• เช้าวันที่ ๒๒ เมย. ๔๙ ผมวิ่งออกกำลังที่ถนนหน้าโรงแรมวิลลาสันติ รีสอร์ท แอนด์ สปา ที่หลวงพระบาง ถนนมีลักษณะโรยหิน ไม่ได้ลาดยาง คล้ายกับถนนปรมินทร์มรรคา ที่เชื่อมตลาดชุมพรกับปากน้ำและผ่านหน้าบ้านผมที่ตำบลท่ายาง อ. เมือง จ. ชุมพร เมื่อ ๕๐ ปีก่อน ผมถ่ายรูปถนนที่หลวงพระบางมาให้ดูด้วย
ถนนหน้าวิลลาสันติ ยามเช้า
• สมัยเรียนหนังสือชั้นมัธยม ที่โรงเรียนศรียาภัย
ซึ่งสมัยที่ผมเรียน ชื่อว่า โรงเรียนชุมพร “ศรียาภัย”
ตั้งแต่ปลายปีที่เรียน ม. ๑ อายุ ๑๐ ขวบ
ผมก็ถีบจักรยานไปโรงเรียนบนถนนเส้นนี้ ระยะทาง ๖ กม. ไป – กลับ วันละ
๑๒ กม. เป็นเวลาเกือบ ๕ ปี
• ถนนที่สภาพไม่ดี
หน้าฝนมีหลุมบ่อน้ำขังอยู่ทั่วไปบนผิวถนน
เราต้องฝึกการหลบหลีกหลุมบ่อ และสังเกตจดจำเส้นทาง
ถ้าเผลอถีบรถตกลงในหลุมลึกโดยไม่รู้ว่าลึกเพราะน้ำขังอยู่เต็ม
อาจล้มได้
ที่สำคัญต้องระวังรถยนต์ที่แล่นสวนหรือแล่นขึ้นหน้าแล่นทับน้ำกระเด็นมาโดน
ต้องหาทางหลบไปสวนหรือให้เขาขึ้นหน้าตรงจุดที่ปลอดภัยจากน้ำ
หน้าแล้งฝุ่นมากเพราะถนนโรยลูกรัง
ฝุ่นลูกรังเป็นสีแดง
วันไหนโดนรถยนต์ที่วิ่งเร็วมากสวนหรือขึ้นหน้า
วันนั้นสระผมน้ำจะแดง
อันตรายอีกอย่างหนึ่งคือรถที่วิ่งเร็วมากอาจดีดก้อนหินมาโดนเรา
ชีวิตที่ต้องต่อสู้ช่วยเหลือตัวเอง ระมัดระวังตนเองตั้งแต่เด็ก
เป็นประโยชน์เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ทำให้เราเป็นคนอดทน
เมื่อต้องเผชิญความยากลำบากก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนมาก
บอกตัวเองว่าตอนเด็กๆ ลำบากกว่านี้
• จุดที่ถีบจักรยานยากที่สุดคือสะพานท่านางสังข์
ซึ่งเข้าใจว่าโดนแขวงการทางเปลี่ยนชื่อด้วยความเข้าใจผิดเป็น
“สะพานนางสังข์” ไปแล้ว
ในสมัยโน้นเป็นสะพานปูด้วยไม้ตามขวางของสะพาน
มีไม้ปูตามยาวเป็นไม้กระดานข้างละ ๓ แผ่น สองข้าง
ให้รถยนต์แล่นได้เรียบ แต่ต้องขึ้นสะพานทีละข้าง
สวนกันบนสะพานไม่ได้
การขี่จักรยานขึ้นสะพานนี้ต้องการทักษะ ๒ อย่าง มิฉะนั้นอาจล้ม
หรือต้องลงรถและจูงรถขึ้นสะพาน
ซึ่งจะทำให้เสียศักดิ์ศรีสิงห์จักรยาน
ทักษะอย่างแรกคือการปั่นตั้งหลักแต่ไกลให้สามารถขึ้นสะพานซึ่งมีความชันได้
และเมื่อขึ้นได้แล้วก็ต้องมีทักษะในการขี่รถไต่ไม้กระดานแผ่นเดียว
เพราะถ้าพลาดล้อรถตกลงไปในร่องระหว่างไม้กระดาน
ก็อาจล้มได้ ที่จริงเราต้องมีทักษะที่สาม
คือต้องดูให้ดีว่าจะไม่ขึ้นไปสวนกับรถยนต์กลางสะพาน
หรือถ้ามีรถยนต์ไล่หลังมาก็หลบให้เขาไปก่อน
มิฉะนั้นจะโดนบีบแตรไล่
• ผมเป็นคนใจร้อน ถีบจักรยานแบบถีบไปเรื่อยเอื่อยๆ
ไม่เป็น
พอขึ้นรถได้ก็บึ่งเต็มที่
จึงเหงื่อโทรมทุกครั้ง
มาคิดในตอนนี้ว่าการขี่จักรยานตอนวัยรุ่นเป็นคุณแก่ชีวิตผมมาก
และการขี่แบบบึ่งเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิค
ทำให้ปอดใหญ่ ร่างกายแข็งแรง
และสมองแจ่มใส ผมเป็นคนเล่นกีฬาไม่เป็น
ถ้าไม่ได้การออกกำลังจากการถีบจักรยานไปโรงเรียนร่างกายคงไม่แข็งแรงอย่างนี้
วิจารณ์ พานิช
๑๑ เมย. ๔๙
หลวงพระบาง
ขอบพระคุณครับ อ่านแล้วทำให้ระลึกชาติด้วยเหมือนกัน ของผมดุเดือดเพราะ ระยะทางราว 9 กม ข้ามเนินเขาสองลูก กว่าจะถึงตัวอำเภอไชยา ระหว่างทางมีนกป่าสัตว์ป่านานาชนิดให้ได้ดูโดยไม่ต้องไปสวนสัตว์ รองเท้าไม่ได้สวม เดินเท้าเปล่า บางทีก็โดนปลวกตัวโตกัดเอาก็มี ข้ามลำห้วยที่มีน้ำตลอดปี 2 ครั้ง ข้ามคลองที่มีสะพานไม้ทอดข้าม 3 - 4 ครั้ง
เพราะขี่จักรยานไป-กลับไม่ไหว จึงต้องไปอยู่วัดเพื่อเรียนหนังสือ ไม่ได้ออกกำลังแบบท่านอาจารย์ น่าเสียดาย แต่วัดชยารามโดยท่านพระครูสุธนฯ เพื่อนตายของท่านอาจารย์พุทธทาส ก็ได้ให้ความแข็งแกร่งกับชีวิตไว้มาก .. ขอบคุณต่อความยากลำบากและทุกประสบการณ์ ที่ได้สร้างภูมิคุ้มกันให้ชีวิตอย่างน่าพอใจมาจนปัจจุบัน
ผมเกิดหลังท่านอาจารย์หลายปีมากครับ
แทบจะเรียกว่าเป็นพ่อเป็นลูกกันได้เลย
แต่ประสบการณ์ที่อาจารย์เล่าให้ฟังคล้ายๆกับชีวิตของผมในสมัยเด็ก(ประถมศึกษา)
"การปั่นจักรยานไปโรงเรียน" การต้องฝ่าฟันถนนที่แสนลำบาก
(ส่วนสะพานบ้านผมไม่มีแบบที่บ้านท่านอาจารย์)
สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ ขนาดผมเกิดหล้งอาจารย์ตั้งเยอะ
แต่บ้านผมยังทุระกันดารอยู่เลยครับ ปัจจุบันนี้ดีขึ้นมากเลย
มีถนนปูนซีเมนต์เข้าถึง (แต่สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยดี)
ความลำบากในวัยเด็กทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิต ต้องอดทน
และอุตสาหะเช่นกัน (แต่คงไม่เท่าอาจารย์นะครับ)
ความลำบากและความทุกข์
ทำให้เรารู้ถึงความสุขที่แท้จริง
ผมก็ศิษย์เก่าโรงเรียนศรียาภัยเหมือนกันครับ รุ่นหลังอาจารย์หมอวิจารณ์ประมาณ 30 กว่าปี :-)
สมัยผมเป็นยุคมอเตอร์ไซค์ เลยไม่ได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ ขี่ไปโรงเรียนจากบ้านที่ตำบลนาชะอัง อ.เมือง จ.ชุมพร (ศูนย์ราชการปัจจุบัน) ตอนนั้นถนนอาภากร (สมัยนั้นเป็นถนนไม่มีชื่อ) มีสภาพเหมือนในรูปเลยครับ สะพานไม้ที่ต้องใช้ทักษะในการข้ามคือสะพานหน้าวัดสามแก้วกับสะพานหน้าโรงฆ่าสัตว์ และต้องรู้จักสังเกตรถไฟด้วย เพราะถนนตัดผ่านทางรถไฟสองรอบ
ตอนสมัยผมเรียนมัธยม ภูเขาที่เป็นศูนย์ราชการปัจจุบันเป็นที่เขาตักดินขาย ดังนั้นทักษะพิเศษที่ต้องมีอีกอย่างคือต้องหลบรถสิบล้อบรรทุกดิน เพราะถ้าหลบไม่ถูกจังหวะอย่างน้อยๆ ก็จะโดนน้ำในหลุมดินลูกรังที่รถสิบล้อวิ่งผ่านกระเซ็นโดนชุดนักเรียน (ที่ไม่ค่อยขาว เพราะโดนฝุ่นลูกรังเป็นปกติ)
ถนนดินลูกรังที่สิบล้อบรรทุกดินวิ่งผ่านนั้น จะเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก ดังนั้นทักษะที่ต้องมีอีกอย่างคือทักษะการขับมอเตอร์ไซค์หลบหลุม ไม่ใช่หลบทีละหลุมนะครับ ต้องวางแผนล่วงหน้าไปหลายๆ หลุมอย่างต่อเนื่องจนถึงบ้าน ไม่แน่ใจว่าทักษะนั้นจะช่วยในการวิเคราะห์อะไรต่อมิอะไรในชีวิตในปัจจุบันหรือเปล่า แต่ก็น่าจะมีส่วนอยู่ครับ เพราะสังเกตว่าตัวเองชอบวางแผนถึง "ขั้นต่อไป" ในทุกเรื่องที่กำลังทำอยู่เสมอ