เมื่อวันที่ 10 เมษายน 49 ที่ผ่านมา ผมปิ๊งคำพูดของ ศ.สุมน อมรวิวัฒน์ ซึ่งกล่าววลีที่ทำให้ผมเกิดความคิดว่า การที่จะพบความสุขจริงๆนั้น มันต้องมีความรู้อะไรบางอย่าง เป็นความรู้ที่เข้าใจยากหากอ่านจากตำราเพียงอย่างเดียว เป็นความรู้ที่ต้องปฏิบัติ ต้องฝึกจนเกิดเป็นทักษะออกมา ทำให้ผมนึกไปถึง คนที่อดทน-อดกลั้นได้ดีนั้น แสดงว่าเขาต้องมีความรู้ว่าด้วยการบังคับใจตน คนที่ทำได้ดีเขาต้องฝึกมาระยะหนึ่ง เพราะใหม่ๆนี่มันหงุดหงิดแน่นอน
ดูเหมือนว่า ในสังคมวันนี้ใครมีเงิน มีทรัพย์สินเยอะ แล้วมันจะมีความสุข ความสบาย
แต่ดูอีกที คนที่ร่ำรวยมากๆเขาก็ยังมีทุกข์ มีเรื่องกังวลใจไม่น้อยเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องคนละแบบอย่างที่คนไม่มีเงินเขามีกัน
สรุป (เอาเอง) ว่ามี หรือ ไม่มีเงิน ก็สามารถพบได้ทั้ง ทุกข์ และสุขเหมือนกัน ขนาดของทุกข์และสุข ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมันด้วยเช่นกัน
เมื่อปิ๊ง ! มันก็เก็บมาคิดปะติดปะต่อว่าถ้าจะเอาไอเดียนี้มาลองทำให้เป็นการปฏิบัติจะทำได้อย่างไร?
ทำให้ผมนึกถึง People Mapping ถ้าหากลองเอามาปรับเข้ากับเครื่องมือตัวนี้น่าจะใช้ได้ คือต้องออกไปหาคนที่เขามีความสุขแบบของแท้ (สุขข้างใน ที่ไม่พันเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง) แล้วไปคุยกับเขาเหล่านั้น ค้นหาว่าความสุขของเขาอยู่ตรงไหน เกิดได้อย่างไร เขาฝึกตัวเองอย่างไรบ้างถึงจะมองเห็นสุขเหล่านั้น และคำถามอื่นๆอีกมากมายที่จะช่วยดึงเรื่องราวออกมา ทั้งนี้เพื่อเก็บเรื่องเหล่านั้นเอาไว้เป็น "คลังความสุข" คือต้องมีหลายๆกรณีที่แตกต่างบริบทกันไป ยิ่งมากยิ่งดี
แต่หากเก็บเอาไว้เฉยๆเพียงเท่านี้คงไม่มีประโยชน์อะไรแน่ มันน่าจะดีขึ้นไปอีกหากได้เอาคลังความสุขเหล่านั้น มาเป็นเครื่องมือให้คนได้พูดคุยเสวนา วิเคราะห์ว่าเนื้อในเรื่องราวเหล่านั้นมีความรู้อะไรอยู่บ้างที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ขั้นตอนการพูดคุยตรงนี้หากทำให้ดีแบบประณีต ชวนพูด ชวนคุยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มันอาจจะ (ไม่แน่ใจ เป็นสมมติฐานของผมเอง) ช่วยเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของคนให้หลุดออกจากวังวนโลภะ วังวนกระแสโลกที่ยั่วยวนในทุกวินาที มองเห็นทางสร้างสุขให้กับตัวเองได้บ้าง
สักวันหนึ่งจะเอาไปทดลองใช้ที่บ้านผมครับ
ขอบคุณครับ
ชีวิตไม่มีอะไรแน่ อะไรนอนอย่างที่เห็นนี่หละครับ
ผมไม่ได้อยู่สายสาธารณสุขครับ เป็นงานส่งเสริมการจัดการความรู้ ซึ่ง KM ใช้ได้กับทุกสายครับ
ยินดีที่พบเพื่อนสถาบันเดียวกันครับ