ทัศนะที่ตุมปังมอง "gotoknow"


แรกเริ่มเดิมทีผมตื่นเต้นมากๆ ที่ได้รู้จัก Gotoknow
ด้วยความคิดที่ว่ามันคือ "คลังความรู้ของประเทศ"
ช่วงแรกๆเขียนเกือบทุกวัน เขียนด้วยความรู้อันน้อยนิด
เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
เขียนๆไปก็มีคนมา ลปรร. มีคนคอเดียวกันเข้ามาเยอะแยะ
ทำให้มีกำลังใจในการเขียนมากขึ้น "หัวใจมันพองโต"
ผมพยายามชักชวนคนรอบข้าง ทั้งผู้บริหาร อาจารย์ บุคลากร
หรือแม้กระทั่งนักศึกษาให้เข้ามาเขียนบล็อก

อยู่มาช่วงนึงผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับอารมณ์ตัวเอง
เพราะผมใจร้อนเกินไป ไม่ได้ดูให้นานๆกว่านี้
ก็เลย "เงียบๆ งงๆ" มีหลายท่านมาทักว่าไม่เห็นเขียนบล็อกเลย
ผมก็เลยเขียน "ขอถอยหลังเพื่อย้อนมอง" 
เงียบๆ ไม่ได้เขียน แต่ก็เข้ามาอ่านบ่อยๆ เพราะคิดว่าจะมีบันทึกที่เป็นประโยชน์กับงานผมบ้าง
เข้าไปเช็คในชุมชนต่างๆที่ผมสังกัดก็แล้ว เข้าไปดูบล็อกที่ผมสนใจก็แล้ว
รู้สึกว่า "เมื่อผมเงียบ ทุกอย่างที่ผมสนใจก็เงียบไปด้วย" 

ส่วนใหญ่คนที่เขียนบล็อกเป็นประจำก็จะมีนักวิชาการ
เนื้อหาของบล์อกก็จะเป็นแนวๆ km เยอะมาก แล้วก็ ด้านสุขภาพฯ สาธารณสุข
คนที่เขียนก็อยู่ในแวดวงนั้นๆ  มีแต่เรื่องวิชาการ เรื่องเครียดๆ

ผมเลยคิดว่าผมคงปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ผมจะเงียบแบบนี้ต่อไปไม่ได้
ผมอยากให้ Gotoknow มีความหลากหลาย ไม่เครียดจนเกิน

อ้าวแล้วผมจะทำไงละ ผมก็ต้องเขียนบล็อก ต่อไป เขียนเยอะๆ(ทั้งปริมาณและคุณภาพ)
เขียนให้มันหลากหลาย  เขียนให้มันไม่เครียด ไม่เป็นวิชาการจนเกินไป
วันนี้ก็เขียนไป 3 บันทึกติดๆกันเลย(บ้าเลือด)

แล้วผมจะเขียนเพื่อใครละ 

อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ ใครจะได้ประโยชน์ผมไม่รู้
แค่คิดว่ามันเป็นประโยชน์   ก็เขียนไปแล้วกัน......


แค่ไม่อยากให้ผม และเรื่องที่ผมสนใจเงียบไปก็เท่านั้น
ถ้าผมไม่เริ่ม ไม่เขียน คนอื่นๆก็คงคิดเหมือนผม
ถ้าผมเขียนเยอะๆ คนที่สนใจเรื่องๆเดียวกับผม ก็คงเข้ามาเขียนเหมือนกัน

หวังว่าอย่างนั้นนะครับ......

ขอเป็นแค่เสียงกระซิบเบาๆ ในgotoknow นะครับ

 

 

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 25876เขียนเมื่อ 28 เมษายน 2006 00:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)
เขียนต่อไปครับ ผมเอาใจช่วย
ผมเองก็ใหม่มากๆครับ ขอคำแนะนำคุณตุมปังด้วยนะครับ

คุณตุมปัง

ชัดเจน และจริงใจ

ชอบภาษาตรงๆ เรื่องตรงๆ ที่คุณเขียน

แต่ขอติงนะ

ว่า เอาคำถามมาถามแล้ว ไม่เฉลย ฮึ! 

 

คุณตุมปัง

ชัดเจน และจริงใจ

ชอบภาษาตรงๆ เรื่องตรงๆ ที่คุณเขียน

แต่ขอติงนะ

ว่า เอาคำถามมาถามแล้ว ไม่เฉลย ฮึ! 

 

ลืมลงชื่อ...ขออภัย

เขียนเถอะถ้าใจอยากเขียน

ขอบคุณมากครับ คุณnaigod คุณpoopeh คุณไร้นาม และคุณแวะมา ที่ส่งกำลังใจมาให้ 
ขอบคุณทั้งกำลังใจ และทัศนะที่ลปรร.
ผมก็ต้องอาศัยทัศนะจากท่านๆทั้งหลาย ในการเขียนบล็อกต่อไป

อ้อ...สำหรับคุณไร้นาม
เรื่องคำตอบที่คุณหมายถึง คงเป็นเรื่องของ การจัดลำดับสำคัญก่อน-หลัง (แบบทดสอบทางจิตวิทยา) 
ผมขอยืนยันว่าผมเฉลยไปแล้ว ลองเข้าไปดูดีๆนะครับ
อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น  ความว่างเปล่าอาจไม่ว่างเปล่า.....
 

ขอให้กำลังใจคุณตุมปังนะครับ เขียนหยั่งงี้ก็ดีอยู่แล้ว ส่วนผมเจตนาตั้งใจเขียนแนววิชาการ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย เพราะมีหลายคนตำหนิว่า blog ไม่สามารถจัดรูปแบบทางวิชาการได้ ผมจึงลงมือทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่า เครื่องมือไอทีเป็นเรื่องรอง ความตั้งใจเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าครับ

--วิภัทร 

เขียนให้ใครอ่าน เขียนแล้วมีประโยชน์ต่อใครนั้น คุณตุมปังจะเห็น data ได้ค่อนข้างชัดในเวอร์ชันสองคะ เพราะจะเริ่มให้เห็นถึงการเป็น Social Network และ Folksonomy ของ GotoKnow.org คะ

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันความรู้ให้ผู้อื่นคะ ส่วนเรื่องการ comment นั้น อย่างกังวลไปเลยคะ มีน้อยหน่อยเพราะบล็อกไม่ใช่ webboard แต่หากเขียนบ่อยๆ จนเป็นที่รู้จัก ก็จะมีคนเข้ามา comment มากขึ้นคะ

ขอบคุณวิภัทร และอ.จันทวรรณ ทั้งในเรื่องของกำลังใจ และแรงใจ มากครับ
เรื่อง commment มันขึ้นอยู่กับตัวเราและสิ่งที่เราเขียน
ผมไม่ค่อยซีเรียสว่าจะมีคนมา comment มากนัก
ถ้ามีคนมาช่วย ลปรร.มากๆ ก็ยิ่งดี แต่ถ้าไม่มีเราก็ต้องกลับมาดู แล้วก็ปรับวิธีการเขียน แต่บางเรื่องก็เขียนเพราะอยากเขียน ไม่ค่อยมีประโยชน์กับใคร ก็จะไม่มีคนมา comment เป็นธรรมดา

ขอเอาใจช่วย อ.จันทวรรณ ในการทำเวอร์ชั่น2 เสร็จเร็วๆนะครับ....

คุณตุมปัง หรือ พี่วิภัทร ช่วยขยายความให้ดิฉันเข้าใจนิดนึงนะคะว่าที่พี่วิภัทรบอกว่า "เพราะมีหลายคนตำหนิว่า blog ไม่สามารถจัดรูปแบบทางวิชาการได้" คืออะไรคะ ดิฉันเห็นว่าเป็นความคิดเห็นที่แตกต่างและเป็นประโยชน์ในการพัฒนาระบบให้ดียิ่งขึ้นนะคะ 

ขอบคุณล่วงหน้าคะ :)

ตอบ อ.จันทวรรณ

ความหมายที่แท้จริงของคุณวิภัทรผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ
ถ้าจะให้อธิบายตามที่ผมเข้าใจก็คงหมายถึงบล็อกอื่นๆ อาจไม่ใช่ gotokhow ก็ได้
แต่ที่สำคัญก็คือ คนที่เขียนบล็อก มักจะเขียนความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ หรือแม้แต่เรื่องเพ้อฝัน..... จึงมักไม่ใช่เรื่องของความรู้และวิชาการ

ทัศนะของผมจริงๆก็ไม่ต่างกันมาก แต่ก็จะมีส่วนเพิ่มเติมก็คือ ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องของความรู้สึก การบรรยายความในใจ หรืออารมณ์ หรือแม้แต่กระทั้งการบ่นเพ้อกับชีวิต....
ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในตัวของมันเอง แม้บางครั้งเราอาจมองบันทึกของใครบางคนว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน เป็นเรื่องไร้สาระ หรือเรื่องที่ไมอาจเกิดความรู้....
แต่ถ้าอ่านให้ดีๆ เราอาจได้รู้จักชีวิต และความเป็นมนุษย์มากขี้นก็เป็นได้...

ผมหมายถึงคล้ายๆกับระบบสารบรรณ ตัวอย่างของจริงของผมคือ ทำง่ายใช้เป็น มีหัวข้อเรื่องไม่มาก เป็นเรื่องเดิมๆ แต่สาระภายในถูกปรับเปลี่ยนให้ถูกต้องทันสมัยอยู่เสมอ ผู้อ่านจะติดตามที่โฮมเพจหน้าเดียว พอผมมาลองกับ blog ซึ่งมีลักษณะการเขียนแบบทยอยติดต่อกันไปเรื่อยๆ เหมาะสมกับการติดตามร่องรอยความคิด ผมจึงสร้างบล็อก รวมเคล็ดไม่ลับกับไอที ที่มีบันทึกฉบับเดียวคือ รวมเคล็ดไม่ลับกับไอที เพื่อเป็นปกโฮมเพจ 

 สรุปว่าผมเชียร์สมาชิกทุกประเภท ขอให้มาบันทึกกันเถอะครับ

--วิภัทร

 

  

อ๋อ เข้าใจแล้วคะ สรุปว่า พี่วิภัทรอยากได้

- Featured posts คือ post ที่อยู่ได้ตลอดบนบล็อก

- Categorization ซึ่งจริงๆ ก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่เวอร์ชันหนึ่ง design ยังไม่ลงตัว ไว้ดูเวอร์ชันสองแล้วกันคะ

- Blog เป็น web 2.0 คะ ดังนั้น จึงเหมาะการนำเอาไปเนื้อหาไปรวมกับเว็บอื่นๆ ได้ โดยใช้ RSS คะ เช่นนำไปใส่ใน http://live.com หรือ http://my.yahoo.com

อยากให้ลองอ่านการบรรยายของดิฉันเรื่อง Blog & KM ล่าสุดดูนะคะ http://gotoknow.org/archive/2006/04/25/15/44/34/e25408

เข้ามาช่วยสนับสนุนความคิดเห็นของคุณตุมปังค่ะ

และก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันว่า ที่นี่ให้บรรยายกาศที่มันวิชาการ(เรื่องงาน)มาก จนบางทีพอเข้ามาก็รู้สึกเกร็งๆ กลัวว่าจะทำอะไรเปิ่นๆให้ขายหน้า

ว่าไปแล้วก็เห็นด้วยนะ ที่การทำ KM นั้นเพื่อสั่งสมความรู้ ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนางาน  งานคือสิ่งสำคัญ แต่หากชีวิตนี้มีแต่ งาน งาน งาน ไปที่ทำงานก็ทำๆแต่งาน  เข้ามาในเนตก็พูดถึงแต่งาน งาน งาน อยากจะหาอะไรรีแลกซ์หน่อย ก็มีแต่เรื่องาน งาน  

การอยู่กับอะไรที่มันงาน งาน งาน มากๆ มันจะทำให้เราเบื่องานได้นะ ^^''

ว่าไปแล้ว.. ความรู้มันมีมากมายหลายหลาก  นอกจากความรู้ ประสบการณ์ในงาน ก็ยังมีความรู้และประสบการณ์ในชีวิต.. การดำรงชีวิตที่มันมีความสุข โลกภายนอก..งานของคนอื่นๆ ที่มันแตกต่างจากสิ่งที่เรากำลังทำอยู่.. มันมีอะไรที่น่าสนใจอีกมามาย

เคยคิดเหมือนกันว่า.. เราทำงานเพื่ออะไร.. ทำเพื่อครอบครัว เพื่อการดำรงชีวิต เพื่อให้ชีวิตเรามีค่าขึ้นใช่ไหม  แต่ถ้าหากว่าเราทำงานจนลืมชีวิต จนบั่นทอนสุขภาพกายและจิต จนทอดทิ้งคนในครอบครัว..

แล้วสุดท้ายเราทำงานเพื่ออะไร ?

ดังนั้นหากคิดจะพัฒนางาน.. อันดับแรก เราควรจะพัฒนาชีวิต พัฒนาความคิดของเราก่อน  คงต้องเปิดใจให้กว้าง ซึมซับทุกเรื่องราวในจักรวาล มองเห็นงานในอาชีพอื่นมั่ง ..จนกระทั่งแม้แต่สิ่งที่เราเคยเห็นว่ามันว่างเปล่า ไร้สาระ

ความรู้ที่แท้จริง.. มันอาจจะไม่ได้อยู่ที่ผลงานของใครคนใดก็ได้ แต่มันอยู่ที่แนวคิด ที่แฝงอยู่ในสิ่งที่นำมาเขียนไว้

บางทีสิ่งที่เราเคยเห็นว่ามันไร้สาระ.. มันอาจจะมีประโยชน์สาระมากมายกว่าที่เราเคยรู้ก็ได้ 

แหะๆ.. รู้สึกยิ่งพูดยิ่งฟุ้งไปเรื่องไหนแล้วก็ไม่รู้เนอะ.. ไว้ค่อยมาคุยใหม่ดีกว่า

 

^___________^

 

บันทึกนี้มีพลังมาก ง่ายๆ สั้นๆ

ตรงไปตรงมาก จริงจัง บ่งบอกความเป็นตัวตนจริงๆ

คุณมีอะไรมากมาย ที่น่าสนใจ และ ลปรร. ให้ผู้อื่นได้เกร็ดเล็กๆที่คุณมี

คิด นึก รู้สึก...บันทึก

เปิดใจคะคุณ kanjira ไม่มีใครบอกใครว่าผิดหรือถูก อย่ามัวกลัวว่าตัวเองจะเขียนอะไรผิดๆ ไปแล้วจะอาย

จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พัฒนางาน พัฒนาตน พัฒนาองค์กร

และได้ตอบแทนในความรู้จากผู้อื่น ซึ่งเขาอุตส่าห์เขียนและตอบข้อคิดเห็นเพื่อช่วยเหลือ เพื่อช่วยกันสร้างคลังความรู้ของประเทศไทยเราคะ

เป็นกำลังใจให้คะ :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท