หากท่านเคยชมกีฬาชกมวย ไม่ว่าจะเป็นมวยสากลหรือมวยไทย เขาจะต่อยบนสังเวียนกันเป็นยก และมีหลายยก ระหว่างยกมีการพัก ช่วงนี้แหละครับ ที่นักมวย พี่เลี้ยง โค้ช จะคุยกันเพื่อปรับทางมวย หรือวิธีการต่อสู้ในยกต่อไป
คำเปรียบเทียบนี้ผมได้ฟังครั้งแรกเมื่อไปช่วยคุณนภินทร ศิริไทย ซึ่งเป็นวิทยากรกระบวนการให้แก่เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ 13 สถาบัน ในครั้งนั้นเอง ผศ. สมพงษ์ บุญเลิศ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้กล่าวคำเปรียบเทียบนี้อธิบายเครื่องมือ AAR ให้แก่ผู้เข้าร่วมด้วยกันเอง ซึ่งหลายท่านเข้าใจดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็พอจะนึกเห็นภาพวิธีการ
ผศ.สมพงษ์ บุญเลิศ
การทำ AAR แล้วแต่ใครจะเรียกว่าอะไร จริงๆในหลายๆที่ หลายๆแห่งเขามีการทำกันอยู่แล้ว แต่อาจจะขาดความต่อเนื่องสม่ำเสมอไปบ้าง ใหม่ๆผมก็ยังมองไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะช่วยการทำงานได้อย่างไร แต่พอในที่ทำงานมีการใช้บ่อยๆทำให้เปิดหูเปิดตาเรามากที่เดียวครับ อย่างน้อยที่สุด ผมได้ฝึกทักษะการฟังแบบ "ลึกสุดใจ" มากขึ้น เสน่ห์ของ AAR ที่ผมชอบคือ พอเราฝึกฟังมากๆ หลายๆครั้ง มันจะช่วยให้ทำให้เราเกิดไอเดียอะไรบางอย่าง ที่จะเอาไปปรับใช้กับงานของเรา บรรยากาศการรับฟังกันในหน่วยงานก็ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เห็นต่างกันนะครับ ตรงนี้ยังมีการแสดงความเห็นมุมมอง รวมทั้งเหตุผลที่ต่างกันอยู่เหมือนเดิม แต่ที่ใหม่เข้ามาคือ อย่างน้อยก็ยังมีช่วงหนึ่งของการพูดคุยที่เราจะฟังคนอื่นมากขึ้น เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็มีเช่นเดิม แต่เราแขวนมันไว้ก่อนในช่วงนั้น
AAR เป็นสิ่งหนึ่งที่ สคส. เราทำเป็นประจำหลังเสร็จภารกิจย่อยๆแต่ละครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะคิดอุปมาอีกอย่างหนึ่ง คล้ายๆกับการที่เราได้ "ลับมีด" ของเราเป็นระยะๆ ไม่ใช่หั่น ฝาน เชือด หรือสับอย่างเดียว ถึงเหล็กดีอย่างไร ก็ต้องทื่อบ้างแหละครับ
ไม่มีความเห็น