พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาได้ใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาในหมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพกระทรวงศึกษาธิการ. 2546.) และหมวดที่ 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา มาตรา 10 การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอภาคกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการในวรรคสอง ให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง (กระทรวงศึกษาธิการ. 2546.)
กระทรวงศึกษาธิการ (2551.) ได้ตราพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ซึ่งกล่าวถึง การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ หมวด 1 สิทธิหน้าที่ทางการศึกษา
มาตรา 5 คนพิการมีสิทธิทางการศึกษา ดังนี้
1. ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา
2. เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลนั้น
3. ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา ที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล
มาตรา 6 ให้ครูการศึกษาพิเศษในทุกสังกัดมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษตามที่กฎหมายกำหนด ให้ครูการศึกษาพิเศษ ครูและคณาจารย์ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ องค์ความรู้ การศึกษาต่อเนื่องและทักษะในการจัดการศึกาสำหรับคนพิการ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 7 ให้สถานศึกษาของรัฐและเอกชนที่จัดการเรียนร่วม สถานศึกษาเอกชนการกุศลที่จัดการศึกษาสำหรับคนพิการโดยเฉพาะ และศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ได้รับเงินอุดหนุนและความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากรัฐ หลักเกณฑ์และวิธีการในการรับเงินอุดหนุนและความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 8 ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยให้สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการและต้องมีการปรับปรุงแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในประกาศกระทรวง
สถานศึกษาในทุกสังกัดและศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการอาจจัดการศึกษาสำหรับคนพิการทั้งในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งการเรียนร่วมการจัดการศึกษาเฉพาะความพิการ รวมถึงการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพ การพัฒนาศักยภาพในการดำรงชีวิตอิสระ การพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็น การฝึกอาชีพ หรือการบริการอื่นใด
ให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในทุกสังกัด มีหน้าที่รับคนพิการเข้าศึกษาในสัดส่วนหรือจำนวนที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
สถานศึกษาใดปฏิเสธไม่รับคนพิการเข้าศึกษา ให้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามกฎหมาย
ให้สถานศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนผู้ดูแลคนพิการและประสานความร่วมมือจากชุมชนหรือนักวิชาชีพเพื่อคนพิการได้รับการศึกษาทุกระดับหรือบริการทางการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการ
มาตรา 9 ให้รัฐจัดเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและการพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและความสามารถในการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ
คณะกรรมการการการประถมศึกษาแห่งชาติ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2539) กำหนดแผนพัฒนาการศึกษาพิเศษ ( ด้านคนพิการ ) ดังนี้
1. สิทธิมนุษยชน เด็กทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการศึกษา บริการทางการศึกษา
และอื่นๆ ตลอดจนสามารถได้รับประโยชน์สูงสุดตามศักยภาพของตน
2. การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการควรจัดให้เร็วที่สุดตั้งแต่แรกเกิด หรือแรกเริ่มค้นพบความพิการ (Early Intervention Services)และจัดให้สนองกับความต้องการพิเศษของผู้เรียน เพื่อพัฒนาคนพิการให้มีความสามารถช่วยเหลือตนเองได้ และสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
3. การจัดการบริการการศึกษาพิเศษสำหรับผู้ที่มีความบกพร่อง ให้มีบทบาทในการช่วยเหลือสนับสนุนและป้องกัน การช่วยเหลือสนับสนุนมีลักษณะให้การศึกษา เพื่อขจัดความไม่สามารถในการเรียนรู้และหาวิธีการเรียนการสอนแบบต่างๆมาทดแทนป้องกัน
มีลักษณะให้การศึกษาเพื่อสนองตอบความต้องการพิเศษของเด็ก และจัดหาวิธีการโดยร่วมทำงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ด้านสังคมและอื่นๆ ป้องกันสภาพความพิการไม่ให้ขยายใหญ่ขึ้นและไม่ทำให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้น
กระทรวงศึกษาธิการ พุทธศักราช 2545 ได้จำแนกประเภทของความบกพร่องไว้ 9 ประเภท ดังนี้
1. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ( ตาบอดและเห็นเลือนลาง )
2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ( หูหนวกและหูตึง )
3. บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
4. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพ
5. บุคคลที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
6. บุคคลที่มีปัญหาทางการพูดและภาษา
7. บุคคลที่มีปัญหาทางพฤติกรรมหรืออารมณ์
8. บุคคลออทิสติก
9. บุคคลพิการซ้ำซ้อน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีนโยบายให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษโดยจัดสรรงบประมาณให้โรงเรียนแกนนำการจัดการเรียนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เร่งส่งเสริมและพัฒนานักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ที่ผ่านการคัดกรองนักเรียน โดยคัดเลือกนักเรียนที่อยู่ในภาวะเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือคัดกรองของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดทำโดย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และโรงพยาบาลศิริราช เรียกว่า แบบคัดกรองนักเรียนที่มีภาวะสมาธิสั้น บกพร่องทางการเรียนรู้และออทิสซึม KUS-SI Rating Scales : ADHD/LD/Autism (PDDs)
สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กำหนดให้ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนต้องร่วมมือกันรวบรวมกระบวนการคิด การใช้สื่อ LD เพื่อช่วยเหลือเด็กทันที ซึ่งสามารถดำเนินการได้ ดังนี้
1. การคัดกรองนักเรียน ว่าเป็นเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้หรือไม่ หรือเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษด้านใด
2. การวินิจฉัยเด็กควรใช้หลายวิธีการ โดยการคัดกรองที่ใช้เครื่องมือคัดกรองแบบ KUSSI การวัดเชาว์นปัญญา และวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3. การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
4. การแสวงหาและพัฒนานวัตกรรมสำหรับพัฒนาเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้
5. การแก้ปัญหานักเรียนตามสภาพความต้องการพิเศษ
6. การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนในกลุ่มเป้าหมาย
7. การเทียบเคียงกับโรงเรียนที่มีผลงานดีเด่น เพื่อปรับปรุงและพัฒนานักเรียนตามเป้าหมาย
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ส่วนหนึ่งจะมีปัญหาในด้านการอ่าน จะมีความยากลำบากในการรับรู้ การแยกแยะหรือการจำตัวอักษร มีความสับสนระหว่างตัวอักษรเช่น ม-น, ด-ค หรือเห็นคำว่า กบ เป็น บก เป็นต้น ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ (Bos . 1991: 92) และยังมีงานวิจัยจำนวนมากระบุว่าครึ่งหนึ่งของเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้จะมีปัญหาในด้านการอ่าน (ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์. 2544) ซึ่งปัญหาในการเรียนรู้ดังที่กล่าวมา มีผลต่อการเรียนรู้ในด้านการอ่านเป็นอย่างมาก ฉะนั้นการสอนเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ผู้สอนจะใช้วิธีการสอนเหมือนกับเด็กทั่วไปไม่เป็นการเพียงพอ ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องรู้จักเลือกวิธีสอน สื่อ และอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็กมากที่สุด โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ตรง จากการศึกษาธรรมชาติ(ผดุง อารยะวิญญู. 2533. )
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนโรงเรียนแกนนำการจัดการเรียนร่วมและโรงเรียนเครือข่าย LD ในการพัฒนานักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในจำนวนนักเรียนพิการ 9 ประเภท โดยการจัดสรรงบประมาณให้โรงเรียนดำเนินการและการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพครูตามนโยบายและแผนงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากแนวคิดดังกล่าวข้างต้นและนโยบายตามหน่วยงานต้นสังกัดจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ในระดับหนึ่ง โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องเป็นผู้ริเริ่มส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาเด็กของโรงเรียนในสังกัด ด้วยการจัดหาสื่อ อุปกรณ์ และการพัฒนาศักยภาพครูและผู้บริหารโรงเรียนให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการบริหารจัดการช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ การจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับสภาพของเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้ โดยมุ่งหวังว่าจะเป็นการสร้างโอกาสให้เด็กกลุ่มนี้ได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพอย่างเหมาะสม
ไม่มีความเห็น