นายสังวรณ์ มงคล : แบบอย่างครูและผู้บริหารที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ


ขณะที่เรากำลังโหยหาเทคนิคการสอนใหม่ใหม่ ลองหันกลับไปดูเทคนิคการสอนของครูโบราณคนนี้ดูบ้าง
      นายสังวรณ์  มงคล เดิมชื่อสังวาลย์ เกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2448  ที่บ้านริมคลองแสนแสบ จังหวัดมีนบุรี (ต่อมาเป็นอำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนครและเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน)  เป็นบุตรคนสุดท้องของนายมัง  และนางสมบุญ มงคล  มีพี่น้อง 2 คน คือ นายจันทร์ มงคล (ถึงแก่กรรม) และ นางสัมฤทธิ์ มะแย้ม (ถึงแก่กรรม)

            นายสังวรณ์  มีนิสัยรักการเรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่ครอบครัวมีฐานะยากจน บิดาจึงนำไปฝากพระที่วัดแสนแสบ (ปัจจุบันคือวัดแสนสุข เขตมีนบุรี) เพื่อให้ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดแสนแสบซึ่งเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนถึงชั้นมัธยมศึกษาเพียงแห่งเดียวในจังหวัดมีนบุรีขณะนั้น

            นายสังวรณ์ไม่ค่อยจะมีหนังสือเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ แต่ด้วยนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน ก็จะขอยืมหนังสือจากเพื่อนๆมาอ่าน เวลาว่างก็ชอบวาดรูปเป็นประจำ จึงทำให้นายสังวรณ์ได้สั่งสมความรู้ด้านวิชาการและมีทักษะในด้านศิลปะมาโดยตลอด

            พ.ศ. 2461    เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนนี้ ไม่มีโอกาสได้เรียนต่ออีก จน พ.ศ.2466 ได้มีการเปิดโรงเรียนประชาบาลขึ้นที่วัดแสนแสบด้วยเงินศึกษาพลี  นายโต มัษฎายันต์ ซึ่งเป็นครูใหญ่ได้ชักชวนนายสังวรณ์  ให้ไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนนี้  จนถึง พ.ศ. 2468 เมื่ออายุครบอุปสมบทจึงบรรพชาอุปสมบทที่วัดแสนแสบและช่วยสอนหนังสือในโรงเรียนประชาบาลไปด้วย จนถึง พ.ศ.2469 จึงลาสิกขา  พ.ศ. 2470 ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการตำรวจ จนครบเกณฑ์ 2 ปีก็ออกมาอยู่ที่บ้าน

            พ.ศ. 2473    ศึกษาธิการอำเภอมีนบุรีได้เรียกตัวให้นายสังวรณ์กลับไปเป็นครูโรงเรียนประชาบาลอีกที่โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน  อำเภอมีนบุรี

            พ.ศ. 2479    ได้รับแต่งตั้งให้เป็นครูใหญ่โรงเรียนศรีบูรพาวิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตั้งใหม่ในอำเภอเดียวกัน

            พ.ศ. 2480    ย้ายไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลวัดทรัพย์สโมสร ในอำเภอเดียวกัน

            พ.ศ. 2481     ย้ายไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนสุเหล่าแสนแสบ ในอำเภอเดียวกัน

            พ.ศ. 2482     ย้ายไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนประจำอำเภอมีนบุรี

            พ.ศ. 2483    ได้ย้ายกลับมาเป็นครูใหญ่โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดินซึ่งเคยเป็นครูในตอนแรกอีกครั้งและเป็นผู้บริหารโรงเรียนนี้จนเกษียณอายุราชการใน พ.ศ. 2509

            แม้นายสังวรณ์ จะได้รับการศึกษาไม่สูงนักแต่เนื่องจากเป็นคนที่มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ หมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ เป็นคนช่างสังเกต ช่างบันทึกจดจำ และเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี มีความเอาใจใส่ มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ จึงทำให้นายสังวรณ์ได้เพิ่มพูนความรู้ความสามารถและประสบการณ์สูงขึ้น เมื่อเป็นครูและเป็นผู้บริหารโรงเรียน จึงได้รับการยอมรับจากผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาและชุมชนเป็นอย่างดี

                ตอนเป็นครูครั้งแรกที่โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน ซึ่งชุมชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมมี นายเดช แย้มชมชื่นเป็นครูใหญ่ นายสังวรณ์ได้เขียนบันทึกเล่าถึงสภาพของโรงเรียนในขณะนั้นซึ่งได้ถูกนำมาอ้างอิงไว้ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ นายสังวรณ์ มงคล ความตอนหนึ่งว่า
            “วันแรกที่ข้าพเจ้ามาโรงเรียน มาถึงสุเหร่าทรายกองดิน ถามเขาว่าโรงเรียนอยู่ไหนชาวบ้านบอกว่า บนศาลา ข้าพเจ้าก็คอยอยู่บนศาลาของสุเหร่านั้น เวลาประมาณ 09.00 น.เศษ มีเด็กชายหญิงทยอยกันมาทีละคน สองคน การแต่งกาย สวมเสื้อเก่า ๆ นุ่งโสร่ง สวมหมวกแบบอิสลาม เด็กหญิงนุ่งผ้าถุง ขึ้นมายืนหลบ ๆ อยู่ตามลูกกรงศาลา ซึ่งมีลูกกรงเป็นฝาผนัง โดยรอบมีระเบียง ภายในศาลามีแต่พื้นโล่ง ๆ มีโต๊ะ 1 ตัว ม้ายาวมีพนัก 1 ตัว ข้าพเจ้านั่งคอยอยู่ที่นั่น เด็ก ๆ พากันแอบมองข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนแปลกหน้า เขาคงคิดว่าข้าพเจ้าเป็นใคร มาทำไม ส่วนข้าพเจ้าก็งง เพราะไม่ทราบว่าห้องเรียนและชั้นเรียนอยู่ไหน มีแต่พื้นเตียนโล่ง ดังกล่าวแล้ว
          ประมาณเกือบ 10.00 น. ครูเดชมา การแต่งกายนุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อขาวแขนสั้น กระหนีบกระดาษกับรักแร้มาม้วนหนึ่ง ภายหลังทราบว่าเป็นบัญชีเรียกชื่อ เมื่อครูใหญ่ขึ้นมาบนโรงเรียนแล้ว ข้าพเจ้าก็ถามว่า ห้องเรียนอยู่ไหน ตอบว่า ไม่มี
          ถามว่า  เรียนกันอย่างไร
          ตอบว่า  นั่งกับพื้นเป็นแถว ๆ หน้ากระดาน เหมือนอ่านหนังสือแบบอิสลาม
          ถามว่า  แบ่งชั้นเรียนเป็นหมู่-พวกอย่างไร
          ตอบว่า  ไม่ได้แบ่ง เรียนปนกัน
          ถามว่า  ดำเนินการสอนอย่างไร
          ตอบว่า  สอนอ่านอย่างเดียว เรียกเด็กเข้ามาสอนทีละคน ๆ บอกให้แล้วให้กลับไปนั่งท่องจนทั่วทุกคน ตามแต่ปัญญาเด็กที่อ่านได้มากน้อยไม่เท่ากัน เมื่อใครจำที่บอกให้ได้แล้วก็ต่อให้อีก อุปกรณ์การสอนไม่มีอะไรเลยแม้แต่กระดานดำ
          ข้าพเจ้าถามว่าจะดำเนินการอย่างนี้เรื่อยไปหรือ ตอบว่า จะดัดแปลงแก้ไขอย่างไรขอให้ครูช่วยดำเนินไปใหม่ได้เลย ถ้าเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้อง ขอให้จัดการตามใจได้เลย  ขอบัญชีเรียกชื่อมาดู มีแต่ชื่อ เลขประจำตัวไม่ได้เขียน และ ไม่ได้ขีดเวลามาเรียน ถามว่าสิ้นเดือนทำอย่างไร ตอบว่า  เอาไปอำเภอขอแรงครูที่ชอบๆ ทำให้…”

            เมื่อเผชิญกับสภาพปัญหาดังกล่าว นายสังวรณ์ได้พยายามแก้ปัญหาโดยคิดจัดระบบงานและกระบวนการเรียนการสอนเสียใหม่ ตามที่ตนเองเห็นว่าน่าจะเหมาะสมกับสภาพผู้เรียน จนทำให้นักเรียนได้รับการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ดังบันทึกของนายสังวรณ์ ในหนังสือเล่มเดียวกัน ความตอนหนึ่งว่า

            “อาศัยที่ข้าพเจ้าเคยเป็นครูมาแล้ว…ในเรื่องการทำบัญชีและการแบ่งชั้นเรียน ข้าพเจ้าเคยทำมาแล้วพอเป็นแนวทาง นับว่าไม่หนักใจ วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าสั่งงานให้ครูใหญ่ไปอำเภอ ขอเบิกเครื่องเขียน มีกระดานดำ 3 แผ่น บัญชีเรียกชื่อ 3 เล่ม สมุดดินสอพอสมควร และขอไม้กระดานมาเพื่อมาทำม้ารองเขียนสำหรับเด็กนั่งเรียนด้วย (มาทำเอาเอง) เพราะทราบจากครูใหญ่ว่า โต๊ะเรียนทางการไม่มีให้

        เมื่อครูใหญ่ไปแล้ว อยู่ทางนี้ ข้าพเจ้าก็คัดเด็กออกเป็น 3 พวก 
1.  
พวกไม่รู้เลย
2.  
พออ่านพยัญชนะ 44 ตัว ได้บ้าง
3.  
พออ่านพยัญชนะผสมคำในหนังสือแบบเรียน ป.1 เล่ม 1 สมัยนั้นได้บ้างเล็กน้อย เป็นชั้นเตรียม ก-ข-ค
รวม 25 คน เตรียม ก. พวก 3 มี 8 คน เตรียม ข. พวก 2 มี 10 คน เตรียม ค. พวก 1 มี 7 คน ข้าพเจ้ารับเอา ก.-ข. ไป ส่วน ค. ให้ครูใหญ่ ชั้นเตรียมก็คือ ป.1 สมัยนั้น

          พอได้ไม้กระดานมา ข้าพเจ้าก็จัดการทำม้ารองเขียน นั่งได้ตัวละ 4 คน ให้เด็กได้นั่งกับพื้น แต่มีม้ารองเขียนได้สบายขึ้น ให้เด็กทุกคนมีกระดานชนวน จัดทำตารางสอนขึ้น ตามประมวลศึกษาพิเศษ มี อ่าน คัดเขียน เลข จรรยา สุขศึกษา วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เป็นต้น  พอสิ้นปีมีการสอบไล่ เด็กก็สอบไล่ได้ เลื่อนชั้นเป็น ป.1 – ป.2 ขึ้นมาตามลำดับ นักเรียนก็เพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งถึง ป.4 ครูก็ได้เพิ่มขึ้นจนครบชั้น โรงเรียนก็เจริญขึ้น มีโต๊ะเรียนซึ่งทางการส่งมาให้ครบครัน นับว่าเป็นโรงเรียนมาตรฐานได้โรงเรียนหนึ่ง…. “

            นายสังวรณ์เป็นครูสอนที่โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน 6 ปี สามารถสอนให้นักเรียนอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น ตลอดจนวาดภาพระบายสี รู้จักประดิษฐ์ชิ้นงานต่าง ๆ โดยใช้วัสดุในท้องถิ่น เช่น งานสานพัด  ถักปลอกไม้กวาดทางมะพร้าว สานปลาตะเพียน ทำให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ทั้งสิ้น

            เมื่อได้รับแต่งตั้งให้ไปเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนตั้งใหม่ชื่อโรงเรียนศรีบูรพาวิทยา นับเป็นการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารครั้งแรก จากประสบการณ์ที่ได้จากจัดการเรียนการสอนมาหลายปี ทำให้มีแนวทางในการบริหารจัดการศึกษา จึงได้วางรากฐานการเรียนการสอนทุกอย่างให้โรงเรียนก้าวหน้า  แต่ก็เป็นครูใหญ่ที่นี่ได้ไม่นานนัก ทางการก็ได้ย้ายให้ไปเป็นทั้งครูใหญ่และครูน้อยของโรงเรียนใหม่ชื่อโรงเรียนประชาบาลวัดทรัพย์สโมสร การเป็นครูคนเดียวในโรงเรียน ไม่เป็นเรื่องหนักใจของนายสังวรณ์ เพราะเคยชินกับการปฏิบัติงานเช่นนี้มาแล้ว นายสังวรณ์สามารถทำได้ทุกหน้าที่ในเวลาเดียวกัน อยู่ได้ปีเศษจึงมีครูน้อยมาเพิ่ม 1 คน เนื่องจากการเริ่มงานด้วยการวางระบบที่ดีจึงทำงานการเรียนการสอนได้ผลดี

            หลังจากนั้นนายสังวรณ์ได้รับการขอร้องจากศึกษาธิการอำเภอมีนบุรีให้ไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนอื่นอีก รวมปีละ 1 โรงเรียน เพื่อช่วยแก้ปัญหาในระดับอำเภอ คือโรงเรียนสุเหร่าแสนแสบ และโรงเรียนประจำอำเภอมีนบุรี ซึ่งนายสังวรณ์ก็สามารถบริหารงานได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะที่โรงเรียนประจำอำเภอมีนบุรีซึ่งมีครูและนักเรียนเป็นจำนวนมาก นายสังวรณ์ได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกันความตอนหนึ่งว่า

            “…ข้าพเจ้ามาอยู่ที่โรงเรียนนี้รู้สึกว่า ครูและนักเรียนต่างก็ให้ความรักเคารพข้าพเจ้าดังกับญาติสนิท การงานในหน้าที่ครูใหญ่ ครูบางคนรับอาสาไปทำให้ ข้าพเจ้าเพียงแต่อ่านทานถูกต้องแล้วเซ็นชื่อเท่านั้น  การปกครองครูทุกคนสามัคคีรักใคร่กันดี มันเป็นบุญ ข้าพเจ้าอยู่มาก็หลายแห่งแล้ว ไม่ว่าโรงเรียนมีครูมากครูน้อย ต่างก็สามัคคีรักใคร่กันดีทุกแห่ง ข้าพเจ้าอยู่ได้อย่างสบาย ทำให้ครูใหญ่ต่าง ๆ ในอำเภอมองข้าพเจ้าอย่างเชื่อถือ...”

            เมื่อได้กลับมาเป็นครูใหญ่โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดินที่เคยสอนอีกครั้ง ทำให้ครู ผู้ปกครอง และชุมชนต่างยินดีต้อนรับ เนื่องจากนายสังวรณ์ ได้เคยสร้างความเจริญให้กับโรงเรียนนี้มาแล้ว เป็นครูใหญ่โรงเรียนนี้ถึง 25 ปีจนเกษียณราชการ ได้พัฒนาโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนดีเด่นทั้งด้านวิชาการ ด้านกีฬา และด้านความประพฤติของนักเรียน

            นายสังวรณ์เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความยุติธรรม และมีอัธยาศัยไมตรีจิตที่ดีงาม รวมทั้งมีความตั้งใจและจริงใจที่จะพัฒนาการศึกษาของเยาวชนในท้องถิ่น แม้ชุมชนส่วนใหญ่ที่นี่จะต่างศาสนากับนายสังวรณ์แต่ก็ไม่ทำให้เกิดช่องว่างทางศาสนา ซึ่งต่างก็ให้การยอมรับนับถือให้เกียรติให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกันและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขตลอดมา

            นายสังวรณ์ เป็นผู้ที่ชอบจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ สะสมมาเป็นเวลาร่วม 40 ปี เพื่อเป็นความรู้ ข้อคิดข้อเตือนใจให้ทุกคนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทีทั้งบันทึกเหตุการณ์รายวัน บันทึกความรู้ทางธรรมะ ข้อคิดในการปฏิบัติตน  และเกร็ดความรู้ต่าง ๆ มากมาย

            นายสังวรณ์ สมรสกับนางประนอม คงสาย มีบุตร 8 คน คือ นายเฉลา บุญญะยา (ถึงแก่กรรม)  นายอุทัย (ถึงแก่กรรม) นางสำเนียง เซ็นงาม นางประไพ  ประภาวีกร  นายวินัย  นางเปี่ยมสุข  นางสาวเกษร และ นางสาวอมร มงคล

            หลังเกษียณอายุราชการ นายสังวรณ์ได้ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบเช่น ปลูกต้นไม้ ขี่จักรยานออกกำลังกาย ฟังธรรมจากรายการวิทยุ ที่สำคัญคือการสร้างงานศิลปะ มีทั้งวาดภาพ และการแกะสลักไม้ สำหรับการวาดภาพก็จะมีคำบรรยายให้ความรู้ไว้ด้วย โดยจะวาดภาพและเขียนไว้ในที่ต่าง ๆ เช่น สมุดวาดเขียนเล่มเล็ก สมุดงานที่มีรอยใช้แล้วของลูก สมุดที่ทำขึ้นเองจากกระดาษว่างที่เหลือใช้ เรื่องราวที่วาดเช่นความรู้เรื่องการปลูกต้นมะเขือ เครื่องหมายจราจร ความรู้สึกเมื่อครั้งสูญเสียสุนัขตัวโปรด ภาพปลาหลายชนิด นกหลายชนิดในลีลาต่างๆ กิริยาอาการของสัตว์เมื่อเกิดสุริยุปราคา ภาพการ์ตูนจากโทรทัศน์ งานประดิษฐ์จากเศษวัสดุ ภาพแสงเงาบนกระจกใส  ว่าวจุฬา เป็นต้น  นับเป็นผู้ที่มีจินตนาการและมีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะเป็นเลิศคนหนึ่ง

            นายสังวรณ์ เป็นตัวอย่างของผู้ที่สันโดษ อยู่อย่างพอเพียง ด้วยอาหารพอประมาณ อากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อารมณ์ดีมีจิตใจแจ่มใส ไม่สนใจอบายมุขทุกชนิด จึงเป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง  ในบั้นปลายของชีวิตนายสังวรณ์พำนักอยู่กับลูกกับหลานอย่างสงบสุข ให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกหลานอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งถึงแก่กรรม ด้วยโรคชรา ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2546  สิริอายุ 97 ปี 7 เดือน 14 วัน

            นางสาวอมร มงคล บุตรคนหนึ่งได้เขียนถึงบิดาในหนังสือพระราชทานเพลิงศพนายสังวรณ์ มงคล ความตอนหนึ่งว่า

“…พ่อเป็นครูคนแรกและคนที่สองในชีวิตลูก ได้เรียนหนังสือกับพ่อเมื่ออยู่ชั้นประถม ลายมือสวยก็เพราะพ่อฝึกให้…ในสายตาลูกพ่อเป็นคนที่มีความสามารถรอบด้าน พ่อทำอะไรได้มากมาย โดยเฉพาะงานศิลปะและงานประดิษฐ์…ลูกรักและภูมิใจในตัวพ่อมาก…”    

********************** 

ธเนศ  ขำเกิด  [email protected]  

ตีพิมพ์หนังสือ ประวัติครู ของคุรุสภา  พ.ศ.2548   

 
หมายเลขบันทึก: 25137เขียนเมื่อ 23 เมษายน 2006 17:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 11:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

คุณครูเป็นพุทธหรืออิสลามครับ

เท่าที่ทราบจากลูกสาวท่าน(อาจารย์เกษร) ท่านนับถือศาสนาพุทธครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท