• การประชุมแบ่งออกเป็น 15 ช่วง (session)
แต่ช่วงแรกเรียกว่าช่วงเปิด
และช่วงสุดท้ายเรียกว่าช่วงสรุปและปิด
ที่ให้ชื่อช่วงเป็นตัวเลขจึงมี 13 ช่วง
• การประชุมช่วงแรกหัวข้อภาพรวมว่า วาทกรรมว่าด้วยการพัฒนา
กิจกรรมด้านวัฒนธรรมและความเป็นตัวตน
• ตอนผมมาทำงานที่ สกว.
ผมได้เรียนรู้เรื่องทางสังคมศาสตร์มาก ได้เข้าใจ
(คงจะไม่ลึกนัก) เรื่องการสร้างวาทกรรม (คำพูด, ชื่อ, ประโยคหรือวลี
รวมทั้งคำอธิบาย) ให้ติดปากคน เพื่อให้เกิดความเชื่อ ความเชื่อถือ
หรือการครอบงำความคิด
เราตกอยู่ภายใต้การสร้างวาทกรรมจากหลากหลายฝ่ายอยู่ตลอดเวลา
เช่นจากโฆษณาสินค้า จากรัฐบาล
จากพรรคการเมือง จากต่างประเทศ
ดังนั้นถ้าเราจะพัฒนาอะไร เราต้องรู้จักใช้การสร้างวาทกรรม
(discourse) เป็นเครื่องมือ เพื่อการสื่อความเชื่อ ความคิดลึกๆ
ให้ติดหูติดปาก สื่อกันเข้าใจได้ลึกโดยใช้คำสั้นๆ
ดังนั้นในขบวนการ KM เราจึงมีวาทกรรม “คุณกิจ” “คุณอำนวย”
“คุณลิขิต” “คุณเอื้อ” ฯลฯ
และใช้ได้ผลมาก
• ในเวลา 2 ชม. มีการนำเสนอ 3 เรื่อง
เป็นการศึกษาในเวียดนาม 2 เรื่อง(แรก)
และเรื่องสุดท้ายศึกษาในชาวเขาเชียงใหม่
• เรื่องแรกนำเสนอเหตุการณ์คนแตกตื่นจาก รูปปั้น Virgin Mary
ที่เมืองโฮชิมิน ซิตี้ “น้ำตาไหล”
และการแก้ไขสถานการณ์โดยทางการศาสนาคาทอลิก และตำรวจ ดร.
ฟาม ฉิง เฟือง จากสถาบันวัฒนธรรมศึกษา Academy of Social
Sciences
ของเวียดนามนำเสนอเหตุการณ์พร้อมการวิเคราะห์ทางสังคมศาสตร์
หาความหมายทางสังคม-วัฒนธรรม
ผมจับความไม่ค่อยได้ ดร. เฟืองตอบคำถามในภายหลังว่า
คนตีความว่าพระแม่มารีร้องไห้เพราะเสียใจที่มีความเลวร้าย
(เช่นคอรัปชั่น) เกิดขึ้นในบ้านเมือง ดร. ชาญวิทย์
เกษตรศิริ บอกว่าในประเทศไทยก็มีเหตุการณ์พระพุทธรูป “ร้องไห้”
ยามบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ เช่น พระพุทธชินราช
ซำปอกงที่อยุธยา
• เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของการพัฒนาบนพื้นที่สูง
จุดน่าสนใจคือผู้นำเสนอชื่อนายหวงคำ เป็นไทขาว
บ้านอยู่ใกล้เมืองแถงหรือเดียนเบียนฟู ในเวียดนาม
คุณหวงคำบอกว่าที่บ้านเขาพูดภาษาไท คล้ายภาษาลาว
คุณหวงคำเป็น นศ. ป. เอกของ University of Washington มาทำวิจัยที่
RCSD ผมได้เรียนรู้ว่าในเวียดนามมีชนกลุ่มน้อยถึง 53
เผ่า ผมจับความการนำเสนอไม่ค่อยได้
(และเห็นว่าเนื้อหาที่นำเสนอมากเกินไปสำหรับเวลา 15 นาที)
เข้าใจว่าเป็นการเปรียบเทียบระดับของการพัฒนาทางสังคมของแต่ละชนเผ่าตามทฤษฎี
Evolution Theory
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับสมมติฐานว่าชนเผ่าที่ได้ชื่อว่า “ล้าหลัง” จะต้อง
“พัฒนา”
ตามรอยที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้เดินทางผ่านไปแล้ว
ผมคิดว่าแต่ละชนเผ่าน่าจะได้เรียนรู้จากความสำเร็จและล้มเหลวของวัฒนธรรมอื่นในประเทศเดียวกัน
และเลือกทางเดินที่ตนเห็นว่าดีที่สุดสำหรับตนและส่วนรวมของประเทศ
บรรยากาศในห้องประชุม |
คุณหวงคำ ชาวไทขาว ขวา และ ดร. เดชา ตั้งศรีฟ้า ซ้าย |
ทญ. ศศิธร ไชยประสิทธิ์ |
Dr. Grant Evans |
วิจารณ์ พานิช
๒๔ เมย. ๔๙
หลวงพระบาง / ล้านช้าง / ศรีสัตนาคนหุต / สุวรรณภูมิ /
เชียงรุ้งเชียงทอง / เมืองซัว
ไม่มีความเห็น