเหนือจากมีคนช่างพูด พูด พูด จนงานเสร็จก็ยังไม่หยุดพูด แบบพี่เม่ยแล้ว....
พอได้โอกาสเหมาะ! ...จึงต้องสัมภาษณ์คุณพ่อบ้านเสียหน่อยว่า "คิดได้ไงเนี่ย" ที่ท่านไปยืนมองต้นไม้ แล้วนำกิ่งไม้มาใช้ประโยชน์ได้ตั้งมากมายอย่างนี้...(คุณพ่อบ้านแซวว่า...จะเอาไปเขียนบล็อกอีกแล้วสิ!)...ในที่สุดพี่เม่ยก็ได้เรียนรู้จากความสำเร็จของคุณพ่อบ้านมาหลายประเด็นเชียวค่ะ....
มองอะไรต้องมองแบบสามมิติ คือไม่ใช่เพียงมองแค่ด้านที่เราเห็น ต้องมองให้เห็นโครงสร้างของของสิ่งนั้นในทุกๆมุมทุกด้าน ทั้งแนวตั้งแนวนอนแนวทแยง...จะทำให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นมากขึ้นเพราะเป็น "หลายมุมมอง"
คิดแบบรอบด้าน คือคิดให้ครอบคลุมกับเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่ว่าคิดโค่นต้นไม้ก็จบแค่ไปฟันๆต้นไม้ให้ล้มลงไม่ได้ ต้องคิดว่าจะโค่นให้ล้มไปทางไหน ที่จะไม่ให้เกิดอันตราย โค่นแล้วจะทำอย่างไรต่อ ทิ้งไว้เฉยๆหรือเอาส่วนต่างๆไปใช้ประโยชน์อะไรต่อได้บ้าง เรียกว่าคิดแบบรอบด้าน ถ้าคิดให้เชื่อมโยงเข้ากับความต้องการของเราได้ยิ่งดี...
ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป การทำงานของคุณพ่อบ้านเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกๆค่ะ พี่เม่ยสอนลูกว่า ทำอะไรไม่ใช่จะต้องเห็นผลสำเร็จในทันทีทันใด บางอย่างอาจต้องรอเวลา รอความเหมาะสม โอกาส เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด ต้องค่อยๆทำไปสะสมไปเรื่อยๆค่ะ เรียกว่า ทำเล็ก แต่ได้ผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และขยายผลไปได้เรื่อยๆ
พี่เม่ยจึงได้บทเรียนที่ทรงคุณค่า ที่ผู้ให้ความรู้ไม่ต้องมาพูดพร่ำสอนให้เลย เพียงแต่ได้ลงมือทำงานจนสำเร็จให้เราดูเป็นแบบอย่าง.....เท่านั้นเอง...