ข้อคิดเห็นของผมจะไม่เป็นกลาง เต็มไปด้วยฉันทาคติส่วนตัวและลูกชายของผมก็ไปเรียนด้านนี้ที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ
อีกประการหนึ่งเป็นข้อคิดเห็นจากประสบการณ์การทำงานที่ สคส. และ สกว. ซึ่งอาจไม่เหมาะสมต่อโครงการฯ ก็ได้ จริง ๆ แล้วไม่มีใครรู้ดีไปกว่าผู้ลงมือปฏิบัติเองคือ รศ. ประภาภัทร และคณะ
จุดแข็งของโครงการ
1. มีการคิดวางแผนไว้อย่างเป็นระบบ
มีความชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง
2. มีองค์กรร่วมวิจัยและผู้ร่วมวิจัยชัดเจน
แสดงว่ามีการตรวจสอบ intellectual capital ด้านนี้มาอย่างดีแล้ว
จุดอ่อนของโครงการ
1.
จุดอ่อนน่าจะมาจากจุดแข็งทั้ง 2 ข้อนั่นเอง
ทำให้โครงการมีความแข็งตัวเกินไป
ยืดหยุ่นน้อยไปและอาจกระจายตัว กระจายกิจกรรมออกไป "นอกวง"
น้อยไปหรือช้าเกินไป
คำแนะนำ
1. น่าจะพิจารณาลดระยะเวลาช่วงที่ 1 และเพิ่มเวลาของช่วงที่
2 ผมชอบ 6 - 12 มากกว่า 12 - 6
(ตัวเลขหมายถึงระยะเวลาเป็นเดือน)
2. น่าจะใช้ยุทธศาสตร์/สมมติฐาน "ของดีมีอยู่"
คือมีสถาบัน/กลุ่มคน/ชุมชนที่ปฏิบัติจิตตปัญญาได้ผลดีอยู่แล้วไปเสาะหาให้พบ
และเชื้อเชิญมาจัดเวที ลปรร.
เรื่องเล่าและสกัดเคล็ดลับในการปฏิบัติ
และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเรียนรู้จากการปฏิบัติต่อไป
3. น่าจะดำเนินการโดยยอมรับ "จิตตปัญญาศึกษา" หลายแนว
และให้เข้ามา ลปรร. โดยยอมรับความแตกต่าง
4. น่าจะมีโครงการทดลองใน "ชาวบ้านธรรมดา" สักกลุ่มหนึ่ง
ขอย้ำนะครับว่าความเห็นของผมอาจจะใช้การไม่ได้เลยก็ได้
จิตตปัญญาศึกษากับ KM (1) จิตตปัญญาศึกษากับ KM (2)
วิจารณ์ พานิช
13 เม.ย.49
รู้สึกว่าลูกชายอาจารย์จะเขียนบทความตีพิมพ์หลายที่
ล่าสุดมีคอลัมน์ประจำในประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์