โรงเรียนชาวนาเข้าร่วมการสัมมนา ถวายสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ
วันที่ 16 ส.ค.48 เป็นวันที่นักเรียนชาวนาของ มขข. ตื่นเต้นและปลาบปลื้มปิติเป็นล้นพ้นที่ได้เข้าร่วมการสัมมนาพิเศษด้านอาหารและโภชนาการครั้งที่ 14 ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่อง “สิทธิในอาหารและโภชนาการที่พอเพียงเพื่อการพัฒนามนุษย์” โดยนำเสนอเรื่อง “การจัดการความรู้ชุมชน : กรณีศึกษาโรงเรียนชาวนาและกลุ่มเกษตรกรชีวภาพ” เป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยผมเกริ่นนำประมาณ 15 นาที คุณเดชานำเสนอประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นเป็นการซักถามและอภิปราย
ในช่วงบ่ายนักเรียนชาวนาจัดนิทรรศการถวาย ช่วงนี้รายละเอียดเป็นอย่างไรคอยอ่านจากบล็อก 3 ซ่าที่คุณอ้อมจะเป็นผู้เขียนรายงานนะครับ
ผมขอนำข้อความที่ผมจะบรรยายนำมาลงไว้ เวลาพูดจริง ๆ คงจะย่อกว่านี้ครับ
ขอพระราชทานกราบทูลทรงทราบฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ขอพระราชานุญาตนำเสนอเรื่อง โรงเรียนชาวนา การจัดการความรู้สู่เกษตรกรรมยั่งยืนปลอดภัยเป็นภาษาสามัญ
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ผมจะใช้เวลาประมาณ 15 – 20 นาทีนำเสนอหลักการหรือแนวความคิดที่ สคส. เข้าไปส่งเสริมให้มูลนิธิข้าวขวัญดำเนินการโรงเรียนชาวนา
ในมุมมองของ สคส. โรงเรียนชาวนาเป็นเสมือนโครงการทดลอง ลองประยุกต์ใช้หลักการและวิธีการจัดการความรู้ในบริบทของชาวบ้าน ซึ่งหลักการสำคัญที่สุดคือ การสร้างรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชาวบ้าน ที่ชาวบ้านสามารถรวมตัวกันเองและเรียนรู้ร่วมกันผ่านการทำมาหากิน หรือผ่านสิ่งที่ทุกคนปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมการเรียนรู้คือ การมีนิสัยรับฟังรับรู้อย่างเปิดกว้าง อาจถึงกับเสาะแสวงหาความรู้ แต่เมื่อได้มาก็ไม่เชื่อเสียทีเดียว จะคิดใคร่ครวญเสียก่อน แล้วหาทางปรับความรู้นั้นให้เข้ากับบริบทหรือสภาพแวดล้อมของตนเอง และทดลองใช้ หากทดลองแล้วได้ผลดี ก็กลายเป็นความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นใช้เองและบอกต่อรวมทั้งมีการจดบันทึกความรู้ที่ได้มาเบื้องต้น บันทึกความคิดเกี่ยวกับการดัดแปลงความรู้นั้น และบันทึกการทดลองใช้ รวมทั้งบันทึกความรู้เพื่อการใช้งาน เป็นการสร้างนิสัยเปิดกว้างรับรู้ นิสัยไม่เชื่อง่าย นิสัยทดลอง และนิสัยจดบันทึก
นี่คือเบื้องหลังที่ สคส. เข้าไปสนับสนุน มขข. ให้ดำเนินการโรงเรียนชาวนา
กิจกรรมนี้ประกอบด้วยหุ้นส่วน 3 ฝ่าย ที่ดำเนินการเพื่อหวังผลสุดท้ายคือมีอาหารที่ปลอดภัย ไร้สารพิษแก่ผู้บริโภค และผู้ผลิตคือชาวนา ก็ปลอดภัยจากสารพิษที่เดิมใช้ในการทำนา
หุ้นส่วนใหญ่ที่สุดคือชาวนาเอง ซึ่งมีการรวมกลุ่มกัน เรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ เรียนรู้จากชีวิตจริง คือการทำนาจริง ๆ ของตน ผลจากการดำเนินการที่เห็นจากกิจกรรมที่ดำเนินการมาแล้ว 1 ปี คือเกิดการลด 3 ประการ ได้แก่ลดค่าใช้จ่ายในการทำนา ซึ่งลดลงเหลือครึ่งเดียวหรือไม่ถึงครึ่ง ลดแรงงานทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น และลดความเจ็บป่วย ซึ่งลดลงไปจากเดิมหลายเท่า และเชื่อว่าชาวนาจะค่อย ๆ ซึมซับกระบวนทัศน์ใหม่ จากเกษตรกรรมเคมีสู่เกษตรกรรมยั่งยืน และจากการรับรู้เป็นเรียนรู้
มูลนิธิข้าวขวัญมีต้นทุนความเชื่อเรื่องเกษตรยั่งยืนหรือเกษตรอินทรีย์และมีความรู้หรือเทคโนโลยีสำหรับกิจกรรมดังกล่าว มขข. แสดงบทบาท 3 ประการใหญ่ ๆ ในโรงเรียนชาวนาคือ (1) การอบรม ที่เน้นการเปลี่ยนความคิดจากโลภหวังรวยมาเป็นเชื่อในแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง (2) จัด “คุณอำนวย” ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกต่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ (3) จัดทุนสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้ นอกจากได้เผยแพร่อุดมการณ์และเทคนิคการเกษตรยั่งยืนแล้ว มขข. ยังได้เรียนรู้เรื่อง KM จากการปฏิบัติจริงอีกด้วย
สคส. สนับสนุนกิจกรรมโรงเรียนชาวนา 3 ประการคือ (1) แลกเปลี่ยนแนวคิดและวิธีดำเนินการ KM (2) ให้ทุน (3) เชื่อมโยงกับภายนอก เช่น กับสถาบันวิชาการ สื่อมวลชน และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่จริง สคส. มองโรงเรียนชาวนาเป็นครูของ สคส. ช่วยให้ สคส. ได้เรียนรู้เรื่องการจัดการความรู้ทั้งที่เป็น KM โดยชาวนาเอง และ KM โดย มขข.
ใคร่ขอย้ำว่า สคส. สนับสนุนกิจกรรมโรงเรียนชาวนาด้วยเป้าหมายการขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่สังคมฐานความรู้ สคส. หวังส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ร่วมกันเป็นเครือข่าย และนำไปสู่การพัฒนาเชิงสถาบัน คือเกิดสถาบันจัดการความรู้ท้องถิ่น ในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยอาจใช้ชื่ออื่นก็ได้ แต่ภารกิจหลักคือการส่งเสริมการเรียนรู้จากการทำมาหากิน ที่เป็นการรวมกลุ่มกันเรียนรู้และเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ
ขอแนะนำ สคส. เพิ่มขึ้นอีกนิดว่า สคส. มีเป้าหมายส่งเสริมให้คนไทยทุกหมู่เหล่าสร้างความรู้ขึ้นใช้งานในกิจการของตน และพัฒนาขึ้นตลอดเวลาโดย สคส. ดำเนินกิจกรรมหลัก 4 ด้านได้แก่ (1) สร้างความรู้หรือเครื่องมือสำหรับใช้ดำเนิน KM ในบริบทไทย ซึ่งเราได้สร้างโมเดลขึ้นหลายชิ้น (2) สร้างคนที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกิจกรรม KM ซึ่งมีอย่างน้อย 7 ประเภท (3) สร้างเครือข่าย KM เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การพัฒนางานร่วมกัน และ (4) สร้างกระแสสาธารณะด้าน KM ให้เห็นคุณค่าของความรู้ปฏิบัติ ที่เป็นความรู้เล็กของคนตัวเล็ก ๆ ในการทำงานของ สคส. ทำผ่านกิจกรรมที่หลากหลายมาก ภายใต้ยุทธศาสตร์ปิดทองหลังพระ คือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเน้นให้เกิด KM Inside คือมีกระบวนการ KM ฝังลึกอยู่ในการปฏิบัติงานประจำ
สุดท้ายขอเสนอแนวคิดในการจัดการความรู้ว่า สคส. เน้นที่ความรู้ฝังลึกหรือความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) หรือความรู้ปฏิบัติมากกว่าความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) ที่เราค้นพบ หรือกล่าวว่า สคส. เน้นการใช้และสร้างความรู้ทั้ง 2 แบบให้เกิดพลังเสริม (synergy) ซึ่งกันและกัน เริ่มด้วยการเข้าถึง ตีความ และนำความรู้มาปรับใช้ ในกระบวนการนี้เกิดการเรียนรู้และยกระดับความรู้ นำไปรวบรวมจัดเก็บและเอามาตีความปรับใช้ใหม่ เป็นวงจรเช่นนี้เรื่อยไป นี่คือวงจรของความรู้เด่นชัดซึ่งเราคุ้นเคยดีและไม่ค่อยมีการเพิ่มคุณค่ามากนักหาก KM ดำเนินการเฉพาะส่วนนี้ KM จะมีคุณค่าสูงหากเน้นความรู้ซ่อนเร้น ดำเนินการเสาะหาความรู้ซ่อนเร้นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งจุดสำคัญคือผ่านการใช้ปฏิบัติจริง จะเกิดการยกระดับความรู้ปฏิบัติทีละเล็กละน้อย แต่เมื่อเป็นวงจรไม่รู้จบ และเกิดขึ้นในทุกจุดขององค์กรหรือชุมชน ก็จะเกิดการยกระดับความรู้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ในวงจรทั้งสองนี้ของ KM จริง ๆ จะเน้นตรงที่การเรียนรู้ร่วมกัน และร่วมกันยกระดับความรู้ในทั้ง 2 วงจร เน้นที่ความรู้ปฏิบัติซึ่งเป็นความรู้ซ่อนเร้น ในกิจกรรมโรงเรียนชาวนานี้ได้เกิดการสร้างความรู้ปฏิบัติโดยนักเรียนชาวนาเองมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ในการดำเนินการจัดการความรู้โดยทั่วไป มักเน้นเฉพาะวงจรของความรู้เด่นชัด เน้นการดำเนินการเครื่องมือจัดการความรู้และ IT ซึ่งจะทำให้เกิดผลน้อย KM ในแนว สคส. เน้น 2 P คือ People (คน) กับ Process (กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้) เน้นการเปลี่ยนความคิดวัฒนธรรม พฤติกรรมของคน จากปกปิดความรู้และไม่เรียนรู้เป็นมีใจที่เผื่อแผ่แบ่งปันความรู้และเปิดใจรับความรู้จากเพื่อนร่วมงาน สคส. เน้นเอา Tool & Technology เป็นตัวสนอง 2 P ไม่ใช่ใช้ 2 T เป็นตัวตั้ง
มองอีกมุมหนึ่ง การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือสร้างผลงานเลิศเป็นเครื่องมือพัฒนาคน และพัฒนาองค์กรเป็นองค์กรเรียนรู้ โดยใช้พลังของความต่างที่มีอยู่ในองค์กร ที่เป็นปัญญาปฏิบัติ นำมาปฏิบัติเพื่อการบรรลุเป้าหมายเดียวกัน โดยดำเนินกิจกรรมหลัก 5 ประการเกี่ยวกับความรู้คือ การดูดซับ (จากทั้งภายในและภายนอกองค์กร) การใช้ การสร้าง การแลกเปลี่ยน และการบันทึก
ไม่มีความเห็น