เปิดเข้ามาเจอเรื่อง...ที่กระตุ้น..ให้เกิด cognitive activate อย่างมากสองเรื่อง...แต่ขอคุยเรื่องนี้ก่อนดีคะ KM เพื่อ LO หรือทำ LO เพื่อ KM? ของอาจารย์วิบูลย์ อะไรมาก่อนมาหลัง และไปพบบันทึกที่เปรียบ KM กับเมล็ดข้าวไว้ด้วย(KM : RICE ของ Dr.Ting) ก็เลยชักมันส์ อยากร่วมแจมแสดงทัศนะด้วย...
หากมองตามที่ว่า KM และ LO ควรดำเนินไปพร้อมๆ กัน KM เหมือนต้นข้าว ต้องเตรียมที่นาให้พร้อมไปกับการคัดเลือกข้าวพันธุ์ดี จึงจะทำให้เมล็ดข้าวที่ดี นั่นก็หมายถึงว่า KM คือ สิ่งใหม่ที่บ่มเพาะ ขึ้นมาใหม่ หาใช่เป็นสิ่งที่อยู่แล้วใช่หรือไม่?..ดังนั้น หาก KM ที่ว่ามีอยู่ในตัวมนุษย์ นั่นก็ต้องเลือกมนุษย์สายพันธุ์ดีดี จึงจะมี KM ดีดี เหมือนเลือกเมล็ดข้าวพันธุ์ดีจึงจะได้เมล็ดข้าวที่ดีด้วยใช่หรือไม่ อย่างไร ยังสงสัย?...สำหรับ "เมล็ดข้าว" นักการเกษตร หรือ ชาวนา..มีเกณฑ์การเลือกหรือตัดสิน..ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไรนั้นดิฉันไม่แน่ใจ...แต่..การที่เลือกว่ามนุษย์สายพันธุ์ดีดี จึงจะมี KM ดีดี นั้น ใครคือผู้ตัดสิน...ใครคือผู้กำหนดเกณฑ์ ว่าดีหรือไม่ดี...?แต่หากมองใหม่ "มนุษย์" มีสมอง มีปัญญา มีการเรียนรู้...การเรียนรู้ที่ว่าผ่านประสาทสัมผัสทั้งหลายที่มนุษย์รับรู้ได้ตั้งแต่เกิด...แต่เมื่อมนุษย์เริ่มเข้าสู่สังคม กระบวนการเรียนรู้..ก็เริ่มเกิดมากขึ้น...จึงอยากถามว่า..มนุษย์ คนๆ หนึ่งเกิดมา ก้าวมาสู่สังคมเลยหรือไม่?...หากก้าวมาสู่สังคมเลย..นั่นแสดงว่า "ปัญญาที่อยู่ในตัวมนุษย์"..เกิดพร้อมๆ กันกับ "สังคม" ที่มนุษย์มาอยู่ร่วมด้วย...นั่นก็แสดงว่า KM กับ LO เดินไปพร้อมๆ กัน
ทัศนะนี้..กำลังเป็นประเด็นที่ดิฉันศึกษาในระดับ "ดุษฎีนิพนธ์" สาขาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น...ซึ่งเน้นการออกแบบสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ ที่เอื้ออำนวยให้ "มนุษย์"..เกิดกระบวนการสร้างความรู้ได้ดียิ่งขึ้น...จากที่เขามีกระบวนการสร้างความรู้อยู่แล้วตามธรรมชาติ...ดิฉันไม่ได้มองโจทย์ไปตรงที่ว่า..ดิฉันจะไปสร้าง "ความรู้" ให้เขา..เพราะดิฉันเชื่อว่า "ความรู้" นั้นเขามีอยู่แล้วนับตั้งแต่เขาลืมตามาดูโลก...และเกิดการเรียนรู้..หากภาระกิจที่ดิฉันควรพึงทำต่อสังคม คือ ทำอย่างไร..จึงจะเอื้ออำนวยให้ "มนุษย์" นั้นเกิดกระบวนการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น...--> "การสร้างความรู้"..และเกิดการแลกเปลี่ยน หมุนวนกันในสังคม...
จากฐานความเชื่อนี้...แสดงว่า ดิฉันมองว่า KM นั้นควรเริ่ม...มาจากที่ตัวมนุษย์...แล้วค่อยขยับ..มาสู่ ครอบครัว ชุมชน สังคม...เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเพิ่มพูนความรู้ที่ตนมีมากยิ่งขึ้น...และเมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่งนั้น...ก็อาจจะเรียกได้ว่าเดินไปพร้อมกัน..แต่ไม่ได้มาจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน...แน่นอน...
ขออนุญาตนำ
คห.จากบันทึกที่ได้อ่านมาไว้ที่นี่อีกครั้งนะครับดังนี้
เมื่อได้อ่านบันทึก ทำ KM เพื่อ LO หรือ ทำ LO เพื่อ KM
? จึงได้ให้ คห.นี้ครับ
อาจารย์ครับผมเชื่อลึก ๆ ว่า KM
(บุคคล)-->LO-->KM(องค์กร)-->KM (บุคคล) ครับ
จากนั้นเมื่อหมุนวนไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดการพัฒนาทั้งคน งาน และองค์กร
ไม่หยุดยั้งอย่างเป็นธรรมชาติ...ครับ
และเมื่อมาอ่านบันทึกนี้ KM :
RICE ซึ่งเป็นบันทึกที่ต่อเนื่องจากบันทึกก่อนหน้า
ผมจึงได้ให้ คห.นี้ที่บันทึกแรกอีกครั้ง
ผมได้ข้อสรุปสำหรับตัวเองบางอย่างแน่ ๆ แล้วครับ การนำ KM
แบบหมอพิเชษฐมาใช้ กับที่ผมดำเนินการและเป็นอยู่ เป็นคนละเรื่องแน่
หาก LO คือที่นา และต้องเตรียมก่อนปลูกข้าว
เพราะแท้ที่จริงชาวนาเขาเตรียมที่นาสำหรับปลูกข้าว
"เนียนเข้าไปในวิถีชีวิต" เขาเตรียมทั้งชีวิต
แม้ขณะนั้นข้าวกำลังชูรวง
เขาก็ได้เตรียมสำหรับการปลูกในครั้งต่อไปแล้ว
เขาไม่ได้เตรียมอย่างที่เราเข้าใจว่าต้อง ขั้นที่ 1 แล้ว 2
สำหรับผม KM
(บุคคล) เป็นเรื่องธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวตนแล้ว
(แม่ผมเลี้ยง/สอนสั่งผมมาก็ใช้ KM เป็นเครื่องมือส่วนหนึ่ง)
เพียงแต่ทุกวันนี้ไม่ได้เคารพกันในส่วนนี้มากนัก ให้ความสำคัญน้อยลง
ฉะนั้นต้องเริ่มต้นที่การให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่าเขามีศักยภาพ
มีความรู้ ก่อนสิครับ ไม่งั้นก็จะเป็น KM สร้างภาพ ได้เท่านั้น
หากข้างต้นผมคิดผิด ก็แสดงว่าผมไม่รู้จัก KM ก็ไม่เป็นไร
เพราะไม่รู้ก็ไม่ผิด เพียงแต่อาจจะขวางความรู้สึกไปบ้าง
ซึ่งต้องกราบอภัยด้วยครับ (ยิ้ม...ยิ้ม)
ผมว่าบันทึกของ Dr.Ka-poom บันทึกนี้และเมื่อรวมกับที่ผมนำ คห.นี้มาเติมต่อ เพียงพอแล้วที่จะตอบว่าเราเชื่อ KM ร่วมกันอย่างไร ต่อ "มนุษย์" ยังไงแล้ว Dr.Ka-poom โปรดยืนยันด้วยนะครับ (ยิ้ม ๆ อย่างสดชื่น)
แหม! ต้องยืนยันด้วยเหรอคะ...(ยิ้ม)
จาก คห. ของคุณชายขอบ...และเนื้อความ "บันทึก"นี้...บ่งบอกการมอง เรื่อง "มนุษย์" ในทัศนะที่คล้ายคลึง..และจริตเดียวกัน..นะคะ...
แหม!...ขอคารวะคะ...ขอคารวะ...
ที่ท่านอาจารย์"สมลักษณ์" แวะเวียนมาเยี่ยมชม.."บ้าน"หลังนี้...
ดีใจคะ..ดีใจ...ที่ท่านแวะมาก...
ขอบพระคุณทุกประเด็นที่ท่านชี้แนะคะ...ท่านก็ยังคงเอกลักษณ์..ผู้ช่างสังเกตที่เฉียบคมเช่นเดิมนะคะ(ยิ้มๆ)