วันนี้เป็นวันประชุมเครือข่ายฯสัญจร ครั้งที่ 4/2549 ซึ่งแต่เดิมต้องจัดขึ้นตั้งแต่วัีนที่ 16 เมษายน 2549 แต่เนื่องจากติดเทศกาลสงกรานต์จึงย้ายมาในวันนี้ และตามที่กำหนดตารางกันเอาไว้ การประชุมครั้งนี้องค์กรออมทรัพย์ชุมชนบ้านเอื้อมต้องเป็นเจ้าภาพ แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น การประชุมในครั้งนี้จึงมาจัดกันที่บ้านต้าสามัคคี ทั้งๆที่บ้านต้าสามัคคีไม่ใช่ 6 พื้นที่ที่เราวางเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่เป็นอะไรค่ะ ประชุมที่ไหนก็เหมือนกัน ถือว่าเป็นการเยี่ยมเยียนสมาชิกไปด้วยในตัว
ผู้วิจัยเดินทางไปถึงตั้งแต่เวลา 09.00 น. วันนี้อาจารย์พิมพ์ก็ไม่ได้ไปด้วย เพราะ ติดนิเทศน์งานนักศึกษา แต่ก็ตามมาสมทบในช่วงบ่าย เมื่อไปถึงผู้วิจัยได้รับเอกสารเกี่ยวกับวาระการประชุมในครั้งนี้ และสรุปรายงานการประชุมในครั้งที่แล้ว ซึ่งก็ได้รับเป็นปกติทุกครั้งที่มาประชุม สักครู่กลุ่มแม่พริกและกลุ่มเถินก็ตามมา ผู้วิจัยขอชมด้วยความจริงใจเลยค่ะว่าทั้ง 2 พื้นที่นี้มีสปิริตในการทำงานมาก แม้พื้นที่จะอยู่ไกลจากในเมืองร้อยกว่ากิโลเมตร แถมในช่วงนี้นำ้มันก็แพงมาก และที่สำคัญ คือ ในการมาประชุมทุกครั้ง (ตั้งแต่เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายฯ) กลุ่มไม่เคยได้รับค่าตอบแทนหรือค่านำ้มันรถเลย แต่ก็มากัน (แทบ) ทุกครั้ง และมาตรงเวลาด้วย พอทั้ง 2 กลุ่มมาถึงก็ได้รับแจกเอกสารเช่นเดียวกับที่ผู้วิจัยได้รับ สักครู่ก็มีผู้ยื่นเอกสารนั้นมาให้ผู้วิจัยดู ทันใดนั้น ผู้วิจัยก็มองไปเห็นว่ามีการเขียนกำกับในเอกสารว่าในการประชุมครั้งหน้าให้ไปประชุมที่เก่าเวลาเดิม คือ ที่โรงเรียนนาก่วมใต้ เมื่อผู้วิจัยเห็นเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาบางอย่าง เพราะ ความจริงแล้วในเดือนหน้าต้องไปประชุมที่เถิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เข้มแข็งมากทั้งในด้านการบริหารจัดการ การขยายผล และการเชื่อมประสาน ผู้วิจัยเกิดคำถามขึ้นมาว่าทุกคนก็รู้ว่ากลุ่มนี้ดี ทำไมจึงไม่ไปประชุมที่กลุ่มนี้ จะได้เห็นตัวอย่างที่ดีๆ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับกลุ่มได้ทันที เรามีของดีอยู่ในมือ ทำไมจึงไม่สนใจ อีกสักครู่ต่อมาผู้วิจัยก็ได้ทราบว่าเป็นฝีมือของผู้นำ (บางคน) รวมทัี้งพวกลิ่วล้อ (บางคน) ด้วย (ขอโทษจริงๆค่ะที่ต้องใช้คำนี้) เห็นปรากฏการณ์อย่างนี้แล้วคิดถึง "สภาผัีวเมีย" ขึ้นมาทันที คงจะจริงอย่างที่เคยมีนักวิชาการบางท่านออกมาพูดทำนองว่า เมืองไทยและคนไทยสีก็ไม่ได้ขาว สีออกเทาๆซะด้วยซำ้้ ดังนั้น จะแปลกอะไรที่สภาจะเป็นสีเทา
การประชุมในวันนี้ดุเดือดมาก (มา่กกว่าที่หนูเคเอ็มเคยมาพบ) ผู้วิจัยอุตส่าห์บอกกับตัวเองว่าจะพยายามไม่มีปาก จะพยายามไม่พูดอะไร จะฝึกเป็นผู้ฟังที่ดี แต่แล้วก็ตบะแตกเป็นระยะๆ เพราะ เห็นว่าผู้นำพูดไม่ถูกหลายเรื่อง พูดกลับไปกลับมา ที่สำคัญยังบิดเบือน แก้ตัวนำ้ขุ่นๆ ผู้วิจัยรู้สึกสงสารชาวบ้านมากที่ต้องมาเจอผู้นำอย่างนี้ ความจริงหากผู้วิจัยนั่งเฉยๆไม่แสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ เพราะ ตัวเองก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับเครือข่ายฯและกลุ่มอยู่แล้ว (หมายถึงในแง่เงินทองนะคะ) แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะค่ะว่าทนไม่ไหวจริงๆ การที่ชาวบ้านเขาไม่พูดไม่ได้แสดงว่าเขาไม่รู้เรื่อง หรือเขาโง่นะคะ แต่เขายังมีความเคารพและความเกรงใจผู้นำอยู่ เขาก็เลยไม่พูดอะไร แต่ทำไมผู้นำถึงเอาความเคารพ ความเกรงใจที่พวกเขามอบให้มาบีบบังคับพวกเขาอย่างนี้ เห็นชัดๆว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง (บางคน)
สิ่งที่ทำให้ผู้วิจัยรับไม่ได้อีกอย่างหนึ่ง นอกจากการเอาเปรียบชาวบ้าน ก็คือ การที่ผู้นำด่า (ขอใช้คำนี้นะคะ) ผู้วิจัย เพียงเพราะว่า ผู้วิจัยตามทัน และไม่ยอมให้เขาเอาเปรียบชาวบ้าน ผู้นำคงจะสะใจที่ตัวเองสามารถด่าอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ ความจริงเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้ ผู้วิจัยก็ตอบโต้บ้าง (เป็นบางครั้ง) สาเหตุที่ตอบโต้ก็ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ปกติผู้วิจัยจะบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า ชื่อวิไลลักษณ์ นั้นไม่มีใครรู้จักหรอก แต่ (นาม) สกุลของเราไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย บรรพบุรุษก็สร้างสมคุณงามความดีมามากมาย แม้เราจะไม่เด่น ไม่ดัง แต่เราก็ไม่เคยที่คิดจะสร้างความเดือดร้อนหรือเอารัดเอาเปรียบใคร ดังนั้น คนที่ไม่มีคุณธรรมก็ไม่ควรที่จะมาด่าเรา ผู้วิจัยคงจะไม่ถูกด่า ถ้านั่งนิ่งเป็นก้อนหิน แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองทนไม่ได้ (แม้เราจะเป็นคนนอกก็ตาม) ที่จะเห็นผู้นำมาทำอย่างนี้กับชาวบ้าน แถมยังมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วถามว่าผลประโยชน์นั้นมาจากไหน ก็มาจากที่พวกเราเสียภาษีกันนั่นแหล่ะค่ะ ดังนั้น วันนี้แม้จะรู้สึก.....มาก แต่ก็ไม่เป็นไร ยอมถูกด่า (ฟรี) แต่ก็ทำให้ผู้นำบางคนรู้ว่า ไม่ใช่เขาเก่งคนเดียว ยังมีคนที่ตามเขาทันอยู่
ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ผู้วิจัยกับอาจารย์พิมพ์ก็เลยถือโอกาสเลี้ยง (ปลอบขวัญ) ผู้ร่วมชะตากรรรมเดียวกัน (โดนด่าฟรี) ที่ห้าง Big C เลยได้งานมาอีกอย่างหนึ่ง คือ วันที่ 29 เมษายน นี้ พวกเราจะช่วยชาวบ้านเคลียร์บัญชีให้เรียบร้อย จะได้จบๆกันเสียที
อดทน..ทนอด คาถาสำหรับนักพัฒนา/นักวิจัย เพราะการพัฒนาอะไรที่ว่ายาก..ไหนหรือจะยากเท่าการพัฒนา "คน" ขอเอาใจช่วยครับ