ข่าวดีสำหรับคนชอบโยเกิร์ต


โปรดสังเกตนะครับว่า ไม่มีหมอเทวดาที่จะรักษาโรคให้หายได้ 100 % การดูแลสุขภาพและป้องกันโรคจึงปลอดภัยกว่าการปล่อยให้เกิดโรค แล้วตามแก้ ตามรักษากันให้วุ่นวาย

แผงขายหมาก(มัณฑเลย์ พม่า)แบคทีเรียหลายชนิดมีส่วนก่อให้เกิดโรคติดเชื้อได้ทั่วร่างกาย รวมทั้งเชื้อเอช. ไพโลรีที่อาจทำให้กระเพาะอาหาร-ลำไส้อักเสบ และเป็นแผลกระเพาะอาหารได้

การรักษาเชื้อดังกล่าวนิยมใช้ยาปฏิชีวนะ 2 ชนิด ซึ่งรักษาได้ผลประมาณ 77-90 % ถ้าจำกัดเชื้อไม่ได้ หรือเกิดภาวะเชื้อดื้อยา แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะ 4 ชนิด ซึ่งรักษาได้ผลประมาณ 75-85 %

โปรดสังเกตนะครับว่า  ไม่มีหมอเทวดาที่จะรักษาโรคให้หายได้ 100 % การดูแลสุขภาพและป้องกันโรคจึงปลอดภัยกว่าการปล่อยให้เกิดโรค แล้วตามแก้ ตามรักษากันให้วุ่นวาย

อาจารย์นายแพทย์บอร์ ยัง เช็น (Bor-Shyang Shen) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติเช็งคุง ไทนาน ไต้หวันรายงานผลการศึกษาในคนไข้ที่รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ 2 ชนิดล้มเหลว และจะเข้ารับการรักษาต่อด้วยยาปฏิชีวนะ 4 ชนิด

การศึกษานี้แบ่งเป็นสุ่มตัวอย่างคนไข้ (randomize) 138 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่รักษาด้วยยา 4 ชนิดอย่างเดียว รักษาด้วยยา 4 ชนิดบวกโยเกิร์ต และรักษาด้วยโยเกิร์ตอย่างเดียว

โยเกิร์ตที่นำมาทดลองเป็นโยเกิร์ตชนิด AB หมายถึงมีเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดี 2 ชนิดได้แก่ แลคโทบาซิลลัส (Lactobacillus) และไบฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ขนาดที่ให้คือ วันละ 400 มิลลิลิตร

ถ้าเทียบกับโยเกิร์ตชนิดถ้วยในไทย โยเกิร์ตบ้านเราถ้วยละ 150 มล. ถ้าต้องการใช้วันละ 400 มล. จะต้องใช้โยเกิร์ตวันละ 2.67 ถ้วย กินทุกวันนาน 4 สัปดาห์

การศึกษานี้ใช้วิธีให้คนไข้กลืนสารยูเรียที่มีสารกัมมันตรังสีชนิดคาร์บอน-13 (13C-urea) ลงไปในกระเพาะอาหาร

ถ้ามีเชื้อเอช. ไพโลรี เชื้อนี้จะย่อยสลายสารยูเรีย เกิดเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีสารคาร์บอน-13 (13CO2) แก๊สนี้จะซึมเข้าสู่กระแสเลือด และขับถ่ายออกมาทางปอด

ถ้าปริมาณเชื้อมีน้อยลง การย่อยสลายจะลดลง แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีคาร์บอน-13 จะออกมากับลมหายใจน้อยลง

ถ้าไม่มีเชื้อเอช. ไพโลรี จะไม่มีการย่อยสลาย และไม่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีคาร์บอน-13 ออกมากับลมหายใจ

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ได้รับโยเกิร์ตอย่างเดียวมีปริมาณเชื้อลดลงมากกว่ากลุ่มที่รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ 4 ชนิดอย่างเดียว

ความแตกต่างนี้มากถึงระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.0001 หรือหมายถึงว่า ถ้าทดลองแบบนี้10,000 ครั้งจะได้ผลแบบนี้มากกว่า 9,999 ครั้ง ได้ผลแบบอื่นน้อยกว่า 1 ครั้ง)

กลุ่มที่ได้ทั้งยาปฏิชีวนะ 4 ตัวพร้อมกับโยเกิร์ตพบว่า กำจัดเชื้อได้สำเร็จ 85 % กลุ่มที่ได้ยาปฏิชีวนะ 4 ตัวอย่างเดียวกำจัดเชื้อได้ 71.1 %

ความแตกต่างนี้มากถึงระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05 หรือหมายถึงว่า ถ้าทดลองแบบนี้ 100 ครั้ง จะได้ผลแบบนี้มากกว่า 95 ครั้ง ได้ผลแบบอื่นน้อยกว่า 5 ครั้ง)

สรุปคือ การกินโยเกิร์ตวันละ 2.67 ถ้วยอาจจะช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ทำให้กระเพาะอาหาร-ลำไส้อักเสบ หรือเป็นแผลกระเพาะฯ ได้

การศึกษานี้จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะเป็นการศึกษาตามน้ำ(สนับสนุน) หรือทวนน้ำ(คัดค้าน) อย่างไรก็ตาม... ผลการศึกษาในตอนนี้คงจะเป็นข่าวดีสำหรับคนชอบโยเกิร์ต

คำแนะนำ:

  • โยเกิร์ตในไทยมีการเติมน้ำตาลเข้าไปมาก แนะนำให้เลือกชนิดน้ำตาลต่ำ (low sugar) และเลือกโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ (low fat) หรือไม่มีไขมัน (nonfat) โดยเปรียบเทียบฉลากอาหาร (food label)
  • โยเกิร์ตส่วนใหญ่มีปัญหาที่น้ำตาลมากเกิน จึงควรเลือกชนิดน้ำตาลต่ำไว้ก่อน
  • ถ้ากินเกินวันละ 1 ถ้วยควรเดินเพิ่มขึ้นให้ได้วันละ 15 นาที/ถ้วย เช่น เดิมเดินเร็ววันละ 30 นาที วันนี้กินโยเกิร์ต 2 ถ้วย ควรเดินเป็นวันละ 30 + 15 = 45 นาที
  • การเดินเร็ว... ไม่จำเป็นต้องเดินรวดเดียวคราวละนานๆ จะแบ่งการเดินเป็นช่วงย่อยก็ได้ เช่น เดินหลังอาหาร 10 นาที x 3 มื้อ = 30 นาที และเดินติดต่อกันอีก 15 นาที ฯลฯ

แหล่งข้อมูล:

  • เชิญชมภาพใหญ่ที่นี่ > http://www.gotoknow.org/file/wullopporn/060504Betel-L.jpgภาพแผงขายหมาก เมืองมัณฑเลย์. หมากไม่ทำให้อ้วน แต่อาจเป็นสารก่อมะเร็งในช่องปากได้... กฏหมายพม่าห้ามบ้วนน้ำหมากลงบนถนน ทว่า... บางแห่งไม่พบรอยน้ำหมากรอบๆ คนกินหาก ผู้เขียนสันนิษฐานว่า คนพม่าบางคนอาจต้องกลืนน้ำหมากลงไป ไม่บ้วนออกมา เพื่อป้องกันการโดนปรับ
  • ขอขอบคุณ > Laurie Barclay (MD). news author. Desiree Lie (MD, MSEd) CME author. Probiotic yoghurt may help eradicate H. pylori infection. http://www.medscape.com/viewarticle/530055?src=mp > May 4, 2006.
    source: American Journal of Clinical Nutrition.April 2006;83:864-869.
    (เว็บไซต์นี้ต้องสมัครสมาชิก medscape ก่อนเข้าไปอ่านบทความ).
  • นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์  > ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙
หมายเลขบันทึก: 26814เขียนเมื่อ 4 พฤษภาคม 2006 10:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

อาจารย์หมอคะ

สงสัยว่า  ถ้าไม่ทราบว่าเป็นแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้หรือไม่ (ไม่ค่อยปวดท้องแบบอิ่มก็ปวด หิวก็ปวดดั่งโฆษณาว่าจะเป็นแผลในกระเพาะ) เราทานโยเกิร์ตบ่อยๆ เลยได้หรือไม่ ทานตอนท้องว่าง ก่อนอาหารเช้า ช่วง 6-7 โมงเช้าได้หรือไม่คะ

ขอบคุณค่ะ

วัลลภ พรเรืองวงศ์
  • ขอขอบคุณอาจารย์แมงง่องแง่ง และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • 1). คนทั่วไปน่าจะกินโยเกิร์ตได้ คนที่ไม่ควรกินได้แก่ เป็นเบาหวานในช่วงที่น้ำตาลสูงมาก โคเลสเตอรอลสูงมาก (น้ำตาลเพิ่มการสร้างโคเลสเตอรอลได้ในคนบางคน)
  • 2). ผลิตภัณฑ์นมมีน้ำตาลนม(~ 4.5 %) และมีการเติมน้ำตาลทราย หรือน้ำเชื่อมข้าวโพดแต่งรส โยเกิร์ตในไทยส่วนใหญ่มีน้ำตาล 19-27 กรัม/ถ้วย
  • 3). กินโยเกิร์ตพร้อมอาหารน่าจะดีที่สุดครับ
  • 4). ถ้ากินก่อนอาหาร... เชื้อจุลินทรีย์ดีๆ จะโดนกรดในกระเพาะถล่ม ทำให้ตายไปเป็นส่วนใหญ่
  • 5). ถ้ากินพร้อมอาหาร... จะมีอาหาร+น้ำช่วยลดความเป็นกรดลงชั่วคราว ทำให้เชื้อจุลินทรีย์ดีๆ มีโอกาสรอดในเติบโตในลำไส้เพิ่มขึ้น
  • 6). กินโยเกิร์ตเร็วๆ ดีกว่าช้าๆ เพื่อลดช่วงเวลาที่กรดแลคทิคในโยเกิร์ตสัมผัสฟัน
  • 7). ถ้ากินหลังอาหาร... ควรบ้วนปากทันที เพื่อลดกรด(แลคทิค)ในช่องปาก ซึ่งอาจทำให้ฟันสึกกร่อนได้ และรอ 10 นาทีค่อยแปรงฟัน ถ้าแปรงทันที... เคลือบฟันที่อ่อน(โดนกรด)อยู่อาจจะสึกกร่อนได้
  • ขอให้อาจารย์แมงง่องแง่ง และท่านผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพดี มีจุลินทรีย์ชนิดดีๆ หรือมีเชื้อเจ้าบ้านที่ดี เชื้อเหล่านี้จะมีส่วนช่วยป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ร้ายๆ ได้ต่อไป

เป็น Topic ที่เยี่ยมมากอันนึงเลยครับ ได้ความรู้มากมาย

สำหรับคนที่ผอมกะหร่อง มีแค่หนังหุ้มกระดูก อย่างผมนี่ กินโยเกิร์ต แบบธรรมดา ไม่ Low Fat จะมีผลเสียอะไรบ้างครับ

เคยอ่านหนังสือ ได้ยินว่ามีกลุ่มคนรักสุขภาพบางกลุ่มไม่กินนม อันนี้ผมก็ไม่ได้ศึกษาในรายละเอียดว่าทำไม และนมมีผลเสียอย่างไรถึงไม่กิน คุณหมอพอจะทราบไหมครับ

ไม่มีหมอเทวดาที่จะรักษาโรคให้หายได้ 100 % การดูแลสุขภาพและป้องกันโรคจึงปลอดภัยกว่าการปล่อยให้เกิดโรค แล้วตามแก้

ครับผมก็เชื่อว่า Prevention better than correction ครับ ถ้าเราทุกคนดูแลตัวเองดี มะเร็ง เบาหวาน และสารพัดโรค ก็ไม่มากล้ำกรายครับ

วัลลภ พรเรืองวงศ์
  • ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช อาจารย์ Yuporn ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • 1). การกินโยเกิร์ตแบบธรรมดา (ไม่ใช่ชนิดไขมันต่ำหรือ low fat) ถ้าเป็นชนิด "plain" หรือไม่เติมน้ำตาลจะคล้ายกับการกินนมเต็มส่วน (whole milk) ครับ
  • 2). การกินนมเต็มส่วนเสี่ยงอันตรายจากไขมันอิ่มตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคเส้นเลือดอุดตันได้ เช่น นม 200 มิลลิลิตร (น้อยกว่าขนาดโค้กกระป๋อง 325 มล.) มีไขมันอิ่มตัวสูงถึง 21-25 % ของขีดจำกัดใน 1 วัน ฯลฯ
  • 3). คนอินเดียส่วนใหญ่ถือมังสวิรัติ กินนมเต็มส่วนนี้มาก นิยมกินนมควาย(ดูจะมีความเข้มข้นสูงกว่าวัว)ต้ม กินกับน้ำชาเป็นเครื่องดื่ม "ไจ" เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันมาก
  • 4). องค์การอนามัยโลกพยากรณ์ว่า ต่อไปอินเดียจะเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ด้านคนเป็นโรคหัวใจ
  • 5). คำแนะนำสำหรับคนที่อายุ 2 ปีขึ้นไปคือ ควรกินนมไม่มีไขมัน หรือไขมันต่ำแทนนมเต็มส่วน
  • 6). นมที่ไม่มีไขมันจะมีวิตะมินดีต่ำ ทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลงได้ในคนสูงอายุ คนสูงอายุสร้างวิตะมินดีจากแสงแดดได้น้อยลง การกินนมไม่มีไขมันผสมกับนมไขมันต่ำน่าจะปลอดภัย และให้ผลดีที่สุด
  • 7). คนรักสุขภาพส่วนหนึ่งไม่กินนม เข้าใจว่า นมมีข้อเสียหลายอย่าง เช่น บางคนแพ้นม แพ้น้ำตาลนม(แลคโทส) ฯลฯ กลัวยาฆ่าแมลง ยาปฏิชีวนะ หรือสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในนม
  • 8). ข้อเสียจากนมมีจริง อย่างไรก็ตาม... ข้อเสียดังกล่าวยังขาดผลการศึกษาวิจัยรับรอง ต่างจากผลเสียของการขาดแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมที่มีมากในนมที่ทำให้เกิดโรคกระดูกโปร่งบาง
  • 9). โรคกระดูกโปร่งบางมีความเสี่ยงตายชัดเจน เช่น กระดูกหักแล้วต้องนอนนานๆ ทำให้เสี่ยงต่อโรคติดเชื้อ เส้นเลือดดำอุดตัน ทุพพลภาพ ฯลฯ
  • 10). ถ้าไม่กินนมก็มีของทดแทน เช่น งาดำ ปลากินทั้งตัว ผักใบเขียว ฯลฯ ขอเพียงให้แน่ใจว่า กินได้มากพอทุกวัน
  • 11). เรื่องสุขภาพนี่... ฝรั่งพูดถึง "ทางสายกลาง (moderation)" มากขึ้นทุกที ขอเรียนเสนอว่า กินหลายๆ อย่าง อย่างละพอประมาณน่าจะดีครับ...
  • ขอขอบคุณ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพดี...

ต่อไปอินเดียจะเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ด้านคนเป็นโรคหัวใจ

  • คนอินเดียกินนมและเนยมาหลายชั่วอายุคนแล้วไม่ใช่หรือครับ
  • สถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดของคนอินเดียในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้างครับ
  • ประเด็นนี้อาจคล้ายๆ กับคนระวังสุขภาพจำนวนมากไม่กล้ากินปลาหมึกและกุ้ง เพราะกลัวโคเลสเตอรอส ในขณะที่ประเทศที่กินอาหารทะเลพวกนี้เป็นประจำกลับไม่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดมากเท่าใดนัก
  • ขออนุญาตนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อครับ
  • ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช และท่านผู้อ่านทุกท่าน...             
    1ก). คนอินเดียกินนมและเนยแบบนี้มาอย่างน้อยหลายพันปีแล้ว... เรื่องนี้มีส่วนทำให้คนอินเดียได้รับไขมันอิ่มตัวจากนม+เนย จากน้ำมันปาล์ม+มะพร้าวสูง
    1ข). อาหารอินเดียจะเข้ากับสูตรนี้ (ผมสังเกตเอง ไม่มีข้อมูลยืนยัน) = หวาน+มัน+เค็ม+ฉุน(เครื่องเทศ)
    3ค). ลักษณะฉลาด เรียนรู้เร็ว และขยัน ลักษณะเช่นนี้น่าจะทำให้อินเดียเจริญเติบโตเร็ว ปัญหาคือ เสี่ยงต่อภาวะ "เร่งมากเกิน (overspeed)"  ภาวะ "เร่งมากเกิน" มีส่วนทำให้ช่องว่างทางฐานะห่างกันมากขึ้น คนจะเครียดมาก เพราะแก่งแย่ง แข่งขันกันมาก และมีอันตราย เพราะเป็นความเครียดระยะยาวที่มีอันตรายต่อสุขภาพ
    3ง.) ภาวะ "เร่งมากเกิน (overspeed)" เปรียบคล้ายการขับเกวียนติดเทอร์โบ เครื่องน่ะแรง ทว่า... องค์ประกอบอื่นๆ มันจะโทรม
    2). ข้อมูลโรคหัวใจ-หลอดเลือดของคนอินเดีย เรียนเสนอให้สอบถามจากอาจารย์อายุรแพทย์โรคหัวใจที่นี่ ขอกราบอนุโมทนาที่อาจารย์ท่านเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทาน... www.thaiheartweb.com/
    3). เรื่องอินเดียจะเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ด้านโรคหัวใจนี่... อ.นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ท่านเขียนไว้ครับ
    4). บทความนำไปใช้เพื่อสาธารณะได้เลยครับ ที่เขียน "สงวนลิขสิทธิ์" ไว้ เพื่อป้องกันนำไปใช้เพื่อการค้า
    5). สุขภาพเป็นเรื่องที่มีปัจจัยเกี่ยวข้องจำนวนมาก การใช้ชีวิตเรียบง่าย ประหยัด ออกแรงมากหน่อย กินพอประมาณ หรือที่เรานิยมเรียกว่า "ทางสายกลาง (moderation)" น่าจะปลอดภัยในระยะยาว
  • ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพดี มีหัวใจ-เส้นเลือดดีๆ ไปนานๆ...

ขอบคุณค่ะอาจารย์วัลลภ

เมื่อก่อนชอบกินโยเกิร์ตมากค่ะ แต่ก็ว่าหวานไปอย่างที่อาจารย์บอกเลย ลดๆ ไป

อาจารย์คะ ถ้าโยเกิร์ตทำจากน้ำเต้าหู้จะพอให้ผลดีเทียบเคียงกับจากนมไหมคะ

  • ขอขอบคุณอาจารย์ jc ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • โยเกิร์ตนี่ "น้อยไว้ละดี" ครับ
    1_. เลือกชนิดที่มีน้ำตาลต่ำไว้ก่อน
    2_. ต่อไปเลือกชนิดที่มีไขมันต่ำหน่อย
  • โยเกิร์ตจากน้ำเต้าหู้นี่ไม่ทราบข้อมูลเลย ทว่า... การกินโยเกิร์ตที่ดีน่าจะได้รับจุลินทรีย์ชนิดดีด้วย
  • โจทย์มีอยู่ว่า จุลินทรีย์ เช่น แลคโทบาซิลลัส ฯลฯ เติบโตในน้ำเต้าหู้ได้หรือไม่ ถ้าได้ก็น่าจะดี
  • ได้ยินมาว่า แลคโทบาซิลลัสเติบโตในผักดอง(กิมจิ)ได้
  • ขอให้อาจารย์ Jc และท่านผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพดี มีเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดี ส่วนเชื้อร้ายๆ นี่ขอให้มีแต่น้อย หรือหมดไปเลย...
  • ครับ คงต้องยึดทางสายกลางเป็นดีที่สุด
  • ในขณะที่อินเดียผลิตขีปนาวุธได้ และมีเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของตัวเอง แต่อินเดียก็มีขอทานอยู่มากมายก่ายกอง และคนรวยติดอันดับโลกอินเดียก็มี
  • การที่อินเดียมีขอทานอยู่มาก อาจเป็นส่วนหนึ่งให้มีคนอินเดียจำนวนหนึ่งแสวงหาความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด บ้านเราดูเหมือนจะสบายกว่าหลายๆ ชาติ คนเลยไม่ค่อยคิดอะไร

 

  • ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • อินเดียเป็นแผ่นดินที่มีความสุดโต่ง (extreme) มาก มีนักเขียนกล่าวว่า เป็น Land of extrme หรือ Land of contrast ทำนองนี้ หมายถึงมีคนจนมาก-รวยมาก... อย่างที่อาจารย์เปมิชว่าไว้
  • เวลาคนเราเข้าไปในดินแดนที่มีความสุดโต่งมากๆ เช่น อินเดีย ฯลฯ มีแนวโน้มจะเกิด "ภาวะช็อคทางวัฒนธรรม" และการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดดังสมการ...
  • Land of extreme (exposure) => Culture shock => Transformation
  • เมืองไทยทุกวันนี้มีแนวโน้มว่า คนจะอยู่ลำบากขึ้น
    1). สื่อกระตุ้นความอยาก(โฆษณา)ผลิตโดยมืออาชีพผ่านสื่อมวลชน (professional advertising) เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ทำให้ความอยากเพิ่มขึ้นๆๆ
    2). ผู้ชมสื่อส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะ "เมาสื่อ (flooded information)" หรือตั้งตัวไม่ติด ทำให้เกิดการหวั่นไหว อยู่ไม่สุข (agitated)
    3). เกิดภาวะ "มีเท่าไหร่ ไม่รู้จักพอ"  (desire overwhelming) หรือภาวะขาดแคลนเทียม (pseudoinsufficiency) เรื้อรัง
    4). เกิดพฤติกรรมทางลบ เช่น ติดเหล้า ยาเสพติด ต่อต้านสังคม ชอบติ โกงกิน(คอรัปชั่น) ขโมย ปล้นจี้ ฯลฯ
    5). ทีนี้ถ้าคนไทยเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ (paradigm shift) หันมาดำรงชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง อยู่อย่างเรียบ ง่าย ประหยัด ขยัน ใฝ่รู้ อดออม ไม่ยอมให้สื่อโฆษณาหรือค่านิยมผิดๆ มอมเมา... อย่างนี้เมืองไทยไปได้ไกลแน่นอน

สวัสดีคุณหมอครับ

ผมเจอบทความนี้เพราะหาจาก google เกี่ยวกับโรคกระเพาะ เนื่องจากแม่ผมเพิ่งอาเจียน และปวดท้อง

ผมดูอาการแล้วน่าจะเป็นโรคกระเพาะนี่แหละครับเลยพยายามหาข้อมูล

อยากถามคุณหมอครับ ว่าเบื้องต้นตอนนี้ผมควรจะทำอย่างไร ควรให้แม่กินยาอะไรครับอยากให้คุณหมอแนะนำหน่อย

ข้อมูลนะครับ

แม่ผมอายุ 63 ปี วันนี้ก็เพิ่งทานกล้วยทอดกับขาวโพดไปมื้อเดียวตอนประมาณ 11 โมงแล้วครับเพราะเค้าไม่ค่อยอยากกินอะไร

มีอาการปวดท้องเป็นๆหายๆ แต่เมื่อกี้แม่ปวดท้องแล้วก็อาเจียน

ปกติแม่ก็กินยาแก้ปวดอยู่เพราะเค้ามักมีอาการปวดข้อ ยิ่งช่วงนี้เป็นตาอักเสบ ก็เลยทานยาแก้อักเสบด้วย

เดี๋ยวผมว่าจะไปซื้อข้าวต้มกับยาลดกรด อยากให้คุณหมอแนะนำหน่อยครับ 

ขอบคุณมากๆครับ

ขอขอบคุณ... คุณอาทิตย์

  • ถ้ากินอาหารนอกบ้านแล้ว ปวดท้อง + อาเจียน > ส่วนใหญ่น่าจะเป็นโรคอาหารเป็นพิษ (food poisoning) ครับ
  • ขั้นแรกคือ ทำอย่างไรให้หยุดอาเจียน > น่าจะลองปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยาใกล้บ้าน > กินยาแก้อาเจียน+น้ำก่อน
  • รอ 15-20 นาทีค่อยกินยาลดกรด

การกินยาลดกรด...

  • เรียนเสนอให้ปรึกษาโรงพยาบาลใกล้บ้าน > ส่วนใหญ่กินติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือนน่าจะดี
  • ถ้าครบ 2 เดือนไม่ดีขึ้น > ควรปรึกษาหมอ เนื่องจากอาจมีโรคติดเชื้อในกระเพาะฯ หรือปวดจากสาเหตุอื่น เช่น นิ่วถุงน้ำดี ฯลฯ

ขออนุโมทนาในการดูแลคุณแม่ครับ... สาธุ สาธุ สาธุ

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท