คำพูดเป็นเหมือนยามีทั้งคุณและโทษ ถ้าใช้เหมาะกับ บุคคล,โอกาส และสถานที่แล้ว จะสร้างสรรค์อย่างยิ่ง ชาวMCSWCOPส่วนมากเวลางานเราใช้Crative wordพูดคุยกับผู้รับบริการอยู่เสมอแต่นอกงานบางทีก็มักเผลอหลุดNon-creative wordโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ชิด(มักจะเป็นอยู่บ๊อย...บ่อย) จึงอยากขอนำเสนอตัวอย่างและ ลปรรกันเพื่อสร้างเสริมบรรยากาศการใช้Creative wordให้มีอยู่อย่างสม่ำเสมอแม้ในชีวิตประจำวัน ใครอ่านจบแล้วจะมีตัวอย่างเสริมหรือลปคหก็ขอบคุณล่วงหน้า
สถานการณ์ตัวอย่างที่1: Seangja เธอจะเป็นคนขี้หลงขี้ลืมชอบทำกระเป๋าหรือเงินหาย วันนี้เธอเล่าให้เพื่อนถึงเหตุการณ์เงินหายครั้งล่าสุด
Non-creative word:"โอ้ย..หายอีกแล้วหรือ! ทำไมเป็นคนแบบนี้"
ความรู้สึกของSeangjaต่อNon-creative word"ทำไมฉันจึงถูกซ้ำเติมจากคนใกล้ชิดอีกนะ แค่ทุกข์ใจเพราะเงินหายก็แย่อยู่แล้ว"
Creative word : "แล้วจะทำอย่างไรต่อไป ..มีอะไรที่อยากให้ช่วยไหม"
ความรู้สึกของSeangjaต่อcreative word:"ถึงเงินหายแต่ฉันยังมีคนรักและเข้าใจ..ไม่เป็นไรเงินทองของนอกกายไม่ตายหาใหม่...สู้ๆสู้ตาย"
สถานการณ์ตัวอย่างที่2:ขึ้นรถเมล์คนแน่นพอสมควร มีกระเป๋าจอมสั่งให้เดินหน้าถอยหลังอยู่เป็นระยะๆ Non-creative word:"ชิดในน่ะเป็นไหม ยืนขวางประตูเดี๋ยวก็เจ็บหรอก"
Creative word : "เดินเข้าข้างในนิดนึงนะคะ กรุณาอย่ายืนอยู่ตรงบันไดเพราะอาจเกิดอันตรายได้ค่ะ" ปล. Seangja ฝากบอกว่า creative wordอันนี้ฟังเพลินดีแต่อาจไม่มีผลในทางปฏิบัติ
สถานการณ์ที่3 :Bossเบ่เบ๋ ตั้งใจอยากมอบหมายงานกำจัดศัตรูพืชให้กับ"น้องธุระไม่ใช่" หลังอธิบายงานให้ฟังจบแล้ว
Bossเบ่เบ๋หลุดNon-creative Questionออกไปว่า"ตกลงงานนี้ ธุระไม่ใช่สนใจอยากรับงานนี้ไปทำไหม?" แน่นอนคุณสามารถคาดเดาคำตอบของน้องธุระไม่ใช่ได้ว่าคืออะไร!!
โห.....เห็นภาพๆๆอยากได้ creative word มากๆ ทำไงดีน๊า Seangja
ทราบว่ากลุ่มคุณเป็นผู้มีประสบการณ์และความรู้ด้าน risk reduction HIV/AIDS เพราะเห็นว่ามีการจัดทำคู่มือ น่าจะเผยแพร่เกร็ดความรู้จากคู่มือที่คุณกำลังจัดทำให้กับผู้สนใจด้านนี้บ้าง นอกเหนือจากสิ่งที่คุณคิดว่า...คุณได้ สติมา...ปัญญาเกิด
สนใจจริงๆ
เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า ปัญญาจะเกิดได้ ผู้นั้นจะต้องมีสติ แต่การจะมีสติจะต้องมีองค์ประกอบหลายๆด้านที่จะทำให้เกิดสติ โดยเฉพาะในเรื่องของความคิด มีคำพูดที่ว่า เมื่อคิดดี ทำดีแล้ว ผลก็ควรจะดีด้วยใช่หรือไม่ เป็นคำถาม ถ้าตอบอย่างตรงไปตรงมาก็คิดว่าผลที่ได้จะต้องดี แต่ก็มีคำถามว่าอะไรคือความคิดที่ดีมีคนทั้งหมดเห็นด้วยหรือไม่ว่าความคิดนั้นดี และเมื่อคิดดีแล้วการกระทำที่แสดงออกมาดีเหมือนความคิดหรือไม่ ใครเป็นคนตัดสินว่าการกระทำนั้นดี ให้ช่วยลองพิจารณาและเมื่อพิจารณาแล้วคนส่วนมากยอมรับว่าดี ก็น่าจะเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย แต่ถ้าเกิดมีบางคนพอใจ บางคนไม่พอใจ จะเอาอะไรเป็นเครื่องชี้วัด เครื่องที่ชี้วัดที่ดีก็ควรจะเป็นผลที่เกิดมาจากการกระทำ ทุกคนมีความพอใจ ทั้งผู้ให้และรับ (แต่ขอให้คิดว่าความคิดของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันเสมอไป เพราะทุกคนมีความแตกต่างจากสภาพเแวดล้อม จากวัยวุฒิ จากสภาพครอบครัว จากความคาดหวัง จากประสบการณ์ชีวิต สิ่งเเหล่านี้ถ้าเรานำมาพิจารณาก็จะช่วยให้เราเข้าอะไรได้มากขึ้น และสามารถนำมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงานร่วมกันได้มากขึ้น ) ที่เขียนมานี้ก็เพื่อแสดงความคิดเห็นเท่านั้นจะผิดถูกอย่างไรช่วยพิจารณาด้วย
ฝึกให้รู้ตัวว่ากำลังคิดก็จะค่อยๆคิดดีเอง ดีก็คิดแต่สิ่งที่เป็นบุญค่ะ ตอบจากการปฏิบัติด้วยตัวเอง
1.ตอบคำถามคุณผู้สนใจ:ตอนนี้เรากำลังทำการหาContent validity และเมื่อทำคู่มือได้เสร็จเราอาจจะแจกจ่ายหนังสือคู่มือให้แก่ผู้ที่สนใจ ,ในเรื่องของrisk reduction ที่เราทำนี้จะเกี่ยวกับการลดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ โดยอาศัยระหว่างการศึกษาหาข้อมูลและจากประสบการณ์ที่เราได้ทำงานอยู่ เรามองว่าการเรียนรู้จักคู่มือของเราคงไม่สามารถเรียนได้จากการอ่านหากแต่ผู้ใช้นำเอาไปใช้และแลกเปลี่ยนปสก ระหว่างกัน จะทำให้คู่มือนี้เป็นประโยชน์มากขึ้น และขอบคุณที่ให้ความสนใจมาค่ะ
2.การใช้creative wordในความเข้าใจของตัวเองก็คือการใช้หลักเมตตาแบบรู้เท่าทัน เป็นEmpathyไม่ใช่Sympathy ตอนแรกที่นึกเรื่องนี้เพราะตัวเองเป็นคนหนึ่งที่มักจะชอบมาเสียใจเมื่อเผลอใช้n0n-creative word กับคนรอบข้างอยู่บ่อยๆ โชคดีที่มีกัลยาณมิตรที่ดีให้คำแนะนำและตักเตือน แต่สติอาจจะยังอ่อนอยู่ ดังนั้นการเรียนรู้จากคนอื่นบ้างถือว่าเป็นการย่นระยะทางวิธีการหนึ่ง และเป็นการฝึกฝนการมองให้หลากหลาย,การประเมินถูกผิดคงขึ้นอยู่กับความรับรู้ของแต่ละคนมากกว่า
สาธุ สาธุ สาธุ
Empathy ต่างกับ sympathy คือ การมีความเข้าใจ,รู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้ทุกข์เศร้าไปด้วย คล้ายกับการสำรวมระวังที่เคยได้อ่านจากในหนังสือพุทธธรรมที่ว่า วิบัติอย่างหนึ่งของเมตตาก็คือการผูกสมัครรักใคร่,วิบัติของกรุณาคือการเศร้าโศกเสียใจ ในความเป็นHelper พื้นฐานของจิตใจมักมีความเมตตาและกรุณาเป็นต้นทุน ดังนั้นการรักษาสมดุลทางจิตและการหมั่นฝึกให้เป็นผู้ที่ไวต่อการรับรู้ความคิด-อารมณ์ของตน(วิปัสนา)เป็นวิธีการหนึ่งที่จำเป็นต่อการดูแลตนเองของผู้ให้การปรึกษา
ขอชื่นชมทีมงานแนะแนว ค่ะ
ยินดีด้วยนะคะที่ฝ่าฟันอุปสรรคในตนเองมาได้จนถึงขั้นนี้