เสียงจากแดนไกล


ความจำเป็นของการ สอนให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของสิทธิมนุษยชน

จำได้ว่าตอนที่ผมเริ่มสอนสิทธิมนุษยชนใหม่ๆ ใจหายใจคว่ำแทบแย่เหมือนกัน เพราะตัวเองไม่ได้จบมาทางด้านนี้อาศัยสนใจปัญหาสังคมจึงทำให้รอดตัวไปได้ และเปิดโลกทรรศน์ให้เด็กลูกศิษย์ได้

วันนี้ผมอยู่ที่วูลองกองWoolonggong ออสเตรเลียพร้อมกับมองย้อนกลับไปยังการเรียนการสอนที่ผ่านมา เพราะวันนี้ ผมประทับใจการจัดการศึกษาที่นี่และรู้สึกอินกับสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในวันนี้

สัปดาห์นี้ทั้งสปดาห์ เป็นช่วงเวลาที่มหาวิทยาลัยจัดให้มีการเฉลิมฉลองในความหลากหลายทางเชื้อชาติขึ้น และหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงคือ ชาวพื้นเมืองหรือพวกอบอริจิน ก่อนจะเข้าไปสู่ประเด็นความหลากหลายทางเชื้อชาติและสิทธิของชนกลุ่มน้อย ผมขอเท้าความนิดหนึ่ง เรื่องเหตุผลที่มหาวิทยาลัยจัดให้มีสัปดาห์นี้ขึ้น

ผมเข้าใจเอาเอง ว่าที่มหาวิทยาลัยวูลองกองนี้มีนักเรียนต่างชาติเยอะมากและหลายชาติ ทั้งซาอุดิอารเบีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน สวิส และไทย  นี่ยังไม่รวมชาวออสเตรเลียที่อาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ทุกชาติอยู่รวมกันได้อย่างมีความสุข คือ การเข้าใจในความแตกต่าง การยอมรับในความเชื่อที่หลากหลาย และการเคารพความคิดซึ่งกันและกัน  นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ผมเดาเอาว่ามหาวิทยาลัยจึงน่าจะได้ใช้เหตุผลนี้จัดให้มีงานสัปดาห์แห่งความหลากหลายขึ้น เพราะสร้างความเข้าใจระหว่างคนจากวัฒนธรรมต่างๆ เป้าหมายของมหาวิทยาลัย ถ้าเป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ ก็ดีมาก อยากจะให้มีที่มหาวิทยาลัยนเรศวรของเราแบบนี้บ้างจัง เดี๋ยวเทอมน่าถ้าผมสอนสิทธิมนุษยชน ผมตั้งใจจะเอาไปจัดบ้าง

..........................................

วันนี้เริ่มต้นด้วยการที่อาจารย์ เล่าความเป็นมาของการก่อตั้งออสเตรเลีย และชาวอบอริจิน รวมทั้งความโหดร้ายที่คน อบอริจินได้รับ แล้วเราก็ดูภาพยนตร์เรื่อง Rabbit Proof-Fence

หลังจากนั้นเราก็มา อภิปราย(ภาษาอังกฤษกัน)ถึงความโหดร้ายที่คนขาวทำต่อชาวอบอริจิน และคุยกันถึงเรื่อง ที่นายกรัฐมนตรีของออสเตรีเลียกล่าวขอโทษต่อสิ่งที่รัฐบาลออสเตรเลียในอดีต กระทำต่อคนอบอริจิน (กดlinkเพื่อฟังสุนทรพจน์จากYouTube)รวมทั้งฟังคำขอโทษของนายกรัฐมนตรี  Kevin Rudd (กดlinkเพื่ออ่านสุนทรพจน์)ต่อชาวอบอริจิน

******************************

ผมฟังสุทรพจน์เรื่องนี้แล้วจับใจมาก อยากให้นักการมืองไทย และข้าราชการไทยหันมามองพี่น้องประชาชนแล้วหันมาของโทษอย่างจริงใจต่อสิ่งผิดพลาดที่ทำมาในอดีตบ้าง ทั้งต่อชาวมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทยเอง ที่ไม่มีสิทธิแม้แต่ "สิทธิความเป็นคนในความรับรู้ของรัฐไทย" หรือแม้แต่คนจนๆ ชาวบ้านทั้งหลายที่เป็นผลมาจาก

*การแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองโดยไม่คำนึงความฉิบหายของบ้านเมือง และ

*การที่ทำให้โครงสร้างของสังคมไทยเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์ เล่นพรรคเล่นพวก และ

*การไม่สนับสนุนการศึกษาให้คนในชาติคิดเป็นเพราะกลัวรู้ทันเหล่านักการเมืองผู้ทรงเกีรยติในสภาทั้งหลาย

*การไม่สนับสนุนให้คนไทยเรายืนอยู่ได้ด้วยขาของตัวเราเอง

*การตัดรอนกลไกการสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มประชาชน

*การสร้างค่านิยมผิดๆให้คนไทยว่า พวกเขาเหล่านั้นได้รับเลือกมาจากปวงชนชาวไทยแล้ว  ก็เท่ากับว่าพวกเขาเหล่านั้นทำทุกอย่างได้โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและศิลธรรมอะไรเลย

เราจะยืนอยู่ตรงไหนในโลกใบนี้

ประเทศไทย...

******************************

อืม.. คิดแล้วก็งงตัวเองเหมือนกันว่าจะเขียนเล่าเรื่อง ชาวอบอริจินไหงกลายมาเป็นบล็อกแสดงความเห็นทางการเมืองไปได้

พรุ่งนี้ผมไปราชการต่อที่ซิดนีย์ วันอาทิตย์มาต่อกันครับ ผมจะเล่าเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลออสเตรเลียในอดีตต่อชาวพื้นเมืองให้ฟัง

ไปต่อตอนสองกันครับ (กดLink เพื่อนอ่าน)

หมายเลขบันทึก: 251073เขียนเมื่อ 26 มีนาคม 2009 18:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤษภาคม 2012 22:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ขออนุญาตเอาบันทึกนี้ไปเผยแพร่

ประทับใจในการยอมรับความผิดพลาดให้อดีตของผู้ปกครองผิวขาวของประเทศออสเตรเลียในวันนี้

การยอมรับผิดเป็นความสง่างามทางการเมืองนะคะ

เอารูปสวยๆ มาอวดกันนะคะ

กราบขอบคุณอาจารย์ครับที่แวะมาเยี่ยมชม

เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับอาจารย์ ที่อาจารย์จะกรุณาเอาบันทึกไปเผยแพร่ เห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านอาจารย์ครับว่า การที่คนเรายอมรับความผิดพลาด แล้วแก้ไขมันด้วยใจจริง เป็นความสง่างามทางการมืองครับ และเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองจริงๆครับ

สบายดีครับ ขอบคุณครับ

สวัสดีครับอาจารวิว

ผมเบญเองรับอาจาร

ผมพิ่งรู้ว่าอาจารไปออสเตรเลีย

อาจารจะกลับเมื่อไรครับ

อาจารครับ

ผมจะทำโปรแกรมตรวจสอบการได้สัญชาติเบื้องต้นเป็นโปรเจคจบโดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นโปรแกรมที่ใช้โปรแกรมลองตรวจสอบดู และวินิจฉัยว่าเข้ามาตราใดอะไรประมาณนี้อะครับ แล้วนำไปใช้ลงพื้นที่อาจารคิดยังไงครับ

เสนอแนะด้วยครับ

ผมอยากทราบรายละเอียด ไม่ทราบว่าผมจะปรึกษาจารอุ๋มจารอุ๋มจะกลับมาที่มหาลัยไหมครับ

อยากให้อาจารชี้แนะผมด้วยครับ

รักและเคารพ

เบญ

สวัสดีครับเบญ

 ครูดีใจมากนะครับที่เบญจะใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมา ทำงานที่ได้ประโยชน์แก่สังคม อย่างนี้  ตอนนี้อาจารย์อุ๋มไปเตรียมตัวเรียนภาษาที่กรุงเทพครับ เบญติดต่อทางอีเมล์ดูนะครับเดี๋ยวพรุ่งนี้ เวลาครูเมล์ไปคุยกับอาจารย์อุ๋ม ครูจะเขียนไปเล่าให้ฟังนะครับ เท่า ที่ครูทราบตอนนี้มูลนิธิกระจกเงาได้จัดทำฐานข้อมูลอยู่นะครับ เหตุผลที่ต้องทำเป็นฐานข้อมูล เพราะอำนาจในการพิจารณาว่าหลักฐานชิ้นไหนฟังได้ไม่ได้เป็ฯอำนาจของฝ่ายปกครอง ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดอย่างเป็นระบบและ คอยตามเรื่องของตัวคนไร้รัฐไร้สัญชาติครับ  ส่วนโปรแกรมของเบญเท่าที่ครูเข้าใจ เป็นโปรแกรมที่เราจะต้องใส่ข้อเท็จจริงเข้าไปแล้ว โปรแกรมจะวินิจฉัยผลออกมาใช่ไหมครับ เดี๋ยวเบญลองคุยกับอาจารย์อุ๋มแล้ว ลองเขียนเมล์ไปคุยให้ท่านอาจารย์พันธ์ทิพย์ฟังนะครับครูว่าน่าจะได้คำแนะนำดีกว่าที่คุยกับครูเพราะ ครูยังไม่เห็นภาพการทำงานทั้งหมดอย่างลึกซึ้งเหมือนท่านอาจารย์พันธุ์ทิพย์และอาจารย์อุ๋มครับ

ดีใจที่เบญสนใจทำนะครับ

ครูภูมิใจในตัวลูกศิษย์ครูคนนี้นะครับ

รักและปรารถณาดี

อ.วิว

เบญครับ ครูเมล์ไปบอกอาจารย์อุ๋มให้แล้วนะ โชคดีครับ เจอกันตอนเปิดเทอม

ครับอาจารย์

ขอบคุณมากๆครับ

ใช่ครับอาจารย์เป็นโปรแกรมวินิจฉัยเดียวผมจะลองปรึกษาอาจารย์พันทิพย์ดูนะครับ

ขอบคุณมากครับที่ให้คำแนะนำ

ครูได้เมล์จากท่านอาจารย์พันธุ์ทิพย์แล้วนะครับ ดีใจด้วยนะครับเบญ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท