อ่าน
ตอนที่ 1 : โรงเรียนอยู่ไหน..?
ในการจัดการเรียนการสอนของศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขานั้น
เมื่อมาคิดทบทวนอดีตที่ผ่านมา
ทำให้พบว่าเรามีกระบวนการเรียนการสอนที่สมัยนี้นิยมเรียกกันว่า
การเรียนการสอนที่ ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
(ตามจริต) ผมก็เพิ่งเข้าใจคำนี้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
แต่ก็ทำมาบ้างแล้ว ทำอย่างไรบ้าง
ผมมีเรื่องเล่าถึงการจัดการเรียนของศูนย์ฯ ดังนี้ครับ
-
ครูไม่มีข้อห้ามเรื่องระเบียบการแต่งกาย ตามสะดวก
ใส่ชุดอะไรมาเรียนก็ได้ไม่ผิดระเบียบ
-
ใครจะนำน้องมาเลี้ยงหรือมาเล่นด้วยก็ได้ ไม่ห้ามไม่ได้แยกการศึกษาออกจากชีวิตจริงๆ
-
ตอนกลางคืนจะห่มผ้าห่มมาเรียนก็ไม่ได้ว่าอะไร
เพื่อความอบอุ่นเพราะโรงเรียนยังไม่มีฝาห้อง
-
ใครพร้อมจะเรียนตอนกลางวันก็ได้
หรือจะมาเรียนตอนกลางคืนก็ได้ หรือเด็กๆ
บางคนจะมาเรียนทั้งกลางวันกลางคืนก็ตามใจปรารถนา (ตามความพร้อม)
-
สามารถเรียนควบคู่กับการเลี้ยงวัวด้วยก็ได้
โดยอาจผูกหลักไว้แล้วมาเรียนสักพักหนึ่งจะขออนุญาตไปดูแลวัวที่เลี้ยงก็ยินดี
จะได้ไม่เสียเวลาทำมาหากิน
-
ในขณะที่มาเรียน
ครูและผู้เรียนก็สามารถปรึกษาพูดคุยเรื่องในชีวิตประจำวันได้
ไม่ต้องเคร่งเครียดกับการเรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว
-
ไม่มีการแยกชั้นเรียน
แต่จะจัดเป็นกลุ่มๆ ตามความก้าวหน้า
-
ร้อยะ 80 เป็นตำราที่มีมาจาก กศน. ส่วน อีกร้อยละ 20
ชาวบ้านร่วมกันสร้าง เรียกกันในสมัยนั้นว่า "หลักสูตรท้องถิ่น"
หากเป็นสมัยนี้คงเรียกว่า "ภูมิปัญญา" ครับ
-
การประเมินผล ไม่ใช้การสอบครับ ไม่เคยมีการสอบ แต่จะประเมินเป็นรายบุคคลตามความก้าวหน้า
-
ในบางฤดูกาล ผู้เรียนก็จะมาต่อรองถึงช่วงเวลาของการเรียนที่เหมาะสมได้
เช่น ในฤดูทำนา เกี่ยวข้าว
หรือขอหยุดเรียนทั้งวันเพื่อไปกินแขกแต่งงาน(ออมุ)
ต่างหมู่บ้านเป็นต้น
ภาพนี้
ตอนกลางวันจะเป็นช่วงของเด็กๆ ครับ
ภาพนี้
เป็นบรรยากาศการเรียนการสอนในตอนกลางคืน เป็นของผู้ใหญ่หรือคนที่ไม่ว่างในตอนกลางวัน
บทสรุป
บทเรียนที่เรียนรู้จากประสบการณ์ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนของศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา
ที่ผมได้มีโอกาสได้เรียนรู้ ขอสรุปไว้ดังนี้
-
ได้เรียนรู้ว่า...ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นครูในการจัดการสอนการเรียนนั้น
แม้ว่าจะมาจากหลายสาขาวิชาทั้งครู สายช่าง อื่นๆ
หรือวุฒิของครูที่มีตั้งแต่ ม.6
ถึงระดับปริญญาตรี แต่ทุกคนต่างก็สามารถทำหน้าที่ของครูได้ดี
อาจแตกต่างกันบ้าง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตวิญญาน
ความตั้งใจจริง
และความรับผิดชอบในหน้าที่ของครูที่มีอยู่ในตัวคนๆ นั้นต่างหาก
เพราะเราเป็นเพียงผู้เอื้ออำนวยให้คนได้เรียนรู้ (ทุกอย่างเรียนรู้และฝึกฝนได้)
-
ในการทำงานในชุมชนนั้น ต้องใช้ความรู้หลายๆ
แขนงผสมผสานกัน
ไม่ใช่แต่การสอนหนังสือเพียงอย่างเดียว
ต้องใส่ใจกับสภาพและความเป็นไปในชุมชนด้วย
เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่ในชุมชน
ล้วนส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของเราทั้งสิ้น
-
ได้เรียนรู้ว่าคนตัวผู้มาเรียนนั้น
มีความหลากหลายและความพร้อมที่จะเรียนรู้แตกต่างกันมาก
ดังนั้นการออกแบบหรือการจัดการเรียนการสอน จึงต้องจัดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
-
บางเรื่อง ชาวบ้านหรือผู้เรียนตัวน้อยๆ ของเรา
มีความรู้และความสามารถมากกว่าครูเสียอีก เช่น
ความสามารถในการหาของป่า การหุงหาอาหาร
การพึ่งพาตนเองโดยไม่ใช้เงินตรา เป็นต้น (ทุกคนมีศักดิ์ศรีและความรู้ความสามารถ)
-
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะขอบันทึกไว้ก็คือ
มาตรวัดที่ใช้ในการศึกษาหรือการเรียนรู้นั้น
จะใช้เพียงว่าการจบการศึกษาชั้นนั้นชั้นนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ
หรือใช้ได้ในทุกๆ ที่
ผมว่ามันขึ้นอยู่กับว่าในวิถีชีวิตจริงของชุมชนแล้วเขาต้องใช้องค์ความรู้อะไร
จึงจะสามารถดำรงชีวิตรอดอยู่ได้อย่างมีความสุข
เพราะในบางพื้นที่แม้มีเงินก็ไม่สามารถซื้ออะไรๆ ได้
(ต้องทำเป็นและทำเอง) แต่ความรู้ความสามารถทำอะไรได้
ทำอะไรเป็น ฯลฯ ต่างหาก
(ที่ส่วนใหญ่ไม่มีการสอนในห้องเรียน)
แต่เขากลับเรียนรู้กันเองอย่างเป็นธรรมชาติ
และสามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตจริงๆ
ส่งผลที่ทำให้เขาดงรงชีวิตอยู่ได้
ประสบการณ์นี้
สามารถนำมาปรับใช้กับกระบวนการจัดการความรู้ได้เป็นอย่างดี
เพราะในการจัดการความรู้
มิติหนึ่งของบุคคลที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือความพร้อมหรือความถนัด/ความชอบในการเรียนรู้ของแต่ละคน(จริต)
ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทำ KM จึงน่าจะต้องคำนึงถึงหลักการของ
"ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง" ด้วย
เพราะจะเป็นส่วนที่เอื้อหรือสนับสนุนต่อความสำเร็จของ KM
ด้วย
วีรยุทธ สมป่าสัก