ฐานการเรียนรู้บ้านหนองขมาร
ประวัติหัวหน้าฐาน
ข้าพเจ้านายอุ่น นิกรรัมย์ อายุ ๗๐ ปี เกิดวันที่
๒๐ มกราคม ๒๔๗๙
มีภูมิลำเนา
อยู่บ้านเลขที่ ๒๖ หมู่ที่
๖ ตำบลหนองขมาร
อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โทร ๐๔๔-๖๙๙๒๘๑
ส่วนมือถือนั้นเสียเงินมากเกินไป
จึงยังไม่จำเป็นต้องใช้ ป.ณ. ๓๑๑๙๐
การศึกษาและการทำงาน
จบชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ที่โรงเรียนบ้านห้วยราช
อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สอบได้ลำดับที่ ๒
คนที่ได้ที่ ๑
เขียนหนังสือสวย ข้อสอบลอกจากกระผมเอง
ในปี พ.ศ.
๒๔๙๒ จบวิชาชีพเกษตรต้น (๒
ปี) และเกษตรกลาง (๓ ปี)
ที่โรงเรียนเกษตรกรรมบุรีรัมย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗
แล้วสอบเข้าเป็นครูประชาบาล (สอบได้ที่ ๑
ในจำนวนผู้เข้าสอบ 600 กว่าคน
บรรจุให้ไปเป็นครูประชาบาลที่บ้านลำดวน ตำบลลำดวน
อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ในปี พ. ศ. ๒๔๙๘ เนื่องจากโรงเรียนเป็นศาลาวัด
จึงร่วมกับวัดจัดสร้างอาคารเรียนถาวร จำนวน ๓ ห้องสำเรียนสำเร็จ
จึงถูกย้ายให้ไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านยาง ตำบลลำดวน
อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๐๑
มีโชคสองชั้นคือได้รับการคัดเลือกจากทางราชการให้ครูใหญ่ที่วุฒิต่ำ
(ไม่มีวุฒิทางครู)
ไปศึกษาต่อให้สูงขึ้น
จังหวัดบุรีรัมย์คัดเลือกข้าพเจ้าและอาจารย์วิรัช
เรืองสุข ครูใหญ่โรงเรียนบ้านห้วยสำราญ ตำบลลำดวน
อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
ไปเรียนต่อวิชาครูที่วิลัยเกษตรกรรมบางพระ จังหวัดชลบุรี
เป็นเวลา ๓ ปี และโชคอันที่ ๒ คือได้แต่งงานกับ น.ส. วรรณี สาระรัมย์
บุตรครูเที่ยง กับ นางแอ สาระรัมย์ เกิดเดือนเมษายน
๒๕๘๑ และเดินทางไปศึกษาต่อวันที่ ๒๑
เมษายน ๒๕๐๑ คือ
รุ่งเช้าออกเดินทางเพราะวิทยาลัยเกษตรกรรมบางพระกำหนดให้ไปรายงานตัวภายในวันที่
๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๑ เรียนอยู่ ๓
ปีจบหลักสูตรวิชาครูประโยคประถมเกษตรกรรม (ปปก.)
เดินทางกลับทำงานเป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านยางเหมือนเดิม
ในขณะที่เรียนได้พยายามหาที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนบ้านยางขึ้นใหม่ได้จำนวน
๓๐ ไร่
แต่ข้าพเจ้าได้ถูกย้ายให้ไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านก้านเหลือง
ตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๐๓
ภายหลังข้าพเจ้าทราบว่าที่ดินที่เตรียมสร้างโรงเรียนบ้านยางนั้น
ถูกครูใหญ่ใหม่และกำนันตำบลลำดวน
บุกรุกแบ่งเอาไปเป็นกรรมสิทธิส่วนตัว ปัจจุบันคงเหลือไม่เกิน ๑๕
ไร่
โรงเรียนบ้านก้านเหลืองที่ข้าพเจ้าย้ายไปเป็นครูใหญ่ใหม่นี้ไม่มีอาคารเรียน
ใช่ร่มไม้และปีกไม้เป็นโต๊ะและเก้าอี้เรียน
อยู่ข้าพเจ้าจึงดำเนินขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านสร้างอาคารเรียนเป็นอาคารไม้ยกพื้นสูงสูง
๑.๕ เมตร จำนวน ๓ ห้องเรียน
พอสร้างเสร็จเกิดพายุพัดอาคารเรียนเกิดล้มพังเสียหายหมด
ต้องดำเนินการก่อสร้างใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔
และขอความช่วยเหลือจากทางราชการ ได้รับเงินอุดหนุนช่วยเหลือ
20,000 บาท ท่านศึกษาพิน
ศึกษาธิการอำเภอกระสังบอกว่าให้ข้าพเจ้าออกเงินทดลองทำไปก่อน
เมื่อเบิกได้จะคืนให้
ข้าพเจ้าก็หลงเชื่อจึงดำเนินก่อสร้างอาคารเรียนจนแล้วเสร็จในปี
พ.ศ. ๒๕๐๕
จึงขอเบิกเงินอุดหนุนที่จะให้สมทบกับศึกษาพิน ศึกษาพิน
บอกว่า เงินอุดหนุนยังเบิกไม่ได้ ล่วงเลยไป ๖ เดือน
ข้าพเจ้าจึงเข้าจังหวัดไปถามศึกษาธิการจังหวัดเพื่อขอเบิกเงินดังกล่าว
ศึกษาธิการจังหวัดบอกว่า
ศึกษาพินได้เบิกเอาไปเป็นเวลา ๕-๖ เดือนแล้ว
ข้าพเจ้าจึงกลับไปทวงกับศึกษาพินศึกษาธิการอำเภอท่านได้บอกว่า
ท่านได้เบิกมาจริงแต่ได้ใช้ซื้อไม้สร้างบ้านไปแล้ว
ขณะนี้กำลังจะเกษียณ
จึงขอให้ข้าพเจ้ารอหน่อยจะเอาเงินบำเหน็จบำนาญคืนให้
ข้าพเจ้ารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
จึงพูดไปว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วพูดกลับกลอกเหมือนเด็กทำให้ศึกษาพินโกรธ
และออกคำสั่งย้ายข้าพเจ้าจากโรงเรียนบ้านก้านเหลืองไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านตะครอง
ตำบลลำดวน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านก้านเหลืองประมาณสิบห้ากิโลเมตร
และขณะนั้นข้าพเจ้ามีบ้านมีลูกหนี้อยู่จำเป็นต้องดูแลเก็บผลประโยชน์ต่อไป
ไม่สามารถที่จะย้ายไปได้ จึงไปถามศึกษาอำเภอว่าย้ายข้าพเจ้าทำไม
ได้รับการตอบว่า
ย้ายเพื่อที่จะให้ช่วยสร้างโรงเรียนบ้านตะครองให้หน่อย
เพราะย้ายใครไปก็ไม่สามารถสร้างโรงเรียนขึ้นมาได้
ข้าพเจ้าหมดศรัทธาในการบริหารงานของกระทรวงศึกษาธิการ
จึงตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับนักศึกษาและประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใหม่
เพราะระบบนายทุนนั้นเป็นภัยกับประชาชนและเกษตรกรเป็นอย่างยิ่ง
คนมีเงินเอารัดเอาเปรียบคนไม่มีเงิน
ที่ดินที่นาต้องหลุดไปเรื่อย ๆ
ราคาผลผลิตพ่อค้าเป็นผู้กำหนด ตำแหน่งนักการเมือง
ผู้นำหมู่บ้าน
ถูกผู้มีเงินจ่ายเงินซื้อ ทำให้อำนาจสิทธิของประชาชนไม่เท่าเทียมกัน
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาสมัครพรรคพวกเพื่อดำเนินการแก้ไข
จึงตัดสินใจเอาเอกสารที่ดินที่มีอยู่คืนให้กับเจ้าของที่ดินเดิมซึ่งมีอยู่เกือบพันไร่
ในเขตตำบลลำดวน ตำบลชุมแสง ตำบลกระสัง
ตำบลหนองเต็ง ถ้าแปลงใดโอนมาเป็นของข้าพเจ้าแล้ว
ก็โอนกลับอย่างมากที่ได้รับคืนเท่ากับราคาซื้อมาครั้งแรก
บางแปลงโอนคืนให้ฟรีแต่ผู้รับโอนเอาไปขายในราคาสอง-สามล้านก็มีและควรโอนนี้ก็มีต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้
แต่การคิดที่จะไปร่วมกับพรรคพวกในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้
พอดีกับกรมการพัฒนาชุมชนได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ มีคณะกรรมการพัฒนาชุมชนอำเภอกระสัง
โดยนายโกมล และพรรคพวกรวม 7
คน
ไปท้องที่และพักนอนที่บ้านข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้เล่าให้เขาฟัง
เขาแนะนำว่า
ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปนอนป่านอนดงให้ยุงมันกัดและเสี่ยงภัยกับการปราบปรามของเจ้าหน้าที่
ให้ข้าพเจ้าไปสมัครสอบเป็นพัฒนากรเงินเดือนก็ได้
เบี้ยเลี้ยงก็ได้แถมยังมีโอกาสที่จะช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับผลประโยชน์ตามที่เราต้องการอีกต่างหาก
ข้าพเจ้าเห็นด้วยจึงไปศึกษาแนวทางที่จะเป็นพัฒนากร
โดยการลาการสอนตามสิทธิครั้งละ ๔๕ วัน
เมื่อครบกำหนดก็มาสอนและขอลาต่อ
ได้สมัครสอบพัฒนากรจัตวารุ่นแรก ปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๕ สอบได้ที่สี่ในจำนวนผู้เข้าสอบหกหมื่นกว่าคน
หลักการสอบทุกครั้งที่ข้าพเจ้าสอบให้ได้คือให้รู้งานที่จะสอบให้รู้
คนที่ออกข้อสอบ และให้เขารู้จักเราด้วย
ทำให้ข้าพเจ้าสอบได้ลำดับดีมาตลอด
ข้าพเจ้าเริ่มเข้ารับราชการกรมการพัฒนาชุมชนในตำแหน่งพัฒนากร
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖
โดยประจำอยู่ที่อำเภอกระสังมาตลอด จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๗
ข้าพเจ้าสอบได้และได้รับการบรรจุเป็นพัฒนาการอำเภอตรี
อำเภอสตึก และในปีนั้นเป็นปีเงินผันของนายกคึกฤทธิ์
นายอำเภอนิรันด์ ยิ่งวรุณธรรม
ได้เอาเงินโครงการไปซื้อรถเก๋งของกำนันเซ้งและแบ่งให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวกับการเงินและการพัฒนาคนละ
๒-๓ หมื่นบาท (ในสมัยนั้นสามารถซื้อรถเก๋งได้หนึ่งคัน)
แต่ข้าพเจ้าไม่เอาเพราะขณะนั้นปลัดจังหวัดและพัฒนาการจังหวัดซึ่งเป็นกรรมการติดตามตรวจสอบโครงการได้ตรวจพบว่างานที่ทำไม่ถูกต้องและต้องการให้ข้าพเจ้าร่วมมือให้ข้อมูล
แต่ข้าพเจ้าปฏิเสธเพราะถ้าข้าพเจ้าให้ข้อมูลไป
ผู้ถูกลงโทษคือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สภาตำบล
ซึ่งเป็นกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ใช่นายอำเภอ
นายอำเภอพอรู้เรื่องว่าข้าพเจ้าไม่เอาเงินส่วนแบ่งโมโหมาก
เอ็ตโรออกจากห้องนายอำเภอ และด่าว่า “อ้ายคนที่มันไม่ชอบเงิน
มันมีแต่หมาเท่านั้นแหละวะ”
และไปบอกให้เสมียนพิมพ์หนังสือส่งตัวข้าพเจ้ากลับสังกัดเดิม
และทางจังหวัดได้ย้ายข้าพเจ้าไปเป็นพัฒนาการอำเภอละหานทราย
แต่ข้าพเจ้าไม่ไปเนื่องจากสมัยนั้นเขมรแดงได้เข้ามารบกวน
สร้างมวลชนอยู่แถวนั้นเป็นอย่างมาก
และจังหวัดให้ข้าพเจ้าไปอยู่เป็นพัฒนากรที่อำเภอลำปลายมาศ ในปี
๒๕๑๙ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ จังหวัดได้ย้ายข้าพเจ้าไปอยู่ที่อำเภอกระสัง
ในปีนั้นทางราชการมีโครงการอาสาพัฒนาท้องถิ่นของตนเองในฤดูแล้ง
ข้าพเจ้าได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจทรัพย์ทั้งทรัพย์สินเงินทองกลางวันทำงานสนามกลางคืนฉายภาพยนตร์
พาชาวบ้านสร้างถนนจากบ้านตะครอง บ้านห้วยสำราญ
ตำบลลำดวน ผ่านบ้านติม บ้านไผ่ลวก บ้านศรีภูม
ตำบลชุมแสงและบ้านโนนแดง ถึงบ้าน
ก้านเหลืองตำบลชุมแสงเป็นระยะทาง ๙ กิโลเมตร
โดยสร้างเป็นถนนดินตัดผ่านลำห้วย ๔ สาย
ที่ลำห้วยแต่ละแห่งสร้างเป็นฝายน้ำล้นและวางท่อทุกแห่ง
คิดราคาก่อสร้างประมาณ ๘
ล้านบาทโดยไม่ได้ใช้เงินงบประมาณของทางราชการแต่อย่างใด
ทางราชการจึงมอบประกาศณียบัตรและโล่เกียติยศให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอนุสรณ์โดยนายกรัฐมนตรี
ธานินทร์ กรัยวิเชียร
แต่การทำดีครั้งนี้ไม่ได้รับการตอบแทนโดยให้เงินเดือนขึ้นตามระเบียบของทางราชการ
เพราะพัฒนาการจังหวัดนายเฉวียน
บอกว่าผลงานไม่ผ่านพัฒนาการจังหวัด ปี พ.ศ. ๒๕๒๑
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพัฒนาการอำเภอคูเมือง
ได้นำผู้นำพัฒนาท้องถิ่นจนถึงปี ๒๕๒๓
ทำให้กำนันสมชาย อุบัติตระกูล
ภายหลังเปลี่ยนนานสกุลเป็นเกียรติพัฒนานนท์ได้รับโล่ทองคำพร้อมปืนแหนบทองคำ
ในฐานะกำนันดีเด่นสองปีซ้อน และปี ๒๕๒๔-๒๕๒๕
ได้ย้ายไปเป็นพัฒนากรที่อำเภอชุมพลบุรี
จังหวัดสุรินทร์และนำกำนันพันธ์
ได้รับโล่ทองคำพร้อมปืนแหนบทองคำสองปีซ้อนเช่นกันปี ๒๕๒๕
ได้ย้ายมาเป็นพัฒนากรอำเภอสตึกได้นำชุมชนพัฒนาท้องถิ่น
ทำให้กำนันเครื่อง กำนันตำบลสระบัว
ได้รับโล่ทองคำพร้อมแหนบทองคำเช่นกัน
วิธีการทำงานของข้าพเจ้าในขณะเป็นพัฒนากรและพัฒนาการอำเภอนั้น
คือออกพบปะหาข้อมูลและนัดหมายงานในเวลา ๖-๘ โมงกับประชาชนและผู้นำหมู่บ้านเช้า
ส่วนงานสารบรรณทำในเวลาราชการ
เวลาตอนบ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นประจำ
ทำอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ทำให้งานพัฒนาชุมชนไปได้โดยสะดวก
ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี
ตลอดระยะเวลารับราชการไม่เคยเก็บเงินหรือฝากเงินเลย
เงินส่วนตัวจะใช้ในราชการหมด
อาชีพได้หาทุนเรียนเองตั้งแก่อายุ ๑๓ ขวบ โดยรับจ้างงานทุกชนิด พออายุ
๑๖-๑๘ ปีปลูกผักและซื้อของสดส่งขายตลาดเทศบาลบุรีรัมย์
สิ่งนี้ได้สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ข้าพเจ้า โดยตลอดเวลา ๕
ปีเรียนอยู่โรงเรียนเกษตรกรรมบุรีรัมย์
ข้าพเจ้ามีโอกาสได้นุ่งกางเกงขายาวตัวแรก
คือกางเกงเครื่องแบบข้าราชการครู
ซึ่งจำเป็นต้องแต่งเมื่อได้รับราชการบรรจุให้เป็นครูประชาบาลจัตวาอันดับ
๒ เงินเดือน ๕,๐๐๐ บาท
เป็นครั้งแรก ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุ ๑๘ ปี กับสามเดือน คือปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นครูจนถึงปี
พ.ศ.
๒๕๐๖ ดังกล่าวข้างต้น
อาชีพอันดับ ๒
คืออาชีพข้าราชการพัฒนาชุมชน ปี ๒๕๐๖-๒๕๓๙ อาชีพที่ ๓
คืออาชีพเกษตรกรโดยการทำการปลูกยูคาลิปตัสเกือบสองร้อยไร่และถอนตอปี
๒๕๔๖ และ พ.ศ. ๒๕๔๘ เริ่มปลูกยางพารา
จำนวน ๖๐ ไร่ ครึ่งหนึ่งปลูกยางเพาะเมล็ด
อีกครึ่งหนึ่งปลูกส่วนใหญ่ตายใน
ฤดูแล้ง จึงจำเป็นต้องปลูกใหม่หรือซ่อมแซมในปี ๒๕๔๙
และในปีต่อไปจะปลูกยางผสมกับการปลูกหญ้าเลี้ยงโคและเลี้ยงโคไปด้วย
เป็นข้าราชการบำนาญ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ จนถึงปัจจุบัน
ครอบครัว แม่บ้านชื่อวรรณี
นิกรรัมย์ อายุ ๖๘ ปี มีบุตร ๓ คน
คือ ๑.
นางสาวอรุณี นิกรรัมย์ เกิดวันที่ ๑๓
สิงหาคม ๒๕๐๕
ปัจจุบันเป็นกุ๊กอยู่เรือสำราญที่จังหวัด ภูเก็ต อายุ ๔๔
ปี
๒. พันจาอากาศเอก
ไพจิตร นิกรรัมย์
เป็นช่างซ่อมเครื่องบินบริษัทการบินไทยกำกัด อายุ ๔๒
ปี
๓. สิบเอกจักรพงษ์
นิกรรัมย์ เคยนายทหารอยู่ที่ปราจีนบุรี
ขณะนี้ออกมาทำการเกษตรกับครอบครัวพ่อแม่ อายุ
๔๐ ปี
ขอให้พ่ออุ่น เล่าเรื่องเก่าๆแบบเป็นตอนสั้นๆให้พวกเราฟังผ่านทางบล็อกไปเรื่อยๆนะคะ ถ้ายังไงพ่ออุ่นลองเข้าไปดูที่อ.วิจารณ์เขียนเล่าเรื่องประวัติชีวิตตัวเองเป็นตัวอย่างก็ดีนะคะ
จะคอยติดตามอ่านเรื่องเล่าจากพ่ออุ่นค่ะ