ตอนเรียนวิชาครูสมัยก่อนเราจะได้เรียนวิธีสอนที่มักมีรูปแบบไม่ซับซ้อนมากนัก
เช่น วิธีสอนแบบบรรยาย แบบเล่นปนเรียน
ใช้กรณีตัวอย่าง การแสดงบทบาทสมมติ การสาธิต
การอภิปรายกลุ่มย่อย ศูนย์การเรียน สถานการณ์จำลอง
แบบสืบสวนสอบสวน เป็นต้น
แต่ปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนไป จากข้อมูลการวิจัยเรื่องคุณวุฒิของครูและคุณภาพงานครูของ
ร.ศ.ดร.พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ (2549 )
ภายใต้โครงการวิจัยเรื่องการศึกษาเปรียบเทียบการเตรียมครูและการบำรุงรักษาครูคุณภาพ
ที่ดำเนินการโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ร่วมกับคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พบข้อมูลสภาพการปฏิบัติงานของครู
ด้านปัญหาเกี่ยวกับผู้เรียนที่ครูพบต่อสัปดาห์ว่า
มีเด็กเรียนรู้ช้าในห้องเรียนที่ครูสอนคิดเป็นร้อยละ 79.71
มีเด็กที่มีพฤติกรรมก่อกวนคิดเป็นร้อยละ 24.95
นอกจากนั้นยังพบว่ามีครูที่เคยถูกนักเรียนขู่ทำร้ายร่างกายและมีครูที่เคยถูกนักเรียนทำร้ายร่างกายส่วนหนึ่งอีกด้วย
และยังพบว่าครูมีภาระทั้งการปฏิบัติการสอน
และการปฏิบัติงานนอกเวลาทั้งเรี่องเกี่ยวข้องกับนักเรียนและเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของโรงเรียนเป็นจำนวนมาก
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ครูเราต้องทำงานหนักและทำงานแบบ Matrix
มากขึ้นโดยต้องทำงานหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน ปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนก็มีแนวโน้มซับซ้อนมากขึ้น
ดังนั้นการจัดการเรียนรู้และดูแลพัฒนาผู้เรียนของครูจะใช้เพียงวิธีสอนเก่า
ๆ
วิธีเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาและดูแลพัฒนาผู้เรียนให้ประสบผลสำเร็จได้
นักการศึกษาในปัจจุบันจึงพยายามคิดค้นเทคนิควิธีการสอนที่บูรณาการหลาย
ๆ เทคนิคเข้าด้วยกันมาใช้เช่น
วิธีการเรียนรู้แบบ 4 MAT
ที่มุ่งผสมผสานการพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีกขวาทั้งสองด้านให้สมดุลกัน
วิธีการเรียนรู้แบบ KWL
เพื่อใช้ในการสอนอ่าน จากผังตาราง 3 ช่อง
วิธีการเรียนรู้แบบ PBL
เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองโดยใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้น
วิธีคิดแบบ six steps
เพื่อพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหาในอนาคต
วิธีสอนแบบ storyline
ที่นำแนวคิดการบูรณาการ
การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
โดยการผูกเรื่องแต่ละตอนให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เป็นต้น
ถ้าดูบริบททางการศึกษาปัจจุบัน
มีหลายเรื่องที่เข้ามาในสถานศึกษาทั้งโดยนโยบายและโดยกฎหมาย
เช่นการประกันคุณภาพการศึกษา หลักสูตร
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน
การประเมินเพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเลื่อนวิทยฐานะ
การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น
ซึ่งเป้าหมายปลายทางของทุกเรื่องดังกล่าวก็มุ่งไปสู่
การพัฒนาผู้เรียน ทั้งสิ้น
จากบริบทดังกล่าวทำให้ผู้เขียนมีแนวคิดที่จะบูรณาการทุกเรื่องข้างต้นให้เกิดแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอย่างเป็นองค์รวม
โดยใช้เรื่องที่คิดว่าครูหลายคนคงสนใจคือเรื่องการดูแลพัฒนาผู้เรียนตามบทบาทของครูที่ปรึกษาประจำชั้นเรียน
ซึ่งมีแนวคิดและแนวปฏิบัติ ดังนี้
แนวคิด
1.
เป็นการใช้มาตรฐานการศึกษาด้านผู้เรียนในระบบประกันคุณภาพการศึกษาเป็นฐานในการดูแลพัฒนาผู้เรียน
2.
เป็นการบูรณาการเชื่อมโยงนโยบายและกฎหมายที่กล่าวข้างต้นทุกเรื่องเข้าด้วยกัน
เพื่อนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียน
ตามมาตรฐานด้านผู้เรียนทุกมาตรฐานให้สูงขึ้นและผลสำเร็จดังกล่าวจะเป็นอานิสงส์ในการประเมินเลื่อนวิทยฐานะของครูให้สูงขึ้น
3.
เป็นการบูรณาการใช้ทฤษฎีการปลูกฝังและสร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรมเรื่องการทำค่านิยมให้กระจ่าง
( Value Clarification : VC ) และเรื่องการปรับพฤติกรรม
( Behavior Modification : BM )
เข้าด้วยกัน
แนวปฏิบัติ
ผมขอเสนอตัวอย่างแนวปฏิบัติการดูแลพัฒนาผู้เรียนตามบทบาทของครูที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยใช้เอกสารหมายเลข
1-3 เป็นเครื่องมือในการดำเนินการดังนี้
1.การสำรวจตนเองของนักเรียน
โดยใช้เอกสารหมายเลข 1ตามตัวอย่าง
ชื่อ…………………………………….………..ชั้น…….………ห้อง…..…………….เลขที่……………
วันที่สำรวจตนเอง……………………………………………
คำชี้แจง
ให้นักเรียนสำรวจตนเองตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานและตัวบ่งชี้ด้านผู้เรียนตามรายการที่กำหนดในช่องที่
1 แล้วเขียนระบุพฤติกรรมหรือผลการปฏิบัติของตนเอง
แต่ละตัวบ่งชี้ลงในช่องที่ 2
พร้อมทั้งเขียนเครื่องหมาย /ในช่องที่ 3
ลงในรายการที่นักเรียนคิดว่ายังต้องปรับปรุงตนเองดังตัวอย่าง
โดยขอให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและเปิดใจยอมรับในสิ่งที่
ตนเอง ยังบกพร่อง
ซึ่งถือเป็นความกล้าทางจริยธรรมที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ
และการสำรวจนี้จะไม่มีผลในด้านลบต่อนักเรียนแต่ประการใด(ขออภัยไม่สามารถพิมพ์ตารางในบล็อกได้)
ครูที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนอาจดำเนินการตามขั้นตอนนี้ดังนี้
1.1
จัดทำแบบสำรวจตนเองของนักเรียนตามตัวอย่างให้ครบทุก
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ด้านผู้เรียนซึ่งอาจปรับภาษาให้จูงใจ
ในการตอบของนักเรียนและหาคุณภาพของเครื่องมือนี้ตามวิธีการทางวิชาการ
1.2
ก่อนดำเนินการสำรวจควรพูดคุยสร้างความเข้าใจกับนักเรียนตามคำชี้แจงเสียก่อนเพื่อให้นักเรียนเกิดความสบายใจในการเขียนพฤติกรรมหรือผลการปฏิบัติของตนเอง
รวมทั้งกล้าระบุรายการที่คิดว่ายังต้องปรับปรุงตนเองด้วย
1.3
ครูที่ปรึกษาอาจใช้ชั่วโมงโฮมรูมหรือช่วงเวลาที่เหมาะสมในการให้นักเรียนสำรวจตนเอง
และไม่ควรรีบเร่งให้นักเรียนตอบแบบสำรวจให้เสร็จในครั้งเดียว
อาจทยอยให้ตอบครั้งละ 1-2 มาตรฐานก็ได้
1.4
หลังจากที่นักเรียนตอบแบบสำรวจเสร็จแล้วควรจัดให้นักเรียนมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันกับเพื่อน
ๆ เพื่อให้ข้อมูลป้อนกลับซึ่งกันและกัน
1.5
ครูที่ปรึกษาซึ่งมีข้อมูลนักเรียนแต่ะละคนตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอยู่แล้วอาจใช้เทคนิคการทำค่านิยมให้กระจ่าง
( VC. )
ตั้งคำถามให้นักเรียนเกิดความกระจ่างในค่านิยมและตัดสินใจตอบแบบสำรวจได้ด้วยตนเองอีกครั้ง
2.
การวางแผนการปฏิบัติตน
โดยใช้เอกสารหมายเลข 2 ดังตัวอย่าง
แนวปฏิบัติของครูที่ปรึกษาในขั้นตอนนี้ต้องพยายามให้คำแนะนำช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถเขียนแผนการปฏิบัติตนได้ตามเงื่อนไขที่ตนคิดว่าสามารถปฏิบัติได้ด้วยความสบายใจ
ไม่ควรคาดคั้นหรือตั้งเกณฑ์สูงเกินไป
เพราะจะทำให้นักเรียนเกิดความท้อ
และไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามแผน
ครูควรใช้ทฤษฎีการปรับพฤติกรรม
เพื่อเสริมแรงช่วยเหลือเขามากกว่า
และเมื่อนักเรียนทุกคนวางแผนปฏิบัติตนเสร็จแล้ว
ครูควรจัดกลุ่มพฤติกรรมตามที่นักเรียนวางแผนการปฏิบัติตนแต่ละมาตรฐาน
แล้วหาทางดูแลช่วยเหลือเขาด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น
ถ้าเป็นเรื่องการเรียนอาจประสานเพื่อนครูหรือฝ่ายวิชาการช่วยสอนพิเศษให้
หรืออาจจัดกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน
หากเป็นกลุ่มสาระที่ตนสอนก็จะไปช่วยดูแลด้วยตนเอง เป็นต้น
3.การติดตามผลการปฏิบัติตนของนักเรียน
โดยใช้เอกสารหมายเลข 3 ดังตัวอย่าง
เอกสารหมายเลข
3
ไม่มีความเห็น