อิสลามถือว่าความหลากหลายทางด้านภูมิศาสตร์ ประชากรศาสตร์ และวงศ์ตระกูลของมวลมนุษย์ คือหนทางสู่การเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ เกื้อกูล เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน มิใช่เป็นต้นเหตุแห่งการบาดหมาง พยาบาท การเข่นฆ่า สงครามและการนองเลือดระหว่างกัน อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูล เพื่อจะได้รู้จักกันและกัน” (อัลฮุญุรอต : 13) การรู้จักซึ่งกันและกัน ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเข้าถึง เข้าใจ ร่วมมือ เกื้อกูล และถือเป็นบันไดขั้นแรกของกระบวนการสร้างอารยธรรมอันสูงส่งของมนุษยชาติ
อิสลามได้วางกรอบพร้อมเสนอวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องในทุกเรื่องทุกประเด็นที่เป็นความต้องการตามสัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ไม่ว่าด้านจิตวิญญาณที่ครอบคลุมความเชื่อ
จิตวิญญาณ
หรือด้านกายภาพที่เกี่ยวเนื่องกับสรีระร่างกายและปัจจัยพื้นฐานทั่วไป
นอกจากนี้อิสลามยังเสนอมาตรการการป้องกันและห้ามปรามทุกเรื่องทุกประเด็นที่ปฏิเสธและไม่เป็นที่ต้องการตามสัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ไม่ว่าด้านนามธรรมหรือกายภาพ
อิสลามเป็นคำสอนที่ถือว่ามนุษย์ทุกคน ถึงแม้จะแตกต่างด้านเชื้อชาติ
สัญชาติและเผ่าพันธุ์
ต่างก็มีตระกูลอันดั้งเดิมที่มาจากครอบครัวเดียวกัน
ดังอัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย
จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้า ที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง
(นบีอาดัม)”(อันนิสาอฺ : 1) อัลลอฮฺยังได้ตรัสอีกความว่า
“โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง
และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูล เพื่อจะได้รู้จักกัน
แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น
คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า
แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน” (อัลฮุญุรอต
: 13)
การประกาศหลักการและเจตนารมณ์อันบริสุทธ์นี้ถือเป็นการปฏิเสธความเหลื่อมล้ำ
การแบ่งชนชั้นวรรณะและการจัดวางกลุ่มคนบนขั้นบันไดทางสังคมเนื่องจากความแตกต่างด้านสีผิว
เชื้อชาติ วงศ์ตระกูลและเผ่าพันธุ์ของมนุษย์โดยสิ้นเชิง
อิสลามถือว่าความหลากหลายทางด้านภูมิศาสตร์ ประชากรศาสตร์
และวงศ์ตระกูลของมวลมนุษย์ คือหนทางสู่การเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์
เกื้อกูล เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน มิใช่เป็นต้นเหตุแห่งการบาดหมาง
พยาบาท การเข่นฆ่า สงครามและการนองเลือดระหว่างกัน
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูล
เพื่อจะได้รู้จักกันและกัน” (อัลฮุญุรอต : 13) การรู้จักซึ่งกันและกัน
ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเข้าถึง เข้าใจ ร่วมมือ เกื้อกูล
และถือเป็นบันไดขั้นแรกของกระบวนการสร้างอารยธรรมอันสูงส่งของมนุษยชาติ
อิสลามถือว่า
มนุษย์มีฐานะอันทรงเกียรติยิ่งและประเสริฐสุดในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย
ถึงแม้จะมีความแตกต่างด้านสีผิว เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและศาสนา
แต่ความเป็นมนุษย์ของคนๆ
หนึ่งถือเป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่เขาจะได้รับฐานะอันทรงเกียรตินี้
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “แน่แท้
เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอดัมและเราได้พิทักษ์ปกป้องพวกเขาทั้งหลายทั้งทางบกและทางทะเล
และได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแก่พวกเขา
และเราได้ให้พวกเขาดีเด่นอย่างมีเกียรติเหนือกว่าผู้ที่เราได้ให้บังเกิดเป็นส่วนใหญ่”(อัล
อิสรออฺ : 70)
บนพื้นฐานแห่งกระบวนทัศน์ดังกล่าว
อิสลามจึงประกาศเป็นศาสนาสากลที่ตระหนักและให้ความสำคัญแก่มนุษย์
อิสลามจึงเชิญชวนและเรียกร้องมนุษยชาติทั้งมวล โดยไม่ได้จำกัดกลุ่ม
ชนชาติ เผ่าพันธุ์ เชื้อชาติหรือลักษณะภูมิประเทศใดเป็นการเฉพาะ
และด้วยความเป็นสากลของอิสลาม ไม่ว่าในมิติของการเชิญชวน การเรียกร้อง
หรือในมิติของการตอบรับของประชาคมโลก อิสลามจึงปฏิเสธแนวคิดชาตินิยม
รัฐนิยมหรือการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ของตนเอง
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด
เว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษย์ทั้งหลาย
แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้”(สะบะอฺ: 28)
ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) กล่าวไว้ว่า
“ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติของฉันสำหรับผู้ที่เรียกร้องบนฐานแนวคิดของการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์
ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติของฉันสำหรับผู้ที่ทำสงครามบนฐานแนวคิดของการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์
และไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติของฉันสำหรับผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากการต่อสู้ในการปกป้องและพิทักษ์รักษาแนวคิดของการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์”
ดังนั้นอิสลามจึงได้สร้างเงื่อนไขไว้ว่า การเข้ารับอิสลามของแต่ละคน
ต้องเกิดจากเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์และความต้องการอันเสรีเท่านั้น
ไม่ใช่ด้วยการบังคับขู่เข็ญ
และอิสลามถือว่าการบังคับในเรื่องดังกล่าวเป็นอาชญากรรมและสร้างตราบาปให้แก่มนุษย์ที่มีความอิสระและสิทธิเสรีภาพในการกำหนดวิถีชีวิตของตนเอง
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนาอิสลาม”
(อัลบะเกาะเราะฮฺ : 256) อัลลอฮฺทรงตรัสอีกความว่า
“เจ้าไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจเหนือพวกเขา (ให้เกิดความศรัทธา) ”
(อัลฆอซิยะฮฺ : 22) นอกจากนี้
อัลลอฮฺยังได้ปฏิเสธพฤติกรรมอันจะนำไปสู่การบังคับในศาสนาด้วยคำดำรัสของพระองค์ความว่า
“และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์
แน่นอนผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวลจะศรัทธา
เจ้าจะบังคับมวลชนจนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ ” (ยูนุส :
99)
อิสลามได้กำหนดเป้าประสงค์อันสูงสุดของสาส์นแห่งการเผยแผ่อิสลาม
มายังมนุษยชาตินั่นคือการแผ่ความเมตตาแก่เหล่าสมาชิกในสากลจักรวาล
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด
นอกจากเป็นความเมตตาแก่สากลโลก ” (อัล-อัมบิยาอฺ : 107)
อิสลามไม่ได้เป็นศาสนาที่จำกัดความเมตตาเพียงแค่มนุษย์เท่านั้น
หากยังก้าวล้ำแผ่ไปถึงบรรดาสิงสาราสัตว์ ซึ่งได้ปรากฏในคำสอนของอิสลาม
ที่กำชับให้มีการอ่อนโยนแก่สัตว์ มีความปรานี ให้การเยียวยารักษา
และห้ามใช้งานสัตว์ที่หนักจนเกินไป นอกจากนี้
อิสลามได้สอนให้มุสลิมรู้จักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ด้วยการกำหนดบทบัญญัติที่ว่าด้วยการห้ามทำลายสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์โดยเปล่าประโยชน์
ศาสนทูตมูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) กล่าวความว่า
“หญิงนางหนึ่งต้องเข้านรกด้วยความผิดที่นางได้จับขังแมวตัวหนึ่ง
โดยที่นางไม่ให้อาหารและไม่ปล่อยให้มันหาอาหารเอง
จนกระทั่งแมวนั้นตายเพราะความหิว”(รายงานโดยอัล-บูคอรีย์) ท่านศาสนทูต
(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
ยังได้เชิญชวนมนุษย์ให้มีความโอบอ้อมอารีแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยวจนะของท่านความว่า
“แท้จริงท่านทั้งหลายจะได้รับผลบุญในทุกครั้งที่ท่านยื่นมือให้อาหารแก่ทุกกระเพาะที่เปียกชื้น
(อันหมายถึง ทุกสิ่งที่มีชีวิต)”
อิสลามได้ยอมรับการมีอยู่ของประชาคมอื่น
ทุกประชาคมในโลกนี้ย่อมมีสิทธิใช้ชีวิตและดำรงคงอยู่บนโลกนี้
พร้อมกับความเชื่อของตนได้อย่างอิสรเสรี
อิสลามถือว่าความหลากหลายของประชาคม
ถือเป็นกฏสามัญทั่วไปของสิ่งมีชีวิต ความแตกต่างในสัจธรรมดังกล่าว
ถือเป็นแนวทางสู่การแข่งขัน และการเสริมสร้างอารยธรรมอันสูงส่ง
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์
แน่นอนพระองค์จะทำให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน
แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน”(ฮูด : 118)
อิสลามยึดหลักการสนทนาและเสวนาธรรม ด้วยวิธีการที่ดี
และถือว่าวิธีการดังกล่าวคือหนทางสู่การสร้างความเข้าใจและการยอมรับอันจะนำไปสู่การประสานความร่วมมือและจรรโลงสังคมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
อัลลอฮฺทรงตรัสความว่า
“จงเผยแผ่สู่แนวทางแห่งพระเจ้าของเจ้าด้วยวิธีการที่สุขุม
และการตักเตือนที่ดี
และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยเหตุผลและหลักฐานที่ดีกว่า”(อันนะหฺลุ
:125)
อิสลามยอมรับการยื่นมือให้ความช่วยเหลือในทุกกิจการอันนำไปสู่การดำรงคงไว้ซึ่งคุณประโยชน์และจรรโลงคุณค่าของความเป็นมนุษย์
ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบร่มเย็น เป็นสุข และมีความยุติธรรม
ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
ได้เคยเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในสนธิสัญญายุคก่อนอิสลามที่บ้านของอับดุลลอฮฺ
บิน ญัดอาน ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านความ อยุติธรรมในสังคม
และท่านได้กล่าวหลังจากที่อิสลามได้แผ่ขยายไปทั่วคาบสมุทรอาหรับเพื่อเป็นการรำลึกถึงสนธิสัญญาดังกล่าวว่า
“
หากฉันได้รับการเชิญชวนให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในสนธิสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ที่คล้ายคลึงกันกับสนธิสัญญาดังกล่าว
ฉันยินดีเข้าร่วมอย่างแน่นอน”
อิสลามได้เชิญชวนและเรียกร้องให้มุสลิมยืนหยัดในกระบวนการยุติธรรมและพยายามดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
แม้ต่อบรรดาศัตรูและกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อชาวมุสลิมก็ตาม
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า
“และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใดทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม
จงยุติธรรมเถิด
มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า”(อัล-มาอิดะฮฺ : 8)
อิสลามถือว่า
ความสงบร่มเย็นเป็นสุขในสังคม
เป็นเสาหลักแห่งสันติภาพอันเป็นโอกาสดีที่เอื้อต่อการสร้างความเข้มแข็งและความมีประสิทธิภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
เจ้าจงเข้าในกระบวนการสันติภาพโดยทั่วทั้งหมดด้วยเถิด”(อัลบะเกาะเราะฮฺ
: 208)
ทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับอิสลามไม่ว่าหลักการ หลักปฏิบัติหรือคำสอน
ล้วนยึดหลักสายกลางและความพอดี เป็นแนวทางอันเที่ยงตรง
ไม่ใช่เป็นแนวทางที่สุดโต่งหรือหย่อนยานหละหลวมแต่อย่างใด
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า“และในทำนองเดียวกัน
เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง”(อัลบะเกาะเราะฮฺ:143)
อิสลามสั่งห้ามพฤติกรรมต่างๆที่นำไปสู่ความรุนแรง
สร้างความเสียหายบนแผ่นดิน
หรือสร้างอาณาจักรและปริมณฑลแห่งความหวาดกลัวแก่ชนในสังคม
อิสลามถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นบาปอันใหญ่หลวงและก่ออาชญากรรมทางสังคมที่ร้ายแรง
อัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า“แท้จริงการตอบแทนแก่บรรดาผู้ทำสงครามต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์
และพยายามสร้างความเสียหายบนผืนแผ่นดินนั้นก็คือ
พวกเขาจะถูกฆ่าหรือตรึงบนไม้กางเขนหรือมือพวกเขาและเท้าของพวกเขาจะถูกตัดสลับข้าง(คือมือขวาและเท้าซ้าย)หรือถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน
พวกเขาจะได้รับความอัปยศในโลกนี้และจะได้รับโทษอันใหญ่หลวงในปรโลก
”(อัลมาอิดะฮฺ:32)
ในทุกมิติของอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นหลักการ เจตคติและประวัติศาสตร์
ถือว่าการละเมิดรุกราน การใช้ความรุนแรง
และการกระทำที่ไม่ชอบธรรมบางประการของมุสลิมส่วนหนึ่งที่ไม่รู้จริงในแก่นแห่งศาสนา
การแอบอ้างศาสนา การใช้อารมณ์ใฝ่ต่ำ
หรือการใช้สติที่วู่วามและโกรธแค้น
เป็นสิ่งที่อิสลามประณามและปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
และอิสลามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเชิงลบเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
มาบัดนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า
ปัญหาความรุนแรงได้กลายเป็นปัญหาระดับโลก
และเป็นปัญหาของมนุษยชาติไปแล้ว
ดังนั้นประชาคมโลกจึงต้องเร่งสร้างความร่วมมือ ขจัด แก้ไข
และเยียวยารักษาปัญหานี้โดยด่วน
การแก้ไขเพียงปลายเหตุหรือการทำความเข้าใจเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไร้ความหมาย
ตราบใดที่เรายังไม่แก้โจทย์ที่ถูกต้องในทุกมิติของปัญหา
ไม่ว่ามิติของรากฐานความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของบุคคล
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นมาของชุดความคิดและรากฐานของปรัชญา
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการศึกษาและประมวลสภาพปัญหาที่แท้จริง
เพื่อกำหนดวิธีการแก้ไขที่ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ
ขอให้กำลังใจทุกท่านที่มีส่วนร่วมสร้างความเข้าใจอันดีงามในสังคม
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงมีโอกาสพูดคุยในโอกาสต่อไป ขอขอบคุณ
เขียนโดย ดร.อิสมาอีลลุตฟี
จะปะกียา
คัดลอกจาก
www.majlisilmi.org